ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 165 ตรวจสอบแล้วไม่พบคนผู้นี้

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 165 ตรวจสอบแล้วไม่พบคนผู้นี้

ตอนที่ 165 ตรวจสอบแล้วไม่พบคนผู้นี้

อำเภอฉินอันเป็นอำเภอเล็กๆ กำแพงเมืองเก่าทรุดโทรม แสงอาทิตย์ยามอัสดงฉาบไล้ ควันไฟจากในครัวลอยอ้อยอิ่ง

ภายในโรงเตี๊ยม หนิวโหย่วเต้าแช่อยู่ในถังอาบน้ำ หันหน้าไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ มองดูพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยตกดิน ด้านข้างมีสุรากาหนึ่งและกระบี่เล่มหนึ่งวางไว้ตามเดิม

แสงแดงเรื่อส่องลอดเข้ามาในห้อง ส่องกระทบร่างคนที่อยู่ในถังอาบน้ำจนแดงเรื่อเช่นกัน

เสียงเคาะประตูก๊อกๆ ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของเฮยหมู่ตาน “เต้าเหยี่ยเจ้าคะ!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “แช่น้ำอยู่ หากไม่มีเรื่องด่วนเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

แอ๊ด! เฮยหมู่ตานเปิดประตูเข้ามา ประตูถูกปิดลง มีเสียงฝีเท้าแว่วเข้ามาหา

หนิวโหย่วเต้าเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูที่วางพาดอยู่ด้านข้างมาคลุมลงไปใต้น้ำ “มีอะไรก็ยืนคุยตรงนั้นเถอะ”

เฮยหมู่ตานเดินเข้ามาหยุดริมอ่างน้ำ เมียงมองเข้าไปในถัง พบว่าถูกบังเอาไว้มองไม่เห็นอะไรเลย จึงเอ่ยเหน็บแนมว่า “เหนียมอายกว่าสตรีเสียอีก”

หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้หดหนี ยังคงแช่อยู่ตรงนั้น เอ่ยเสียงเรียบว่า “มีอะไรก็ว่ามา เจ้าทำแบบนี้ข้าไม่ชอบ”

เฮยหมู่ตานลากเก้าอี้มานั่งด้านข้างเขา เลิกแขนเสื้อสองข้างขึ้น หยิบผ้าขนหนูอีกผืนมา ชุบน้ำให้หมาด ช่วยขัดไหล่และแขนให้เขา “ปรนนิบัติท่านก็ไม่ชอบหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าหันมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าเคารพกฎหน่อยจะดีกว่า”

เฮยหมู่ตานย้อนถาม “ท่านไม่รู้หรือว่าข้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? แม้นทำเช่นนี้คล้ายจะหน้าไม่อายอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วการติดตามบุรุษสักคนก็เป็นแหล่งพักพิงที่ดีที่สุดสำหรับสตรี ข้าชื่นชมท่าน ยินดีพลีกายถวายหัวติดตามท่าน ข้าถือว่าตัวเองเป็นคนของท่านแล้ว เช่นนี้ท่านก็ไม่ชอบหรือ? แน่นอน ข้าเองก็หวังเช่นกันว่าท่านจะมองข้าเป็นคนของท่าน เป็นคนกันเอง ข้าชอบที่ได้เห็นพวกเขาเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่าน นี่ข้าพูดจากใจจริงนะเจ้าคะ”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามขึ้นมา “กลับมาเร็วขนาดนี้ ทำงานเสร็จแล้วหรือ?”

เฮยหมู่ตานดันตัวเขาเล็กน้อย ช่วยถูแผ่นหลังให้เขา “ท่านดูถูกข้าเกินไปแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้จะยุ่งยากสักเท่าไรกันเชียว? แปลงโฉมปลอมตัวเล็กน้อย หาพวกว่างงานสักสองสามคนมา ให้เงินนิดหน่อย แล้วให้พวกเขาแยกไปทำงานตามที่ต่างๆ ก็ใช้ได้แล้ว คนว่างงานพวกนี้ชอบงานสบายได้เงินง่าย ชอบทำงานที่ไม่ต้องเปลืองกำลังเช่นนี้ ข้าบอกว่าถ้าจัดการได้ดีจะมีรางวัลให้ แต่แน่นอน เงินรางวัลที่ว่านั้นไม่มีทางมี เพราะอีกเดี๋ยวพวกเราก็จะไปกันแล้ว ข้าตามไปดูมาแล้ว พวกนั้นซื้อลูกกวาดล่อเด็กๆ ตามที่ข้าบอก ได้ผลไม่เลวเลย เด็กพวกนั้นกระโดดโลดเต้นร้องกันไปทั่วหัวถนนแล้วเจ้าค่ะ!”

หนิวโหย่วเต้าตอบอืมคำหนึ่ง

เฮยหมู่ตานกะพริบดวงตาที่กลมโต เอ่ยว่า “ถังอี๋รูปโฉมงดงามจริงๆ อกเป็นอก เอวเป็นเอว ใบหน้าสะสวย บุคลิกเพียบพร้อม…”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสั้นๆ “แต่ไม่มีสมอง”

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “มีสมองหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับว่าเอาไปเทียบกับใคร หากนำมาเทียบกับท่านก็อาจจะด้อยกว่า ถ้าหากเป็นคนไม่มีสมองจริงๆ นางจะสามารถดูแลสำนักแห่งหนึ่งได้หรือ? มิใช่ว่าใครๆ ก็เป็นอย่างท่านได้นะเจ้าคะ ในบรรดาคนที่ข้าเคยพบมา ท่านคือคนที่ร้ายที่สุดแล้วเจ้าค่ะ!”

หนิวโหย่วเต้าถาม “เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?”

เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “สตรีที่งดงามเช่นนี้ บุรุษจะไม่ชมชอบได้อย่างไร หากท่านรู้สึกว่านางอยู่ใกล้ตัวเซ่าผิงปอแล้วมีอันตราย เช่นนั้นมิสู้พามาด้วยกันล่ะเจ้าคะ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าว “เจ้าแอบฟังไปไม่น้อยเลยนะ”

เฮยหมู่ตานว่า “ท่านก็ไม่ได้หลบเลี่ยงพวกเรามิใช่หรือเจ้าคะ เต้าเหยี่ย ในใจท่านยังมีนางอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว นางจะเป็นหรือตายไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า”

เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “ปากไม่ตรงกับใจ ข้ามองออกนะเจ้าคะ ดูเหมือนท่านจะหงุดหงิดที่เซ่าผิงปอตามเกี้ยวนาง”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หรือต้องรู้สึกดีใจเล่า? นี่มิได้เกี่ยวอะไรกับหงุดหงิดหรือไม่หงุดหงิด มันก็เหมือนกับเวลาสุนัขตัวหนึ่งเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งแล้วฉี่รดไว้ ไม่ว่าพื้นที่นี้จะเป็นของตนหรือไม่ แต่ถ้ามีสุนัขตัวอื่นรุกล้ำเข้ามา อย่างน้อยก็ต้องเห่ากันบ้าง จะมากจะน้อยอารมณ์ก็ต้องถูกรบกวนไปบ้าง ข้าเองก็ปวดหัวกับเรื่องนี้ เดิมทีคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่หลังจากเจอเรื่องนี้ ข้าถึงได้พบว่าการเป็นสามีภรรยากับนางคือปัญหาอย่างหนึ่ง รู้สึกเหมือนถูกผูกมัดเอาไว้ ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวอันใดกับนางจริงๆ แต่สุดท้ายก็ยังข้องเกี่ยวอยู่ดี ไหนเจ้าว่ามาสิ หากนางเกิดปัญหา ข้าควรจัดการหรือไม่?”

เมื่อได้ยินเขาว่าเช่นนี้ เฮยหมู่ตานก็เข้าใจแล้ว คนผู้นี้ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อสตรีนางนั้นจริงๆ นางจุ๊ปากเอ่ยไปว่า “นี่ก็สิ่งที่คนเราไม่เหมือนกัน ผู้ชายในอดีตคนนั้นของข้า ต่อให้ข้าถูกคนเอาดาบพาดคอเอาไว้ก็คงจะไม่ชายตาแลมองเลยแม้แต่แวบเดียว เต้าเหยี่ย หากท่านให้ข้าพูดล่ะก็ อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีอันใดต้องปวดหัวหรือไม่ปวดหัวเลย หากทราบว่านางต้องการความช่วยเหลือล่ะก็ ถ้ายื่นมือช่วยเหลือได้ก็ช่วยไป แต่หากไม่ทราบ เช่นนั้นก็ไม่ต้องฝืน แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก เผชิญหน้าไปโดยไม่ต้องกังวล นี่ต่างหากถึงจะเป็นการปล่อยวางอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองลำบากใจเจ้าค่ะ!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทวน “เผชิญหน้าไปโดยไม่ต้องกังวล…มีเหตุผลทีเดียว กลับเป็นข้าที่เลอะเลือนไปเสียแล้ว”

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “แต่หากท่านรู้สึกว่าเซ่าผิงปอคนนั้นอันตรายจริงๆ ล่ะก็ ข้าคิดว่าท่านควรคิดหาทางแยกนางออกห่างจากเซ่าผิงปอจะดีกว่านะเจ้าคะ ข้ารู้จักพวกบุรุษดี นางงดงามถึงเพียงนั้น ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นเนื้อในปากเซ่าผิงปอแน่นอน วิธีการชั่วช้าบางอย่าง ถึงป้องกันอย่างไรก็กันไม่ได้ ข้าเคยพลาดท่ามาก่อนแล้วเจ้าค่ะ!”

“เรื่องนี้ข้าหาได้กังวลไม่ ขอเพียงเซ่าผิงปอทำอันใดข้าไม่ได้ เขาก็ไม่กล้าแตะต้องนาง แต่ก็มิใช่เพราะข้าทำให้เซ่าผิงปอหวาดหวั่นได้ หากแต่เป็นเพราะนางยังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่หย่าขาดจากข้า เซ่าผิงปอไม่กล้าใช้เล่ห์เพทุบายชั่วช้ากับนางง่ายๆ แน่ เพราะถ้าหากยั่วโทสะผู้ที่อยู่เบื้องหลัวถังอี๋ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าฝ่าซือที่อยู่ข้างกายเซ่าผิงปอเหล่านั้นคงจะรักษาชีวิตเขาไว้ไม่ได้แน่! หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ขอเพียงข้ารักษาตัวรอดปลอดภัย มันก็เป็นการปกป้องถังอี๋ไปด้วยเช่นกัน”

เฮยหมู่ตานกระซิบริมหูเขา “จ้าวสยงเกอใช่ไหมเจ้าคะ?”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” หนิวโหย่วเต้าหันไปมองนางแวบหนึ่ง เพราะตอนที่เขาเอ่ยถึงชื่อนี้ในห้องครัว เขาพูดด้วยเสียงที่เบาเป็นอย่างมาก

เฮยหมู่ตานกล่าวตอบ “เดิมทีจ้าวสยงเกอก็เป็นศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นี่เจ้าคะ! ข้าได้ยินมาว่าตอนที่สำนักเซียนสถิตเข้ารุกรานสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มาตรว่าจ้าวสยงเกอจะมิได้เผยตัว เพียงแค่ส่งสัตว์พาหนะมาปรากฏตัว แต่ก็ขู่ขวัญสำนักเซียนสถิตจนล่าถอยไป ผู้อาวุโสของสำนักเซียนสถิตคนหนึ่งถึงกับตัดแขนตัวเองทิ้งไว้ข้างหนึ่งเพื่อเป็นการขอขมา ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นอกจากจ้าวสยงเกอแล้ว ยังจะมีผู้ใดที่สามารถทำให้เจ้าศักดินาที่มียอดฝีมือรายล้อมข้างกายหวาดกลัวได้? คนที่มีพลังระดับจ้าวสยงเกอน่ากลัวยิ่งนัก กองทัพนับหมื่นพันก็ต้านไม่อยู่เจ้าค่ะ!

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จ้าวสยงเกอมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ความสามารถกลับเลิศล้ำเหนือขอบเขตที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะอบรมสั่งสอนขึ้นมาได้ เกรงว่าแม้แต่ปฐมจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ในจุดนี้ค่อนข้างผิดปกติ เจ้าเคยได้ยินบ้างหรือไม่ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร?”

เฮยหมู่ตานเอ่ยตอบ “ไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้มันก็ผิดปกติจริงๆ คาดว่าเขาคงได้ไปพบเจออะไรบางอย่างที่คนนอกไม่ทราบเจ้าค่ะ”

จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็หันกลับมาถาม “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเคยพลาดท่าให้เล่ห์กลชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ?”

“เต้าเหยี่ย ท่านกำลังสะกิดแผลข้าอยู่นะเจ้าคะ!” เฮยหมู่ตานถอนหายใจดังเฮ้อ ชูสามนิ้วยื่นไปตรงหน้าเขา “สามครั้งเจ้าค่ะ ข้าเคยถูกผู้อื่นย่ำยีมาสามครั้ง!”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “คนเดียวทั้งสามครั้ง หรือว่าสามคน?”

เฮยหมู่ตานออกแรงขัดหลังให้เขา “สามคนไม่ซ้ำกันเจ้าค่ะ มีอยู่สองครั้งที่ไม่ทันระวังโดนคนอื่นวางยา ส่วนอีกครั้งหนึ่งข้าไม่กล้าเอาเรื่อง กลัวตาย จึงไม่กล้าขัดขืน ถูกย่ำยีเล่นสนุกอยู่หลายวันกว่าจะปล่อยตัวออกมา ตอนนั้นสภาพน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้ก็ยังทำใจนึกถึงไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้าถาม “เจ้าไม่ได้ล้างแค้นหรือ?”

เฮยหมู่ตานตอบ “ภายหลังข้ารวมกลุ่มกับพวกต้วนหู่ หาตัวพบหนึ่งคน เลยจัดการไปแล้ว ส่วนอีกคนพวกเรายังไม่ทันได้ลงมือก็ได้ยินว่าถูกคนอื่นฆ่าไปแล้ว ส่วนคนที่ไม่กล้าเอาเรื่องคนนั้น ข้าก็ยังไม่กล้าเอาเรื่องอยู่ดี ไหนเลยจะกล้าไปตามล้างแค้นอีกฝ่ายล่ะเจ้าคะ ตอนนี้พอมาคิดๆ ดู รักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ได้รับบทเรียนจากความผิดพลาด วันหน้าพึงระวังตัวเอาไว้ให้มากหน่อยก็พอเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย “คนที่ไม่กล้าเอาเรื่องคือผู้ใด ลองเอ่ยชื่อมาหน่อย”

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “ช่างเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากเอ่ยถึงเขา พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราทำอะไรเขาไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “อืม เอาไว้เจ้าคิดว่าโอกาสเหมาะแล้วค่อยบอกก็ได้ ข้าจะลองดูว่าจะช่วยล้างแค้นให้เจ้าได้หรือไม่!”

“น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว แต่ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว” เฮยหมู่ตานส่ายหน้าด้วยความรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้ารับรู้ได้ถึงความหนักอึ้งในน้ำเสียงของนาง เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “สายตาของคนผู้นั้นเป็นอะไรไป เจ้าดำขนาดนี้ยังสนใจอีกหรือ?”

เฮยหมู่ตานถลึงตา มือพลันพุ่งลงไปในน้ำ ดึงผ้าที่หนิวโหย่วเต้าใช้ปกปิดไว้ใต้น้ำผืนนั้นขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก ก้มหน้ามองดูส่วนที่ไร้การปกปิดใต้น้ำ ทว่ายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน

เฮยหมู่ตานมองดูเต็มสองตา สีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย โยนผ้าในมือคืนกลับไป

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ คลี่ผ้าคลุมไว้อีกครั้ง เอ่ยถาม “เจ้าว่างมากนักหรือ?”

เฮยหมู่ตานกล่าวไปว่า “รู้สึกเสียเปรียบหรือเจ้าคะ? อยากให้ข้าเปลือยกายลงไปร่วมอาบกับท่านด้วยไหมเจ้าคะ? รูปโฉมของข้าย่ำแย่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ก็แค่ผิวคล้ำนิดหน่อย ใบหน้าเองก็ไม่ได้แย่ ท่านยังไม่เคยเห็นมาก่อน อันที่จริงรูปร่างข้าสมส่วนอย่างมากนะเจ้าคะ”

หนิวโหย่วเต้าถาม “นี่เจ้ายั่วยวนข้าอยู่หรือ?”

เฮยหมู่ตานตอบ “ข้าบอกแล้วไงเจ้าคะ หากท่านต้องการ ก็ได้เสมอ”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย “พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าฟังนะ นับตั้งแต่ที่เจ้าเริ่มติตตามข้า มันก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น”

เฮยหมู่ตานวักน้ำใส่ร่างเขา ขัดถูต่อไป “ทำไมเจ้าคะ? ข้าไม่เข้าตาท่านถึงเพียงนี้เลยจริงๆ หรือเจ้าคะ? ข้าก็บอกไปแล้ว ข้าสมยอมเอง ไม่พัวพันท่านแน่นอน ข้าเพียงอยากได้ความรู้สึกปลอดภัยสักหน่อยเท่านั้น”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่เกี่ยวอันใดกับเข้าตาหรือไม่เข้าตา ข้าไม่แตะต้องสตรีที่ทำงานใกล้ชิดกัน กระต่ายไม่กินหญ้าข้างโพรง หากกินหญ้าข้างโพรงจนเผยให้เห็นปากโพรง เช่นนั้นก็เป็นปัญหาแล้ว”

เฮยหมู่ตานเบะปาก “เนื้อยื่นมาถึงปากแล้วไม่กินคือคนโง่! ยังหนุ่มยังแน่น ใช้ชีวิตน่าเบื่อเช่นนี้จะมีความหมายอันใดล่ะเจ้าคะ? ขนาดสาวงามอย่างถังอี๋ท่านก็ยังไม่ชอบ เหตุใดถึงรู้สึกว่าท่านไม่มีความสนใจในตัวสตรีเลย บอกมาตามตรงเถอะเจ้าค่ะ สมรรถภาพในด้านนั้นของท่านไม่ได้เรื่องใช่ไหมเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าหลับตาไม่โต้ตอบ เถียงเรื่องนี้ไปก็เอาชนะนางไม่ได้ สตรีที่ร้องห่มร้องไห้ในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์คนนั้นไปไหนเสียแล้ว? แพ้ให้นางเสียแล้ว

…..

ณ มหานครเป่ยโจว คณะของเซ่าผิงปอควบม้าเข้าสู่เมือง ยามเฝ้าประตูเมืองยืนหลบสองข้างทางเพื่อเปิดทางให้ ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง

เมื่อมาถึง ‘จวนท่องคลื่น’ อันเป็นที่พำนักของเซ่าผิงปอ ทั้งขบวนกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปด้านใน

พ่อบ้านเซ่าซานเสิ่งรอต้อนรับอยู่ที่ประตูทางเข้าแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าดูฝืดฝืนเล็กน้อย เอ่ยว่า “คุณชายใหญ่เดินทางมาไกล คงเหนื่อยแย่เลยนะขอรับ”

เซ่าผิงปอมองดูสีหน้าเขาเล็กน้อย สะบัดผ้าคลุมทางด้านหลัง ก้าวอาดๆ เข้าไปด้านในต่อ มุ่งตรงไปยังโถงรับแขก

ระหว่างทางผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งยกมือขึ้นรับปีกทองตัวหนึ่ง แกะจดหมายลับบนขามันออกอ่าน ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าตามเซ่าผิงปอไป เอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ขอรับ มีข่าวมาจากทางเมืองหลวงแคว้นจ้าวแล้ว ไปสืบข่าวมาแล้ว ข้างกายจูเก่อสวินไม่มีคนที่ชื่อจางซาน แล้วก็ทำการตรวจสอบดูแล้ว ข้างกายจูเก่อสวินไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรที่อายุน้อยขนาดนั้นขอรับ สรุปคือตรวจสอบไม่พบคนผู้นี้ขอรับ!”

พวกถังอี๋ทั้งสามที่ติดตามเข้ามาในห้องโถงสบตากันอย่างเงียบๆ

เซ่าผิงปอเดินไปหยุดตรงหน้าเก้าอี้ประธาน ถอดผ้าคลุมยื่นส่งให้พ่อบ้าน หมุนตัวแล้วนั่งลงไป ปรายตามองพ่อบ้านเล็กน้อย “มีเรื่องใดก็ว่ามา”

พ่อบ้านเซ่าซานเสิ่งอึกอักลังเล มองดูคนอื่นๆ สุดท้ายยังคงล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ด้วยสองมือ ให้เขาดูเอาเอง

เซ่าผิงปอรับเอากระดาษแผ่นนั้นมา มองดูสีหน้าของเขาก่อนเล็กน้อย จากนั้นสายตาถึงจะค่อยๆ กวาดอ่านสิ่งที่อยู่บนกระดาษ ท่องออกมาเนิบๆ ว่า “ราชันเป่ยโจว ราชันเป่ยโจว ลูกกวาดหนึ่งลูกเอ้าลูกกวาดหนึ่งลูก เบื้องบนจนปัญญา เบื้องล่างไร้หนทาง ลูกกวาดสองลูกเอ้าลูกกวาดสองลูก เมฆราชันปลอม คลื่นราชัน…”

เสียงหยุดชะงักลงตรงนี้ ม่านตาพลันหดตัววูบ ฝ่ามือที่วางไว้บนเข่าพลันกำแน่นจนกลายเป็นหมัด ขบกรามแน่น

………………………………………………………..

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท