ตอนที่ 97 บรรลุสภาวะ
ณ ศาลารับลมหลังหนึ่งบนเนินเขา เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นอยู่ตรงด้านข้างศาลา ซางซูชิงคอยเข็นอยู่ด้านหลัง ทั้งสองมองถ้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นหนิวโหย่วเต้าเข้าไปด้านใน ม่านถูกปล่อยลงมา มองเห็นหยวนกังและหยวนฟางเฝ้าอยู่หน้าปากถ้ำ
เหมิงซานหมิงเอ่ยถาม “ดูจากหน้าตาท่าทางแล้ว อายุของเขาน่าจะยังไม่มากใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงใคร่ครวญเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “เขาเข้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตั้งแต่เยาว์วัย โดนกักบริเวณอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ห้าปีก่อนจะถูกข้าเชิญลงเขา คำนวณดูแล้วอายุคงยังไม่มากแน่นอน น่าจะไล่เลี่ยกับข้า”
เหมิงซานหมิงจ้องมองไปทางถ้ำพยักหน้ารับนิดๆ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจ “น่าทึ่งนัก! ท่านตงกัวเชี่ยวชาญด้านการมองคนโดยแท้ มิน่าถึงเลือกรับเขาเป็นศิษย์ก่อนสิ้นใจ เกรงว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงพลาดโอกาสครั้งใหญ่แล้ว!”
สายตาของซางซูชิงที่กำลังจ้องมองดูถ้ำเลื่อนกลับมามองเขา เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านลุงเหมิง ผู้บำเพ็ญเพียรเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ? เหตุใดท่านถึงสะท้อนใจเช่นนี้เล่า?”
เหมิงซานหมิงอธิบายว่า “ถึงกระหม่อมจะมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร แต่ในอดีตก็เคยพบปะคลุกคลีกับผู้บำเพ็ญเพียรมาไม่น้อย พอจะเข้าใจวิถีของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรอยู่บ้าง แม้นการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่มันก็ไม่ได้คร่ำเคร่งจริงจังเหมือนอย่างเขาเช่นนี้ การบำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปสามารถหยุดพักได้ตลอดเวลา หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอันใดก็สามารถรับมือเองได้ ทว่ามีการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรประเภทหนึ่งที่แตกต่างไปจากปกติพ่ะย่ะค่ะ เป็นการเก็บตัวในตอนที่สภาวะกำลังจะบรรลุข้ามไปยังระดับสภาวะที่สูงกว่า ในช่วงเวลานี้ผู้บำเพ็ญเพียรจะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีกำลังพอจะปกป้องตัวเอง กระทั่งเด็กสามขวบคนหนึ่งก็อาจจะสังหารเขาได้ จึงมิอาจถูกรบกวนได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นสภาวะอาจจะถูกจำกัด มิอาจคืบหน้าไปตลอดชีวิต หรือที่หนักกว่านั้นก็คือธาตุไฟเข้าแทรก และที่ร้ายแรงที่สุดคือกลายเป็นภัยถึงชีวิต เช่นนี้แล้วในเวลานี้เขาระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้ ซ้ำยังขอให้พวกเราส่งคนไปเฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบ ท่านหญิงคิดว่าการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรของเขาเป็นแบบใดเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูซิตกใจไม่น้อย ตอบไปว่า “คล้ายจะเป็นแบบหลัง!”
เหมิงซานหมิงพยักหน้าพลางเอ่ยต่อว่า “กระหม่อมก็คิดว่าเป็นอย่างหลัง! พระองค์เล่าว่าเคยเห็นเขาลงมือตอนอยู่ที่วัดหนานซาน เขาเอาชนะศิษย์พี่ทั้งสามได้อย่างง่ายดาย เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เกรงว่าคนผู้นี้กำลังเก็บตัวเพื่อทะลวงสภาวะสู่ระดับสร้างฐานพ่ะย่ะค่ะ มีความเป็นได้สูงว่าจะเป็นเช่นนี้! อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับทะลวงสู่ระดับสร้างฐานแล้ว น่าจะเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่งในโลกบำเพ็ญเพียร หากให้เวลาฝึกฝนขัดเกลาสักหน่อย อนาคตย่อมรุ่งโรจน์ไร้สิ้นสุด! หากเขาสามารถออกจากการเก็บตัวได้อย่างราบรื่น…ท่านหญิง พระองค์ต้องกำชับท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ บอกให้ท่านอ๋องผูกมิตรกับคนผู้นี้ไว้ให้ดี อย่าทำพลาดเหมือนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์!”
ซางซูชิงพยักหน้าตอบอืมคำหนึ่ง “ท่านลุงเหมิง ข้าจำไว้แล้ว” แต่ในใจกลับครุ่นคิด ข้าก็ทำเช่นนี้มาตลอดอยู่แล้ว
“เขาน่าจะไม่ออกมาภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ไปกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” เหมิงซานหมิงเอ่ยเสียงเรียบเฉย
ซางซูชิงดันรถเข็นหันหลังกลับ ค่อยๆ เข็นลงเขาไป พอถึงด้านหน้าเนินที่ลาดลงเขาก็มีคนเข้ามารับช่วงต่อ แบกรถเข็นลงเขาไป
…..
ภายในถ้ำ เมื่อแสงตะเกียงดับลง ร่างกายและจิตใจของหนิวโหย่วเต้าก็ค่อยๆ จมดิ่งลงในความมืดมิด ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านใดๆ อีก
จู่ๆ ภายในความมืดพลันมีแสงสว่างจุดหนึ่งสาดกระจายออก ประตูชีพจรภายในร่างเปิดออก จิตสำนึกไหลผ่านเข้าไป
ผู้คนในวิถีบำเพ็ญเพียรต่างเรียกมันว่าการพินิจดูภายใน ยามที่สามารถรับรู้ถึงสภาพภายในร่างกายของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ในระดับหนึ่งแล้ว ในตอนที่สามารถรวบรวมสภาพภายในทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ ทั้งโครงสร้างและรูปทรงก็จะก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเอง ทุกสิ่งทุกอย่างภายในร่างกายจะปรากฏเป็นผังภาพแจ่มชัดอยู่ในสมอง หรือต่อให้เป็นเรื่องราวอื่นๆ ที่ไม่ใช่ร่างกายตน ยามที่เราทำความเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดได้แล้ว อย่างน้อยเราก็พอจะเข้าใจสถานการณ์โดยคร่าวๆ ของสิ่งของหรือเรื่องราวเหล่านั้นได้เช่นกัน
ทันทีที่จิตสำนึกจดจ่ออยู่ภายในร่าง ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในร่างกายล้วนปรากฏอยู่ในหัวหนิวโหย่วเต้า
แสงสีทองและแสงสีเงินหมุนวนพัวพันกันไปมาอย่างเชื่องช้า ในเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตูต่างมีแสงสีเงินและแสงสีทองอยู่หนึ่งคู่ เต็มไปด้วยกระแสปราณอันทรงพลังไหลเวียนวน พร้อมปลดปล่อยออกมาทุกเมื่อ
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ยามที่ปราณแท้ต้นกำเนิดของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปสงบนิ่ง มันจะถูกเก็บอยู่ในจุดตันเถียนอันเป็นทะเลปราณ แต่ปราณแท้ต้นกำเนิดของหนิวโหย่วเต้ากลับมีอยู่สองสาย แยกเก็บอยู่ในเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตู การที่เป็นแบบนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทำให้สามารถปลดปล่อยกระแสปราณเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้อย่างรวดเร็ว
ภายในร่างเหลือยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายอยู่สามสิบเอ็ดสาย ยังคงยึดแน่นอยู่ในจุดลมปราณทั้งสามสิบเอ็ดจุดเสมือนใยแมงมุม
เดิมทีมีสามสิบหกสาย ใช้ป้องกันอีกาปีศาจที่วัดร้างในหมู่บ้านหนึ่งสาย ใช้ตอนใกล้จะแข็งตายช่วงล่องแพหนึ่งสาย ใช้ต้านรับการโจมตีของถังซู่ซู่อีกหนึ่งสาย ใช้ฝึกฝนเคล็ดวิชามหาจักรวาลอีกสองสาย เหลืออยู่สามสิบเอ็ดสาย
หลังออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขาก็ไม่กล้าหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่เหลืออีก เพราะถ้าหากเขายังฝืนหลอมยันต์แล้วดูดซับต่อไป ปราณแท้ก็จะยิ่งเปี่ยมล้นและแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องทำให้เส้นลมปราณพังเสียหายแน่
สร้างฐาน ความหมายก็ตรงตามชื่อ ก่อสร้างรากฐานที่มีความมั่นคงยิ่งขึ้น และรากฐานในการเดินลมปราณก็คือเส้นลมปราณ
เป้าหมายในการเก็บตัวครั้งนี้ก็คือบรรลุสภาวะสู่ระดับสร้างฐาน การทะลวงสู่ระดับสร้างฐานก็คือการเสริมสร้างเส้นลมปราณให้แข็งแกร่งขึ้น ทำให้คูน้ำที่สามารถรองรับได้เพียงลำธารสายเล็กๆ ขยายตัวเป็นแม่น้ำกว้างที่สามารถรองรับกระแสน้ำเชี่ยวกรากได้
หลังจากปรับสภาพจิตใจและลมปราณให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว แสงสีเงินและแสงสีทองทั้งสองคู่ที่อยู่ในเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตูก็หมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลำแสงสองคู่ผสานรวมเข้าด้วยกัน พุ่งเข้าใส่ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสายหนึ่งที่ฝังตัวอยู่ในจุดปราณพร้อมกัน หมุนวนอยู่รอบยันต์ด้วยความเร็วสูง ปราณร้อนเย็นสองสายผนึกกำลังเข้าหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกาย
โดยปกติทั่วไป ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรจะบรรลุเข้าสู่ระดับสร้างฐาน พวกเขาจำเป็นต้องใช้ ‘โอสถรวมวิญญาณ’ เป็นจำนวนไม่น้อย โอสถนี้เป็นทรัพยากรบำเพ็ญเพียรที่สำคัญที่สุดของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้า หลอมสกัดขึ้นมาจากสมุนไพรวิญญาณที่สะสมรวบรวมมา แฝงไอวิญญาณเอาไว้มากมาย ในสำนักบำเพ็ญเพียรต่างๆ ยามที่ศิษย์ในสำนักถึงช่วงทะลวงสภาวะ สำนักเหล่านั้นจะให้การสนับสนุนด้านโอสถวิญญาณ ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่มีใครมาให้การสนับสนุนในเรื่องนี้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณเขาห้าปี ไม่เคยมอบโอสถให้เขาเลยสักเม็ด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ลิ้มลองเลยว่า ‘โอสถรวมวิญญาณ’ มีรสชาติเป็นอย่างไร
โชคดีที่ตงกัวเฮ่าหรานใช้แหล่งกำเนิดพลังของตัวเองประทับยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสามสิบหกสายไว้ในร่างเขา โชคดีที่เคล็ดวิชามหาจักรวาลที่เขาฝึกฝนสามารถหลอมกลั่นปราณแท้แปลกปลอมในร่างให้มาเป็นปราณแท้ของตัวเองได้
ถ้าหากจะเทียบกันจริงๆ แล้ว ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่ตงกัวเฮ่าหรานประทับไว้ในร่างเขามีปริมาณไอวิญญาณที่มหาศาลกว่าโอสถรวมวิญญาณเหล่านั้นมากนัก
หากจะให้ยกตัวอย่าง ไอวิญญาณก็เป็นเหมือนฝุ่นธุลีที่ล่องลอยกระจัดกระจาย แหล่งกำเนิดพลังคือฝุ่นธุลีที่มารวมตัวกันเป็นก้อนหินแข็งๆ ทั้งสองสิ่งแตกต่างกันขนาดไหน เพียงแค่ลองคิดดูก็รู้แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายหนึ่งสายที่ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของพลังงานถึงได้มีอานุภาพรุนแรงจนถึงขั้นที่สามารถรับการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองอย่างถังซู่ซู่ผู้นั้นได้!
แสงสีเงินและแสงสีทองสองคู่หมุนวนอยู่รอบยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสายนั้นอย่างรวดเร็ว หนิวโหย่วเต้าเร่งความเร็วในการหลอมยันต์ไปถึงระดับสูงสุดแล้ว
กลุ่มแสงสองคู่ที่หมุนวนหลอมละลายแหล่งกำเนิดพลังของตงกัวเฮ่าหรานอย่างต่อเนื่อง ดูดซับปราณแท้ที่ผ่านการหลอมละลายเข้าไป มูมมามคล้ายคนหิวกระหาย ยิ่งดูดซับมากเท่าไร กลุ่มแสงทั้งสองคู่ก็ดูคล้ายจะกระฉับกระเฉงขึ้นเรื่อยๆ ส่องแสงระยิบระยับ
ทว่าหนิวโหย่วเต้าที่เป็นเสมือนภาชนะรองรับพวกมันกลับได้รับแรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกลุ่มแสงสองคู่ดูดซับปราณแท้ไปมากเท่าไร พลังปราณที่เอ่อล้นแผ่ซ่านออกมาก็ยิ่งดุดันแกร่งกล้าขึ้นเท่านั้น หนิวโหย่วเต้าสัมผัสได้ว่าเส้นลมปราณภายในร่างเขาค่อยๆ ถูกพลังปราณที่เอ่อล้นออกมาเติมเต็ม แล้วก็ค่อยๆ ขยายตัวออก
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งหมายความว่าแรงดันจากการขยายตัวของเส้นลมปราณก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิดค่อยๆ แสดงสีหน้าเจ็บปวดทรมาน มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาตามใบหน้า
เส้นลมปราณภายในร่างถูกขยายออกทีละนิดๆ จนค่อยๆ มีรอยปริแตก แต่เขายังหยุดตอนนี้ไม่ได้ ยังต้องอดทนดูดซับต่อไป แล้วก็ต้องควบคุมทิศทางของแรงดันและการขยายตัวด้วย ไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ที่บางจุดถูกขยายตัวจนระเบิด แต่บางจุดกลับยังไม่มีรอยปริแตกได้ จำเป็นต้องรักษาระดับการขยายตัวของเส้นลมปราณทั้งหมดภายในร่างให้มีความเท่าเทียมกัน เรียกได้ว่าเป็นการหาทุกข์ใส่ตัวโดยแท้
การที่ภายในร่างกำลังฉีกทึ้งตัวเองอยู่เช่นนี้ เขาต้องเผชิญกับเจ็บปวดขนาดไหน เพียงแค่คิดดูก็คงจะรู้ ไม่รู้เลยว่ากระบวนการนี้ดำเนินมานานแค่ไหนแล้ว
จนกระทั่งเส้นลมปราณทั่วร่างขยายกว้างขึ้นเกือบเท่าตัว เต็มไปด้วยรอยปริแตกกระจัดกระจายไปทั่ว
จนกระทั่งหนิวโหย่วเต้ารู้สึกรับไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าหากยังดำเนินต่อไป เส้นลมปราณทั้งสายจะแตกร้าวพังทลายได้ รับรู้ได้ว่าเส้นลมปราณมาถึงขีดจำกัดสูงสุดที่จะทนรับไหวแล้ว เขาถึงได้หยุดหลอมยันต์เพื่อดูดซับและถ่ายเทแรงดันออกไป
สองมือที่สั่นระริกด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ ยกขึ้นมาเบื้องหน้า ทำท่าเหมือนโอบอุ้มลูกบอลไว้ตรงทรวงอก ค่อยๆ เคลื่อนหมุนวนอย่างช้าๆ
กลุ่มแสงสีเงินและแสงสีทองสองคู่ภายในร่างเริ่มพุ่งทะลวงไปตามเส้นลมปราณที่แผ่ขยายไปตามแขนขาและร่างกาย โคจรไปทั่วร่างแบบมหาจักรวาลอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับปลดปล่อยพลังงานของมันออกมา ละอองแสงสีเงินและสีทองหลั่งไหลออกมาตลอดทาง ละอองแสงนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่วทั้งเส้นลมปราณ ละอองแสงที่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่องเริ่มแทรกซึมเข้าไปตามรอยปริแตกที่กระจายตัวไปทั่วทั้งเส้นลมปราณ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นและเย็นสบายจากละอองแสงนับไม่ถ้วนที่ผสานเข้าไปตามรอยปริแยก สบายจนวิญญาณคนแทบโบยบินออกจากร่าง
เป็นความผ่อนคลายภายใต้ความอ่อนล้าสุดขีด ผ่อนคลายจนทำให้รู้สึกอยากนอน หนิวโหย่วเต้าต้องพยายามประคองสติ ทำให้ตัวเองตื่นตัวเข้าไว้ ไม่ให้ตนหลับไป หากในเวลานี้ไม่สามารถถ่ายเทพลังงานเข้าไปตามเส้นลมปราณเพื่อปรับเปลี่ยนเส้นลมปราณให้มีความแข็งแกร่งทนทานขึ้นมาได้ล่ะก็ นั่นไม่เพียงแต่จะทำให้ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดต้องสูญเปล่าเท่านั้น แต่เส้นลมปราณที่ได้รับความเสียหายจะไร้ค่าไปด้วย เขาจะเดินลมปราณไม่ได้อีก
หลักเหตุผลก็ง่ายๆ เพราะเส้นลมปราณที่ขยายตัวจนอยู่ในสภาพนี้เรียกได้ว่ามาถึงขีดจำกัดที่จะทนรับไหวแล้ว ทันทีที่บาดแผลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งเส้นลมปราณภายในร่างกายผสานเข้าหากันแล้ว เราก็ไม่อาจทำให้มันปริแตกเป็นครั้งที่สองได้อีก เพราะถ้าฝืนทำให้ปริแตกขึ้นมาอีกครั้ง เส้นลมปราณก็จะเกิดการระเบิดตัวทันที
ขณะที่ละอองแสงนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย ประกายแสงที่อยู่บนกลุ่มแสงทั้งสองคู่ก็อ่อนตัวลงเรื่อยๆ
ไม่ทราบเช่นกันว่ากระบวนการนี้ดำเนินอยู่นานแค่ไหน หนิวโหย่วเต้าไม่มีสติพอจะคำนวณเวลาได้ เขารู้เพียงแต่ว่าต้องยืนหยัดต่อไปเท่านั้น
จนกระทั่งแสงสว่างที่ปกคลุมกลุ่มแสงสองคู่เหือดหายไปจนหมดและเผยร่างเดิมของแสงสีเงินและสีทองออกมา จากนั้นตัวมันก็พลันสิ้นสีสัน หลังจากที่พวกมันแทบจะหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงจะหยุดโคจรพลัง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เบื้องหน้าตกอยู่ในความมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด
เขาอยากขยับตัว แต่พบว่าแค่เพียงจะขยับนิ้วสักนิ้วก็ยังทำได้ยาก ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยก็เจ็บปวดจนทนไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าถ้าเคลื่อนไหวมากไปจะต้องล้มลงอย่างแน่นอน ยากจะควบคุมการทรงตัวของร่างกายตามที่ตนต้องการได้ เขาเปล่งเสียงอย่างอ่อนระโหยโรยแรงออกมา “ลิง…เจ้าลิง…เจ้าลิง…”
ไม่รู้ว่าเรียกอยู่กี่ครั้ง ถึงได้มีเสียงของหยวนฟางแว่วเลือนรางมาจากด้านนอก “หยวนเหยี่ย ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะเรียกท่านอยู่นะขอรับ” ประสาทหูของเขายังคงเฉียบไวนัก
พลันมีแสงสว่างลอดมาจากทางปากถ้ำ มีคนแหวกม่านออก หลังจากได้ยินเสียงและแน่ใจแล้วว่าเป็นเสียงเรียกของหนิวโหย่วเต้าจริงๆ เสียงฝีเท้าของทั้งสองก็แว่วเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แสงจากตะบันไฟส่องวาบขึ้นมา จุดตะเกียงน้ำมันที่อยู่ตรงมุม
หยวนกังถือตะเกียงน้ำมันเดินเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้าพร้อมกับหยวนฟาง พวกเขาได้กลิ่นคาวเลือดก่อนเป็นอันดับแรก กระทั่งมองเห็นสภาพหนิวโหย่วเต้าอย่างชัดเจน ทั้งสองต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก มองเห็นหนิวโหย่วเต้าเสมือนมีเลือดปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง แข็งตัวกลายเป็นเปลือกห่อหุ้มทั่วร่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้า แววตาหม่นแสงไร้กำลัง
“เต้าเหยี่ย ท่านเป็นอะไร” หยวนกังตกใจจนหน้าถอดสี เข้าไปพยุงเขา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อย่าเคลื่อนย้ายข้า ตอนนี้ข้าขยับไม่ได้…” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าอย่างอ่อนแรงพลางเอ่ยตอบ เขารู้ดีว่าเลือดบนร่างตนมาจากไหน เป็นเลือดที่ค่อยๆ ไหลซึมออกมาตามรูขุมขนในช่วงที่กำลังทะลวงสภาวะ
หยวนกังได้ยินก็รีบปล่อยมือ บนใบหน้าที่ราบเรียบไร้อารมณ์เสมอมาพลันฉายแววตึงเครียด “เต้าเหยี่ย ตอนนี้ท่านอยากให้ข้าทำอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าถามอย่างอ่อนแรง “ข้าเก็บตัวมานานแค่ไหน?”
หยวนฟางตอบให้ทันที “เก้าวันขอรับ! เต้าเหยี่ย ท่านเก็บตัวมาเก้าวันเต็ม!”
เก้าวันอย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าฝืนยิ้มออกมา เก้าวัน น้ำสักหยดไม่ตกถึงท้อง ไม่แปลกเลยที่จะหิวน้ำขนาดนี้ เขาเค้นเสียงออกมาจากลำคอ “น้ำ…หิว…น้ำ…”
หยวนกังพยักหน้าหงึกๆ หันไปมองแวบหนึ่ง พบว่าหยวนฟางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ สำรวจสภาพของหนิวโหย่วเต้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น หยวนกังโมโหขึ้นมาทันที ยันเท้าออกไปทีหนึ่ง ถีบหยวนฟางที่ไม่ทันระวังตัวล้มกลิ้งตกบันได ตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “มองอะไร? น้ำ! ไม่ได้ยินหรือ? ยังไม่รีบไปเอามาอีก!”
………………………………………..