ตอนที่ 209 เฟิงหลินหั่วซาน
เพียงคำพูดที่บอกว่าทุกอย่างได้ถูกตัดสินใจไปแล้วประโยคเดียว ทำให้เผิงอวี้หลานคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที ภายในใจเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
สำหรับความรู้สึกของเฟิงหลิงปอ นางรับรู้และเข้าใจดี รู้สึกเศร้าเศร้าและขุ่นเคืองไม่ต่างกันเลย
ช่วงแรกเริ่มที่จังหวัดกว่างอี้ตั้งกองกำลังของตนเองขึ้น เป็นใครเล่าที่ยอมเอาหัวเข้าไปเสี่ยง?
ยามที่ราชสำนักยกทัพมาปราบปราม เป็นบุตรของผู้ใดกันเล่าที่นำทัพออกรบ ต่อสู้เสี่ยงชีวิตเพื่อป้องกัน?
ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวันนี้ได้ สำนักหยกสวรรค์พูดมาเพียงประโยคเดียวว่าความสามารถในการขยายอาณาเขตสู้ซางเฉาจงไม่ได้ก็จบแล้วอย่างนั้นเหรอ!
“พาสุนัขจิ้งจอกเข้าบ้าน…เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้…” เผิงอวี้หลานที่อยู่บนพื้นพึมพำกับตัวเอง สิ้นสภาพของหญิงสูงศักดิ์
เผิงโย่วไจ้เข้าใจความรู้สึกของบุตรสาว ทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “พาสุนัขจิ้งจอกเข้าบ้านก็ดี เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ก็ช่าง หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของซางเฉาจงมิใช่หรือ? ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ทำเช่นนี้ได้? หากนำมาเทียบกับหลิงปอก็ยิ่งเห็นได้ชัด หลายปีมานี้หลิงปอจับเจ่าอยู่แต่ในจังหวัดกว่างอี้มาโดยตลอด แต่ซางเฉาจงมาถึงอำเภอชางหลูได้ไม่นานก็ชิงจังหวัดชิงซานมาได้แล้ว ด้านความกล้าหาญและจิตใจไม่ทำให้เสียชื่อหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วผู้เป็นบิดาของเขาเลย!”
เผิงอวี้หลานส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยความโศกศัลย์ขุ่นเคือง “หลิงปอเฝ้าอยู่ในจังหวัดก็เพื่อสั่งสมกำลัง รากฐานของครอบครัวที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากไม่ได้นำมาใช้เพื่อตัวเอง ผลประโยชน์ไม่เพียงแต่จะกลายเป็นของคนอื่น ในสายตาของพวกท่านยังกลับกลายเป็นว่าความสามารถของหลิงปอมีไม่เพียงพอ! หลายปีมานี้หากไม่มีหลิงปอคอยทุ่มเทเพื่อจังหวัดกว่างอี้ เขาไหนเลยจะมีกำลังทรัพย์ ไหนเลยจะมีกำลังทหารให้จังหวัดชิงซานฮุบไป? ผลท้อที่ตนปลูก เมื่อสุกงอมแล้วกลับถูกคนอื่นเด็ดไป สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงคำพูดดูหมิ่นว่าไร้ความสามารถ โลกนี้มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“คนอื่น?” เผิงโย่วไจ้โน้มตัวลงไป สองมือประคองบุตรสาวขึ้นมาจากพื้น ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าบุตรสาว กล่าวไปว่า “ไม่มีคนอื่น ซางเฉาจงเองก็ไม่ใช่คนอื่น เขาเป็นบุตรเขยของเจ้า นับเป็นบุตรชายของเจ้าครึ่งหนึ่ง เป็นครอบครัวเดียวกับเจ้าและกับข้า”
เผิงอวี้หลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ท่านพ่อ หากรั่วอี้และรั่วเจี๋ยได้ยินวาจานี้ของท่าน พวกเขาจะรู้สึกอยากไรเจ้าคะ? ใช้กลอุบายสกปรกมาแย่งชิงทรัพย์สินของพ่อตาไป มีครอบครัวเดียวกันเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”
นางรู้สึกเศร้าใจ ครอบครัวเดียวกันมันก็ต้องดูด้วยว่าหมายถึงเรื่องใด สุดท้ายแล้วเรื่องบางอย่างมันมีเรื่องของความใกล้ชิดและความห่างเหินกันอยู่ ทรัพย์สินที่ตระกูลเฟิ่งสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก ในอนาคตย่อมต้องส่งต่อให้บุตรชายตน แต่ดูตอนนี้สิ บุตรชายของตนไม่เพียงแต่จะต้องสละทรัพย์สินที่ตนเองทุ่มเทชีวิตเพื่อแลกมาให้คนอื่นเท่านั้น แต่ยังต้องก้มหัวรับใช้คนอื่นด้วย
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “หากเจ้าว่ามาเช่นนี้ ซางเฉาจงเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นเยี่ยน เขาก็ควรคิดว่าพวกเราไปปล้นเอาทรัพย์สินของราชสกุลซางแห่งแคว้นเยี่ยนของเขามาเช่นกันหรือเปล่า บัญชีนี้จะคิดให้กระจ่างอย่างไร? อวี้หลาน เรื่องบางเรื่องมันไม่มีถูกผิด ทุกสิ่งล้วนต้องมองไปที่อนาคต ต้องทำให้อนาคตดีขึ้น”
เผิงอวี้หลานถาม “อนาคตหรือเจ้าคะ? แม้แต่ปัจจุบันยังรักษาไว้ไม่ได้ แล้วเรื่องในอนาคตผู้ใดจะบอกได้ว่าจะเป็นอย่างไร?”
นางทราบชัดเจนดี ตอนนี้ตามหลังไปก้าวหนึ่งแล้ว ต่อให้อนาคตจะดีเพียงใด บุตรชายของตนก็คงต้องอยู่ใต้อำนาจซางเฉาจงไปตลอดอยู่ดี เรื่องนี้ทำให้นางยากจะรับไหว
เผิงโย่วไจ้นิ่งเงียบไปเล็กน้อย ทราบว่าตอนนี้ไม่ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ไปอย่างไรก็ยากจะทำให้บุตรสาวปล่อยวางได้ เพราะหากเป็นคนอื่นก็คงจะรับเรื่องเช่นนี้ได้ยากเช่นกัน
แต่จะว่าไปแล้ว ก็เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวและบุตรเขยของตน เขาถึงได้ยอมอดทนอธิบายอย่างช้าๆ ด้วยตัวเอง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าเขาคงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
เมื่อโน้มน้าวไม่ได้ เขาก็ไม่มานั่งถกเถียงกับเรื่องนี้อีก กลับเอ่ยเตือนว่า “ก่อนข้าจะเดินทางมา หลานรั่วถิงมาหาข้าแล้วเอ่ยถึงเรื่องของรั่วหนาน ได้ยินว่ารั่วหนานโกรธเคืองจนหนีกลับมาที่บ้านมารดา ไม่ได้กลับไปเลย เกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่ยอมกลับไป จึงหวังว่าข้าจะช่วยพูดให้ อวี้หลาน ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ อำนาจปกครองของสองจังหวัดล้วนส่งมอบให้ซางเฉาจง หากเจ้าหวังดีต่อรั่วอี้และรั่วเจี๋ยจริงๆ ก็ควรกล่อมให้รั่วหนานกลับไปโดยเร็ว”
“เรื่องบางอย่างบุรุษไม่อาจกล่าวให้ชัดเจนได้ หากถูกสตรีอื่นฉวยโอกาสเข้ามาแย่งชิงตำแหน่งของรั่วหนานไป เช่นนั้นระหว่างพวกเจ้ากับซางเฉาจงก็จะกลายเป็นคนนอกไปจริงๆ ถ้าหากซางเฉาจงมีผลงาน เขาก็จะยิ่งมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่อาจปฏิบัติต่อเขาแบบชนชั้นผู้น้อยได้อีกต่อไป รั่วหนานมีฐานะเป็นภรรยาของเขาทว่าไม่ยินยอมอยู่ร่วมกับเขา หากซางเฉาจงต้องการแต่งภรรยาเพิ่ม สำนักหยกสวรรค์ก็ไปว่าอะไรไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีใครอยากเห็นนางกลายเป็นหม้ายหรอกนะ เรื่องนี้เจ้าลองไปคิดดูเอาเองแล้วกัน…”
และในเวลาเดียวกับที่คณะของสำนักหยกสวรรค์ไปถึงจังหวัดกว่างอี้ เด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งที่มาจากหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวได้ควบม้าผ่านเขตจังหวัดกว่างอี้ไป โดยมีองครักษ์ของซางเฉาจงคอยนำทาง
ทั้งกลุ่มเดินทางรอนแรมนอนกลางดินกินกลางทราย ในที่สุดก็เดินทางมาถึงหุบเขานอกตัวเมืองจังหวัดชิงซาน
ทั้งกลุ่มกระโดดลงจากหลังม้า รออยู่กับที่ รอให้คนเข้าไปรายงาน เด็กหนุ่มรูปร่างกำยำสามสี่คนเหลียวซ้ายแลขวาเป็นระยะ แม้ว่าใบหน้าจะเปื้อนฝุ่นมอมแมม ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่นานนัก หนิวโหย่วเต้าและพวกหยวนกังก็มาถึง
หากเป็นคนทั่วไป หนิวโหย่วเต้าไม่แน่ว่าจะออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ถึงแม้คนกลุ่มนี้จะธรรมดายิ่งนัก แต่ก็ช่วยไม่ได้ พวกเขาล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน
มารยาทบางอย่างไม่อาจละเลยได้ ความรู้สึกของคนบางคนไม่อาจทำร้ายได้
“พี่กังจื่อ พี่เต้า!”
เมื่อเด็กหนุ่มเหล่านี้มองเห็นคนทั้งสองก็โบกไม้โบกมือตะโกนเรียกด้วยความตื่นเต้น แล้วก็ไม่สนใจว่ามีการคุ้มกันหรือไม่ โห่ร้องพลางวิ่งเข้าไปหาทั้งสองคน
หนิวโหย่วเต้าโบกมือส่งสัญญาณไม่ให้องครักษ์ขัดขวาง
หนิวโหย่วเต้ายังดีหน่อย ทำให้พวกเขารู้สึกถึงระยะห่างเล็กน้อย ทว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจหยวนกังเลย กรูกันเข้าไปกอดหยวนกัง
ดูเหมือนว่าการกอดก็ยังยากที่จะระบายความรู้สึกตื่นเต้นภายในใจออกมาได้ พวกเขาจึงยกตัวหยวนกังโยนขึ้นไปบนอากาศ รับเอาไว้ แล้วก็โยนขึ้นไปใหม่
พวกเฮยหมู่ตานแปลกใจ แปลกใจในสายสัมพันธ์ของคนกลุ่มนี้กับหยวนกัง และแปลกใจที่ได้เห็นรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของหยวนกังที่จะมักเย็นชาอยู่เป็นประจำ
หลังจากถูกปล่อยตัวลงแล้ว หยวนกังเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงมีแค่พวกเจ้าสี่คน อีกสองคนล่ะ?”
ต้าหวั่นหัวเราะแหะๆ เอ่ยตอบว่า “ต้าเฮยจื่อเพิ่งแต่งภรรยา ยังแต่งกันได้ไม่กี่วัน เลยหักใจทิ้งกรรยามาไม่ลง มู่โถวก็แต่งภรรยาแล้ว พ่อแม่เขารบเร้าให้เขามีทายาทสืบสกุลอยู่ทุกวัน มาไม่ได้แล้วเช่นกัน”
หยวนกังเงียบไปครู่หนึ่ง ในเมื่อไม่อยากมา เขาก็ไม่อาจบังคับได้เช่นกัน
ขณะที่ที่นี่กำลังคึกคักกันอยู่ ก็มีคนอีกกลุ่มมาถึง ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงมาแล้ว
เมื่อได้รับรายงานจากลูกน้อง บอกว่าพาคนที่หยวนกังระบุตัวมาจากหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวแล้ว หลานรั่วถิงที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนั้นก็อดใจไม่อยู่ อยากมาดูสักครา ซางเฉาจงเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน จึงมาด้วยกันเสียเลย
“ท่านอ๋อง ท่านหลาน” หนิวโหย่วเต้าประสานมือทักทายอย่างสุภาพ
ในอดีตครั้งนั้นเด็กหนุ่มทั้งสี่ก็เคยพบซางเฉาจงมาแล้ว พอเห็นว่ามีคนใหญ่คนโตมา รู้ว่าเป็นท่านอ๋องอะไรสักอย่าง ก็พากันหยุดนิ่ง
พวกเขาเองก็ไม่ทราบเรื่องมารยาทที่เป็นทางการอันใดเช่นกัน ยืนอยู่ข้างๆ หยวนกังอย่างกระวนกระวาย ไม่กล้าเปิดปากพูดอะไร ไม่ได้ทำความเคารพเช่นเดียวกับหยวนกัง
“ได้ยินว่าคนบ้านเดียวกันกับเต้าเหยี่ยมาถึงแล้ว จึงตั้งใจมาดูหน่อย” ซางเฉาจงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มสี่คนนั้น
“ชาวบ้านในป่าเขาไม่ทราบมารยาทอันใด ขอท่านอ๋องอย่าได้ถือสา” หนิวโหย่วเต้าช่วยแก้ต่างให้เด็กหนุ่มทั้งสี่ก่อน
หลานรั่วถิงจ้องมองเด็กหนุ่มทั้งสี่อยู่แต่แรก พินิจดูอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตเห็นความแตกต่างของทั้งสี่
คล้ายดูคุ้นหน้า น่าจะเป็นเด็กกลุ่มนั้นที่เคยพบนอกหมู่บ้านคราวก่อนทั้งสิ้น แต่เมื่อเทียบกับในตอนนั้นแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสี่ล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายผึ่งผาย แผ่นหลังกว้างเอวสอบ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับหยวนกัง แต่ละคนกำยำล่ำสัน เปี่ยมด้วยความมีพละกำลัง ไม่ใช่สิ่งที่ทหารทั่วไปจะมาเทียบได้
หลานรั่วถิงและซางเฉาจงสบตากันทันที ลอบอุทานอยู่ในใจ คนกลุ่มนี้ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนแต่สามารถเข้าร่วมกองทัพเป็นทหารกล้าได้ทั้งสิ้น ดูเหมือนหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวแห่งนั้นจะไม่ธรรมดาจริงๆ มีแต่คนมีความสามารถอยู่เต็มไปหมด
อันที่จริงหนิวโหย่วเต้าก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของทั้งสี่เช่นกัน เหลือบมองหยวนกังด้วยสายตาลุ่มลึกเล็กน้อย
ท่านอ๋องมา หนิวโหย่วเต้าย่อมต้องสนทนาอยู่กับเขาเป็นธรรมดา หยวนกังจึงพากลุ่มเด็กหนุ่มที่เปื้อนฝุ่นมอมแมมไปอาบน้ำชำระร่างกาย
กระทั่งส่งซางเฉาจงกลับไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าปีนขึ้นไปบนหน้าผาแห่งหนึ่ง ยืนรออยู่ที่ริมหน้าผาตามลำพัง
จากนั้นไม่นาน หยวนกังมาถึง ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปาก หนิวโหย่วเต้าที่หันหลังให้ก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “นายสอนปราณเสริมแกร่งที่นายฝึกให้พวกเขา?”
หยวนกังเงียบไป เข้าใจถึงความกังวลของเขา อันที่จริงแล้ว ตอนนั้นเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าปราณเสริมแกร่งที่ตนฝึกจะมีความพิเศษถึงเพียงนี้
ชาติก่อนตอนที่เขาฝึกพร้อมเพื่อนร่วมทีม ทุกคนล้วนได้ฝึกเหมือนกันหมด สอนให้เด็กในหมู่บ้านเดียวกันเหล่านั้นก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเสียหาย จุดประสงค์ในตอนนั้นคือเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งเพื่อปกป้องหมู่บ้าน ไม่ได้มีความคิดอื่นเลย ตอนนี้ย่อมทราบดีว่าอาจจะชักนำปัญหามาได้
หยวนกังพยักหน้ารับ “ครับ! แต่มันก็ค่อนข้างแปลก ตอนนั้นหลังจากผมรักษาตัวหายดี ทุกคนก็แทบจะฝึกฝนไปพร้อมกัน แต่เห็นได้ชัดว่าความก้าวหน้าของพวกเขาสู้ผมไม่ได้ ห่างชั้นกันมากนัก”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่ว่าวิชายุทธ์ใดๆ ก็ล้วนแต่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ถ้าหากว่าใครๆ ก็สามารถฝึกได้เหมือนกันหมด ใต้หล้านี้คงเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียร คาดว่าปราณเสริมแกร่งที่นายฝึกก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน…แต่ถึงแม้หลักการจะเป็นแบบนี้ นายก็อย่าถ่ายทอดให้ใครส่งเดชจะดีกว่า เก็บไพ่ตายเอาไว้หน่อยจะดีกว่า ระวังจะถูกแว้งกัดได้ ความหมายของฉันนายน่าจะเข้าใจดี”
หยวนกังพยักหน้ารับเงียบๆ ยิ่งเป็นวิชาที่อันตรายเท่าไร ก็ยิ่งไม่ควรถ่ายทอดส่งเดช!
ในเวลานี้เอง มีเสียงตะโกนแว่วมาจากเชิงเขา “พี่กังจื่อ พี่เต้า”
เหล่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จวิ่งเข้ามาอย่างฮึกเหิมมีชีวิตชีวาอีกครั้ง วิ่งมาถึงบนเขา โหวกเหวกเสียงดัง แสดงออกอย่างเต็มที่ ไม่มีการปิดบังความรู้สึกใดๆ เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมของที่นี่แล้ว ค่อนข้างดูไร้กฎระเบียบ
หนิวโหย่วเต้าที่หันกลับมามองยิ้มให้เล็กน้อย
หยวนกังกลับเอ่ยเตือนเสียงขรึม “ที่นี่ไม่ใช่ในหมู่บ้าน อย่าทำตัวขายหน้าให้คนอื่นเห็น ต่อไปทุกคนต้องเรียกเต้าเหยี่ย!”
“เต้า…เต้าเหยี่ย?” ทั้งสี่กัดปากตัวเองเล็กน้อย คล้ายจะไม่คุ้นชิน บางคนเกาหัวแกรกๆ
หยวนกังหันกลับไปเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง “เต้าเหยี่ย ชื่อของพวกเขาล้วนไม่เป็นทางการเลย เรียกไปจะทำให้คนหัวเราะเยาะเอาได้ ท่านค่อนข้างสันทัดในด้านนี้ ตั้งชื่อให้พวกเขาหน่อยเถอะ”
และในความเป็นจริงก็เป็นเหมือนอย่างที่เขาว่ามา ในหมู่บ้านแห่งนั้น ชื่อหยวนกังของเขานับว่ายอดเยี่ยมแล้ว นี่เป็นเพราะมีคนต่างถิ่นที่เดินทางผ่านมาช่วยตั้งให้ ส่วนคนอื่นๆ ถ้าไม่ใช่อะไรหยวนต้าปั้ง ก็เป็นหนิวเอ้อร์โก่วอะไรทำนองนั้น เวลาอยู่ในหมู่บ้านนับว่าปกติ แต่หากนำออกมาเรียกในโลกภายนอกจะถูกคนหัวเราะเยาะได้ง่ายๆ
ส่วนชื่อหนิวโหย่วเต้าอันใดนั่น จากการคาดเดาของหยวนกังแล้ว คำว่าเต้าในชื่อหนิวโหย่วเต้านี้ไม่มีทางใช่เต้าที่หมายถึงคุณธรรมอะไรอย่างแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เต้าที่หมายถึงศีลธรรมอันใดด้วย แต่เป็นเต้าที่หมายถึงถนนหนทาง แปลว่ามีหนทาง มิเช่นนั้นคนปกติทั่วไปไม่มีทางตั้งชื่อประหลาดๆ แบบนี้แน่ แต่ด้วยฐานะในปัจจุบันของเต้าเหยี่ยทำให้ดูมีระดับขึ้นมานิดหน่อย ชื่อหนิวโหย่วเต้าหากอยู่ที่หมู่บ้านจะกลายเป็นชื่อธรรมดาๆ ที่ไม่มีความพิเศษอะไร
อันที่จริงในหมู่บ้านก็ไม่มีแซ่หลากหลายอะไร ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่แซ่หนิวก็จะเป็นแซ่หยวน
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้ปฏิเสธ สายตากวาดมองใบหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสี่ สุดท้ายก็มองหน้าหยวนกังอีกครั้ง เขารู้จักหยวนกังดี จึงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “พัดโหมดั่งสายลม เนิบช้าดั่งผืนป่า เร่าร้อนดั่งไฟ หนักแน่นดุจขุนเขา! เฟิง…หลิน…หั่ว…ซาน!”
ทุกคำถูกใจหยวนกัง หยวนกังชอบ จึงพยักหน้ารับ ไม่มีคำคัดค้านอะไร รีบหันกลับไปมองเด็กหนุ่มทั้งสี่ทันที ชี้แล้วไล่ชื่อไปทีละคน “ต้าปั้ง จากนี้เจ้าชื่อหยวนเฟิ่ง เหมิ่งจื่อ ต่อไปเจ้าชื่อหนิวหลิน เสี่ยวโก่วจื่อ จากนี้เจ้าชื่อหยวนหั่ว ต้าหวั่น ต่อไปเจ้าชื่อหนิวซาน!”
“ข้าชื่อหยวนเฟิง เจ้าชื่อหนิวหลิน…” ทั้งสี่หัวเราะร่า ชี้นิ้วขานชื่อกันและกันแล้วจดจำเอาไว้
ก็เหมือนอย่างที่หนิวโหย่วเต้ารู้ว่าหยวนกังชอบอะไร จึงตั้งชื่อได้ถูกใจหยวนกัง หนิวโหย่วเต้ารู้ว่าหยวนกังคิดจะทำอะไร แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ วันต่อมาหยวนกังก็ออกเดินทางไป
หยวนกังต้องการคัดเลือกคนสองสามร้อยคน คิดจะฝึกกองทหารของตัวเองขึ้นมา เขาไม่ต้องการทหารเหล่านั้นของซางเฉาจง เขาจะเดินทางไปทั่วเพื่อคัดสรรต้นกล้าที่เหมาะสมด้วยตัวเอง
หนิวโหย่วเต้าให้สามสำนักส่งยอดฝีมือติดตามไปคุ้มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย
………………………………………………………