ตอนที่ 53 ต่อไปติดตามข้า
ต่อให้เอาดาบพาดคอก็ยอมตายไม่ยอมจากมาอย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง
ความเข้าใจที่เขามีต่อโลกใบนี้ไม่ลึกซึ้งนัก แต่ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง พุทธศาสดาที่ศาสนาพุทธทางนี้เลื่อมใสบูชามิใช่พระโคตมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่มีบุคคลอย่างพระโคตมพุทธเจ้าด้วย หากแต่เป็นบุคคลอื่น อีกทั้งปัจจุบันนี้ก็มิใช่ยุครุ่งเรืองของศาสนาพุทธ คล้ายว่าในอดีตจะมียุคสมัยที่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองอยู่ น่าจะเคยรุ่งเรืองอยู่บ้างในยุคของราชวงศ์อู่ ต่อมาได้รับผลกระทบจากสงครามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้อารมณ์คล้ายบทกลอนที่ว่า ‘ราชวงศ์ใต้อุดมด้วยวัดวามหาศาล เหลือยืนยงกลางหมอกฝนกี่แห่งเล่า’ ยิ่งนัก ศาสนาพุทธเสื่อมถอยลงทุกวัน วัดวาเฉกเช่นวัดหนานซานมีให้เห็นบางตา ไม่คิดเลยว่าในขณะที่ศาสนาพุทธเสื่อมถอยลงถึงเพียงนี้จะได้พบปีศาจหมีตัวหนึ่งที่ยังคงมีศรัทธาแน่วแน่อยู่
ก่อนหน้านี้กล่าวได้เพียงว่านึกสนใจปีศาจหมีเพราะไม่เคยพบเห็นปีศาจมาก่อน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกสนใจในตัวปีศาจหมีตนนั้นเสียแล้ว อดไม่ได้ที่จะอุทานดังโอ้ จากนั้นจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “กระหม่อมอยากไปดูปีศาจหมีที่ยอมตายไม่ยอมสยบตัวนี้สักหน่อย…ท่านหญิงเชิญกลับไปก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ เข้านอนให้เร็วหน่อย กระหม่อมขออนุญาตไม่ส่งนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงก็มิได้แง่งอน นางล้วงบันทึกการไต่สวนฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ข้าเคยอ่าน ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ มาก่อน หลังจากอ่านบันทึกการไต่สวนฉบับนี้ ข้าพบว่าปีศาจหมีตัวนี้คล้ายคลึงกับปีศาจที่มีชื่ออยู่ในบันทึก แต่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าใช่หรือไม่ เต้าเหยี่ยโปรดลองตรวจสอบด้วยตัวเองเถิด!” จากนั้นก็ประสานสองมือ ค้อมกายให้เล็กน้อยแล้วหันหลังจากไป
ปีศาจในบันทึกสัตว์ประหลาดอย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าตะลึงไปเล็กน้อย ภายในใจนึกสนใจมากกว่าเดิม เขาเดินเข้าไปใต้ชายหลังคาที่แขวนโคมดวงหนึ่งไว้ เปิดอ่านคำให้การที่องครักษ์ไต่สวนเหล่าสมณะตอนอยู่ที่วัดหนานซาน หลังอ่านจบก็ยื่นส่งให้หยวนกังได้อ่านด้วย หนิวโหย่วเต้าลูบคางเอ่ยพึมพำ “หมีที่มีขนสีทอง ฟันแทงไม่เข้า หรือจะเป็นหมีขนทองในบันทึกสัตว์ประหลาด?” เขาก็เคยอ่านบันทึกสัตว์ประหลาดเช่นกัน
หยวนกังไม่เคยอ่านบันทึกสัตว์ประหลาดอะไรนั่น แต่เท่าที่อ่านคำให้การก็พอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว
หนิวโหย่วเต้ามองบันทึกคำให้การที่หยวนกังถืออยู่ ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นคนละเอียดรอบคอบคนหนึ่งเลยทีเดียว ไปเถอะ พวกเราไปทำความรู้จักปีศาจตัวนั้นกันสักหน่อย”
ทั้งสองสอบถามองครักษ์คนหนึ่งว่าที่พักของเหล่าสมณะวัดหนานซานอยู่ตรงไหน ก่อนจะตรงดิ่งไปหา
ณ เรือนเล็กหลังหนึ่ง เหล่าสมณะยี่สิบกว่ารูปนอนแบกับพื้น เบียดเสียดรวมกันอยู่ในห้องสองห้อง ปีศาจหมีหยวนฟางเองก็อยู่ในนั้น นอกจากนี้ภายในเรือนเล็กยังมีองครักษ์คอยเฝ้าอยู่ด้วย
เดินทางไกลเหนื่อยยากตรากตรำ เหล่าสมณะอ่อนล้าอย่างยิ่ง ทั้งหมดหลับใหลกรนครืดคราด ทว่าปีศาจก็คือปีศาจ พอหนิวโหย่วเต้าเข้าไปในห้อง เหล่าสมณะยังคงนอนกรนไม่รู้เรื่อง มีเพียงหยวนฟางที่นั่งทำสมาธิที่ลืมตาขึ้นทันที เมื่อเห็นหนิวโหย่วเต้ากับหยวนกัง หยวนฟางก็รีบลุกขึ้นมา ก้มศีรษะคำนับพร้อมฉีกยิ้ม
หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจหยวนฟางหัวจรดเท้า ขนาดตัวไม่สูง ดูแก่ชรา ผอมแห้งหลังค่อมเล็กน้อย ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ยังคงดูกระฉับกระเฉง ไว้เคราขาว สองเนตรส่องประกาย เปลี่ยนมาสวมชุดลำลองแทนอาภรณ์สงฆ์แล้ว สวมหมวกผ้าสักหลาดปกปิดศีรษะที่ล้านเลี่ยน แต่จากผิวศีรษะรอบๆ ที่โผล่ออกมาจากใต้หมวกผ้าสักหลาดยังคงทำให้มองออกอยู่ดีว่าหัวโล้น
เมื่อเห็นเหล่าสมณะที่นอนอยู่เต็มพื้น หนิวโหย่วเต้าก็มิได้รบกวน หากแต่กวักมือเล็กน้อย เรียกหยวนฟางออกไปนอกห้อง มาที่ห้องรับแขกของเรือนเล็ก
พอเข้าไปในห้องรับแขก หนิวโหย่วเต้าหันหลังกลับไปส่งยิ้มให้หยวนฟางที่เดินตามเข้ามาพลางกล่าวว่า “ถอดเสื้อผ้าให้ข้าดูหน่อย”
“ห๊า!” หยวนฟางเบิกตากว้าง ลังเลยิ่งนัก
หนิวโหย่วเต้าโบกมือพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าไม่เคยเห็นปีศาจ เลยอยากดูสักหน่อย”
อย่างนี้นี่เอง! หยวนฟางโล่งอก ถอนหายใจออกมา รู้สึกจนปัญญาเกินจะบรรยาย ค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยขนสีทองเพราะยังแปลงกายได้ไม่สมบูรณ์ เขายืนก้มหน้าก้มตาหดตัวอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้คนทั้งสองเดินวนดูรอบกายตนด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น แม้จะถูกหนิวโหย่วเต้าดึงขนบนร่างจนรู้สึกเจ็บก็ต้องฝืนทนไว้
จะไม่ทนก็ไม่ได้ ตัวเขาสามารถขัดขืนได้ แต่การขัดขืนของเขาจะนำพาหายนะมาให้เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซาน
หลังจากวนดูอยู่หลายรอบ จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็ส่งสายตาให้หยวนกัง หยวนกังชักมีดสั้นที่เหน็บอยู่ตรงขาออกมา ประกายแสงเยียบเย็นสายหนึ่งวูบไหวตามมือที่เหวี่ยงออกไป
คมมีดฟันลงบนร่างหยวนฟาง เคร้ง! เสียงโลหะเสียดสีดังขึ้นมา พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหยวนฟางฟันแทงไม่เข้าจริงๆ ขนไม่ขาดร่วงเลยสักนิด ผิวหนังเองก็ไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
หยวนฟางกลับสะดุ้งโหยง หันขวับมาทันที ถอยกรูดหลบฉากไป สีหน้าหวาดระแวงสับสน ทำไมต้องใช้มีดด้วยล่ะ?
แต่ความสนใจของหนิวโหย่วเต้ากลับไม่ลดลงเลย เขาหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัวๆ เอาล่ะ กลับร่างเดิมให้ดูหน่อยสิ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเล เขาพลันเลิกคิ้ว ร้อง “หืม” คราหนึ่ง
หยวนฟางเคยเห็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว พวกซ่งเหยี่ยนชิงทั้งสามยังสู้อีกฝ่ายคนเดียวไม่ได้เลย เขาไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ได้ จึงได้แต่ต้องยอมสยบต่อการข่มขู่ของอีกฝ่าย ค่อยๆ คลายสายรัดเอว ถอดกางเกงออก ด้านในยังมีกางเกงขาสั้นหลวมๆ อยู่
ให้ถอดเสื้อผ้าน่ะไม่ติดอะไรหรอก ประเด็นสำคัญคือถูกบุรุษสองคนจ้องมองอย่างไม่วางตาต่างหาก เขาบำเพ็ญเพียรจนเกิดปัญญาชื่นชมในธรรมชาติของมนุษย์ ย่อมมีความรู้สึกเขินอายเช่นกัน
หยวนฟางสลัดรองเท้าออก เมื่อปราศจากสิ่งพันธนาการแล้ว หยวนฟางพลันสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งในทันใด ลมหายใจนั้นราวกับเป่าให้ทั้งร่างของเขาพองตัวขึ้นมา แขนขาก็หนาใหญ่ขึ้น ใบหน้าเองก็ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน ศีรษะโล้นเลี่ยนเริ่มมีขนสีทองงอกยาวออกมา เนื้อหนังบนใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวกลายเป็นสีดำ
ขั้นตอนนี้ดูน่าสยองอยู่บ้าง ทำให้คนตกใจได้ง่ายๆ ทว่าหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังมิใช่คนทั่วไป เคยเห็นสิ่งที่น่าสยดสยองจำพวกซากศพในสุสานมามากมายแล้ว แม้แต่ผีดิบก็เคยเจอมาแล้ว สถานการณ์นี้สร้างความตกใจให้ทั้งสองไม่ได้เลย ขั้นตอนการแปลงกายนี้กลับทำให้ทั้งสองรู้สึกสนใจใคร่รู้
หยวนกังที่ตามปกติมักจะมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เป็นนิตย์ก็เผยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นออกมา
พริบตาเดียว หมียักษ์ที่มีขนทองเปล่งปลั่งทอประกายตัวหนึ่งก็ยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสองด้วยท่าทางการยืนคล้ายหมีควาย ขนาดร่างกายใหญ่โตบึกบึนกว่าตอนแรกถึงสามเท่า สูงใหญ่องอาจ แลดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง กางเกงขาสั้นที่หลวมโคร่งตัวนั้นขยายตัวจนฉีกขาด สวมอยู่รอบเอวเหมือนกระโปรงหญ้า อุ้งเท้าและผิวหน้าดูหนาด้านดำสนิท กรงเล็บแหลมคมส่องประกาย
นับว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่ ทำความรู้จักสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ทั้งสองวนเวียนสำรวจชื่นชมหมีขนทองใหญ่ยักษ์ตัวนี้
หมีขนทองแลบลิ้นออกมา ดวงตากลอกหมุนไปทาวซ้ายทีทางขวาทีตามการเดินวนของคนทั้งสอง มองเห็นได้ถึงความจนปัญญาอยู่ในสายตา ไม่ทราบเช่นกันว่ามนุษย์ทั้งสองจะชมดูกันไปถึงเมื่อไร
ผ่านไปพักหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าส่งสายตาให้หยวนกังอีกครั้ง หยวนกังกวัดแกว่งมีดสั้นในมือ แว่วเสียงโลหะเสียดสีอีกสองสามที ไม่สามารถฟันทะลุการป้องกันของขนทองได้ จู่ๆ เขาพลันตวัดมือเปลี่ยนท่าทาง ใช้มีดสั้นแทงเข้าที่ต้นขาของหมีขนทองตรงๆ ครั้งนี้กลับเห็นโลหิต มีดปักเข้าไปในต้นขาเล็กน้อย
“อ๋าว…” หมีขนทองร้องโหยหวนกระโจนหนี ปากขยับแว่วเสียงมนุษย์เอ่ยวิงวอน “ทั้งสองโปรดเมตตาละเว้นอาตมาได้หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว จริงอยู่ที่ขนทองนี้ฟันไม่เข้า แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความหนาแน่น ป้องกันคมศาสตราที่แทงเข้าไปตรงๆ ไม่ได้ เขาโบกมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขออภัย ขออภัย แปลงร่างกลับเถอะ!”
ทันใดนั้นหมีขนทองเสมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็กลับมาเป็นหยวนฟางคนเดิมอีกครั้ง เขาหมุนตัวหันหลังให้ ฉีกเศษผ้าขาดรุ่งริ่งบนเอว ห่อพันต้นขาบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้อย่างง่ายๆ จากนั้นเดินโขยกเขยกไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมอีกครั้ง
เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จ หยวนฟางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม สีหน้าดูเศร้าหมองเล็กน้อย
หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญ “แข้งขาเจ้าไม่สะดวกแล้ว นั่งคุยกันดีกว่า”
หยวนฟางหดถอยไปสองก้าวแล้วนั่งลงไป เริ่มรับการซักไซ้ไต่ถามจากหนิวโหย่วเต้า บอกเล่าถึงสิ่งที่ตนทำตอนที่อยู่วัดหนานซาน แล้วก็ทำเหมือนกับตอนที่รับสารภาพไปกับซ่งเหยี่ยนชิงในตอนแรก พูดย้ำอีกครั้งว่าตนทำความดีไปมากน้อยแค่ไหนเพื่อบอกว่าตนมิใช่คนชั่ว
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ขบขัน ไม่ว่าจะทำเพื่อฟื้นฟูวัดหนานซาน หรือทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ปล้นชิงก็คือปล้นชิง ไยต้องหาข้ออ้างมามากมายปานนั้น ช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านนิดๆ หน่อยๆ ก็เรียกว่าปล้นคนรวยช่วยคนจนแล้วหรือ? เช่นนั้นหากกระทำเรื่องเลวทรามแล้วค่อยมาทำความดีก็ถือว่าล้างบาปได้แล้วอย่างนั้นหรือ? พูดจาเสียสวยหรูว่ากวาดล้างกองโจร ความจริงคือเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ สถานที่แห่งหนึ่งหากมีการปล้นชิงมากเกินไป จะส่งผลกระทบต่อช่องทางทำเงินของวัดหนานซานของพวกเจ้า ดังนั้นถึงได้กวาดล้างโจรพวกนั้นไปจนหมด
“การปล้นชิงคร่าชีวิตในช่วงสองปีมานี้เก็บเงินได้เท่าไร?” หนิวโหย่วเต้านั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้ นิ้วมือเคาะโต๊ะน้ำชาเบาๆ พลางเอ่ยถาม
หยวนฟางส่ายหน้า “ไม่มีเงินเลย”
หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเสียดสี “ทำไม กลัวข้าจะปล้นเงินเจ้าหรือ?”
หยวนฟางส่ายศีรษะกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ที่ตั้งของวัดหนานซานอยู่ห่างไกลเกินไป หาเงินได้ไม่เท่าไร ในวัดมีปากท้องให้เลี้ยงดูมากมายถึงเพียงนี้ ซ้ำยังต้องบูรณะวัดวาที่เสื่อมโทรมลง รวมถึงช่วยจุนเจือชาวบ้านด้วยเป็นครั้งคราว เหลือเงินอยู่แค่ไม่กี่ร้อยเหรียญทองเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านอ๋องก็ได้ริบเงินทั้งหมดนั้นไปแล้ว บอกว่าเป็นค่ากินค่าอยู่ระหว่างเดินทางของพวกข้า!”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะออกมา ที่แท้พวกเขาก็ถูกซางเฉาจงที่กำลังขัดสนเงินทองปล้นไปจนหมด จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าปีศาจ หรือเจ้ายังคิดว่าตนถูกรังแกอยู่? เจ้าโชคดีมากแล้วที่ได้พบพวกเรา เดินย่ำอยู่ริมแม่น้ำเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร ทำเรื่องชั่วร้ายสักวันก็ต้องพลาดท่า เจ้าดักปล้นชิงอยู่ที่นั่น ไม่ช้าก็เร็วคงต้องเจอดี หากพบผู้บำเพ็ญเพียรขจัดปีศาจปราบมารร้ายเหล่านั้นเข้า นั่นคือวันตายของเจ้าแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน ต่อไปมาติดตามข้าเป็นอย่างไร? ข้าจะมอบฐานะตัวตนที่สามารถไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยได้ให้เจ้า”
หยวนฟางทำหน้าเศร้า เอ่ยออกมาว่า “ฝ่าซือ ท่านปล่อยข้าไปเถิด ข้ารับปากอดีตเจ้าอาวาสไว้แล้วว่าจะค้ำจุนวัดหนานซานให้คงอยู่สืบไป ข้าได้มอบคำสัตย์ต่อหน้าพุทธองค์แล้ว ชาตินี้จะรับผิดชอบฟื้นฟูวัดหนานซาน หากผิดคำสาบานนี้ขอให้ตกนรกหมกไหม้!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องนี้จัดการง่ายนัก เจ้าติดตามข้า วันหน้าข้าจะช่วยเจ้าสร้างวัดที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า”
หยวนฟางเงยหน้าขึ้นทันที “จริงหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบไปว่า “อย่างน้อยก็คงมอบเงินที่มากพอสำหรับสร้างวัดที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าให้เจ้าได้”
หยวนฟางรู้สึกคำพูดของอีกฝ่ายไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ประเด็นสำคัญคือเขาไม่อยากเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งอันใด หลังจากใคร่ครวญดูครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเสียงอ่อยๆ “ไม่จำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนั้นเลย ให้ข้าคิดหาทางด้วยตัวเองจะดีกว่า”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะหยัน “จะไม่ไว้หน้าข้าอย่างนั้นหรือ? ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้คิดดูเป็นครั้งสุดท้าย อย่าบีบให้ข้าต้องไร้ปราณี!”
หยวนฟางเปลี่ยนท่าทางทันที พยักหน้าอย่างไม่ลังเลพร้อมกล่าวว่า “ขอรับ! ต่อไปจะเชื่อฟังฝ่าซือ!”
หนิวโหย่วเต้าหันไปกล่าวกับหยวนกัง “วันหน้าหากปีศาจตัวนี้ไม่เชื่อฟัง ก็จัดการสมณะแห่งวัดหนานซานเหล่านั้นให้หมดซะ!”
หยวนกังพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองหยวนฟางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเยียบเย็น
หยวนฟางสะดุ้งโหยง รีบโบกไม้โบกมือเอ่ยไปว่า “ไม่มีทางๆ พวกเราล้วนว่านอนสอนง่าย!”
เก็บปีศาจตนหนึ่งได้โดยไม่ตั้งใจ ต่อไปค่อยๆ ทำการศึกษาไปอย่างช้าๆ ได้! หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นยืนอย่างรู้สึกพึงพอใจ “คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย”
หยวนฟางก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน พนมมือกล่าวว่า “อาตมาคือหยวนฟาง”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “นี่เจ้าเอาจริงหรือ หยวนฟางใช่เจ้าจริงๆ หรือไง? ข้าถามถึงชื่อจริงของเจ้า”
หยวนฟางถึงได้ตอบว่า “ข้าไม่มีชื่อ เมื่อก่อนคนในวัดต่างเรียกข้าว่าเสี่ยวจิน”
“เสี่ยวจิน?” หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจรูปลักษณ์ที่ดูแก่ชราของเขาเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปที่หยวนกังพลางกล่าวว่า “เขาคือเจ้าลิง ต่อไปจะเรียกเจ้าว่าเจ้าหมีแล้วกัน!”
หยวนฟางมองหยวนกังทันที เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าเป็นลิงหรือ?” ท่าทางราวกับจะสื่อว่าเจ้าปกปิดตัวตนได้มิดชิดจนข้ามองไม่ออกเลย
……………………………………………………………………