ตอนที่ 212 แมลงติดใย
อู่เทียนหนานกล่าวด้วยความตกใจ “ทุกประโยคเป็นความจริง บิดาข้าคือปลัดอำเภอผิงชวน รับผิดชอบดูแลชาวบ้านในเขตอำเภอนี้ ข้ามีเจตนาดีจริงๆ หาได้คิดจะล่วงเกินฝ่าซือไม่ ขอฝ่าซือโปรดอภัยด้วย!”
“ปลัดอำเภอหรือ?” ลู่เซิ่งจงคล้ายสงสัย
“พวกเขามีเอกสารทางการ สามารถพิสูจน์ได้” อู่เทียนหนานรีบโบกมือให้ผู้ติดตาม
หนึ่งในผู้ติดตามหยิบเอกสารราชการฉบับหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระอย่างรวดเร็ว นอกจากอู่เทียนหนานแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของอำเภอผิงชวน กำลังจะนำเอกสารราชการไปส่งให้ทางมณฑลเป่ยโจว จึงถือโอกาสคุ้มกันอู่เทียนหนานไปส่งด้วย
ลู่เซิ่งจงรับเอกสารราชการไปมองดูหน้าปกเล็กน้อย เป็นเอกสารของที่ว่าการอำเภอจริงๆ บนหน้าปกมีตราประทับของที่ว่าการด้วย
ลู่เซิ่งจงโยนหนังสือราชการกลับไป ไม่พูดอะไรอีก เก็บกระบี่เข้าฝัก หันไปเอ่ยกับหญิงสาวว่า “ไปเถอะ”
พวกอู่เทียนหนานโล่งอก มองลู่เซิ่งจงประคองสาวน้อยเดินขึ้นเนินเขาไป
กระทั่งทั้งกลุ่มขึ้นไปบนเนินเขา เห็นสาวน้อยมุดเข้าไปในรถม้า ส่วนฝ่ายชายบังคับรถม้าเข้าสู่เส้นทางหลวง เคลื่อนตัวจากไป
ทั้งกลุ่มเองก็เดินลงจากเนินเขา กระโดดขึ้นหลังม้า เดินทางต่อไป ผลปรากฏว่ามุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดียวกันกับรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้า ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นว่าเดินทางไปด้วยกัน
หลังจากทั้งสองฝ่ายค่อยๆ พูดคุยกันไป ก็นับว่ารู้จักกันแล้ว
อู่เทียนหนานถึงได้ทราบว่าฝ่ายชายมีนามว่าเถาจวิน สตรีนางนั้นมีนามว่าเถาเยี่ยนเอ๋อร์ ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน
สองพี่น้องพื้นเพเป็นคนอำเภอผิงชวน เมื่อครั้งเยาว์วัยเถาจวินผู้เป็นพี่ชายบังเอิญพบผู้บำเพ็ญเพียร จึงเข้าสู่วิถีบำเพ็ญเพียร เดินทางออกไปจากอำเภอผิงชวน ต่อมามารดาล้มป่วยแล้วลาโลกไป หลุมศพที่สองพี่น้องไปเซ่นไหว้ก่อนหน้านี้ก็คือหลุมศพของมารดา ภายหลังอำเภอผิงชวนเกิดจลาจล ตระกูลเถาจึงอพยพออกจากอำเภอผิงชวน บิดาที่เพิ่งจากโลกไปได้ไม่นานบอกว่าเถาเยี่ยนเอ๋อร์ผู้เป็นน้องสาวเคยมีสัญญาหมั้นหมายเกี่ยวดองตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกกับตระกูลหนึ่งในอำเภอผิงชวน
สองพี่น้องเดินทางมาครานี้ก็เพราะเรื่องวิวาห์ ผู้ใดจะทราบว่าพอกลับมาสืบข่าวดู ถึงได้รู้ว่าตระกูลของฝ่ายชายที่หมั้นหมายกันไว้ได้หายตัวไปตั้งแต่ช่วงที่เกิดจลาจลแล้ว
รถม้าโคลงเคลง สตรีบอบบางอย่างเถาเยี่ยนเอ๋อร์นั่งนานๆ ไม่ไหว อีกทั้งขี่ม้าไม่เป็น จึงต้องลงจากรถม้ามาพักผ่อนเป็นระยะ
เมื่อทราบว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน สองพี่น้องจึงปฏิบัติต่อพวกอู่เทียนหนานอย่างเป็นมิตรขึ้นมาก บางครั้งบางคราวยามที่หยุดพักระหว่างทาง เถาเยี่ยนเอ๋อร์ยังเป็นฝ่ายชวนอู่เทียนหนานพูดคุยก่อนด้วย
“ข้าจำได้ว่าทางตอนใต้ของเมืองมีเจดีย์อยู่แห่งหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นเด็กยังเคยปีนขึ้นไปเที่ยวเล่น ครั้งนี้กลับมาพบว่าเจดีย์ที่ว่านั้นหายไปแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
อู่เทียนหนานหัวเราะพลางตอบว่า “จำได้ๆ ทางตอนใต้ของเมืองเคยมีเจดีย์อยู่จริงๆ น้องสาวคงยังไม่ทราบ เจดีย์แห่งนั้นคงอยู่มานานนม ซ้ำยังสร้างขึ้นในยุคสมัยราชวงค์อู่ที่พุทธศาสนารุ่งเรือง ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นเวลานานจนเก่ามากแล้ว ครั้งหนึ่งเกิดพายุฝนรุนแรงขึ้น จู่ๆ จึงพังถล่มลงมา ยามที่ชาวบ้านในละแวกนั้นซ่อมแซมบ้านเรือนต้องการใช้อิฐ คนนั้นมาขนไปนิด คนนี้มาขนไปหน่อย ถึงได้หายไปเช่นนี้ ภายหลังพอกลายเป็นพื้นที่ว่างโล่งก็เลยมีคนเข้ามาจับจองพื้นที่ยึดครอง”
“จำได้ว่ามีป่าไผ่ผืนหนึ่งอยู่ตรงข้ามกับเจดีย์ ในป่าไผ่มีเหลาสุราแห่งหนึ่ง สมัยเด็กๆ เคยติดตามท่านพ่อไป เหตุใดถึงหายไปเช่นกันล่ะ?”
“เหลาสุราแห่งนั้นเกิดเพลิงไหม้ ป่าไผ่รวมถึงบ้านเรือนในละแวกนั้นล้วนถูกไหม้ไปหลายแห่ง เป็นเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังจำได้ดี”
“เฮ้อ ไม่อาจตามไขว่คว้าความทรงจำในอดีตได้แล้ว น่าเสียดาย” เถาเยี่ยนเอ๋อร์มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
ดูเหมือนเถาเยี่ยนเอ๋อร์จะถวิลหาอดีตที่อยู่ในความทรงจำยามเยาว์วัย จึงสอบถามถึงเรื่องในอดีตบางอย่างของอำเภอผิงชวนไม่หยุด
ท่าทีรู้มารยาทพูดจานุ่มนวลมีขอบเขต บุคลิกอ่อนหวานมีการศึกษา อีกทั้งใบหน้าอันงดงามที่ประทินโฉมเพียงบางเบา รวมถึงเรือนร่างอ้อนแอ้นเพรียวบาง อู่เทียนหนานมองดูจนจิตใจร้อนรุ่มขึ้นมา พบว่าพอเทียบกับภรรยาที่บ้านแล้วดูต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
ยิ่งเมื่อทราบว่าสตรีนางนี้ยังมิได้ออกเรือน อีกทั้งมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร น่าจะถึงวัยที่สมควรออกเรือนแล้ว ภายในใจเรียกได้ว่าเกิดความกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา อยากจะได้นางมาเชยชมใจแทบขาด จนใจที่ยังเกรงกลัวพี่ชายของนาง
สำหรับคำถามของเถาเยี่ยนเอ๋อร์ อู่เทียนหนานเรียกได้ว่าคอยตอบทุกคำถามจริงๆ แล้วก็รักษามาดสุภาพชนผู้เรียบร้อยเอาไว้ตลอด ท่าทีดูงามสง่า ทว่าไม่ปริปากออกไปแม้แต่นิดเดียวว่าตนมีภรรยาแล้ว
พอได้อยู่ด้วยกัน อู่เทียนหนานรู้สึกราวกับได้อาบไล้สายลมในฤดูใบไม้ผลิ ปลอดโปร่งชื่นใจ
เมื่อเถาเยี่ยนเอ๋อร์เรียกขานว่า ‘พี่อู่’ ก็ยิ่งทำให้อู่เทียนหนานที่ถูกเรียกคล้ายกำลังลอยล่อง
ระหว่างทางเขาคอยดูแลสองพี่น้องเป็นอย่างดี เรียกว่าแม้แต่เรื่องยิบย่อยบางอย่างก็วิ่งเต้นคอยช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ใช้คำพูดดูดีว่าล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน ย่อมสมควรให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่ทราบว่าถ้าเป็นคนบ้านเดียวกันคนอื่นๆ ในอำเภอผิงชวน เขาเหล่านั้นจะได้รับการดูแลเช่นนี้ด้วยหรือไม่
จนกระทั่งส่งสองพี่น้องถึงสถานที่พักภายในมหานครแล้ว อู่เทียนหนานจึงขอตัวจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
แต่ในวันเวลาหลังจากนั้น อู่เทียนหนานก็มาเยี่ยมเยือนสองพี่น้องแทบจะทุกวัน
….
หนิวโหย่วเต้าที่หลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายได้อีกจุดหนึ่งเดินออกมาจากในกระท่อม เฮยหมู่ตานเดินเข้าไปหา
หนิวโหย่วเต้าโบกมือเล็กน้อย สื่อว่าไม่ต้องตามมา มุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขาตามลำพัง
เดินเลียบลำธารขึ้นไปยังต้นน้ำ ในที่สุดก็มายืนอยู่ริมสระน้ำแห่งหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าก้าวลงไปในสระน้ำ ค่อยๆ นั่งขัดสมาธิลงไปน้ำ น้ำท่วมมิดอก
เขาหลับตาลง ขาขัดสมาธิ โคจรพลัง
ไม่นานนักก็ปรากฏเกล็ดน้ำแข็งขึ้นรอบตัวเขา ก่อตัวเป็นวงน้ำแข็งล้อมรอบตัวเขา
น้ำแข็งค่อยๆ ขยายตัวไปตามผิวน้ำ ขยายตัวออกไปด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ผ่านไปไม่นาน น้ำครึ่งหนึ่งในสระก็แข็งตัว จับตัวแข็งจนเป็นก้อนน้ำแข็งที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งจั้ง ห่อหุ้มตัวหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ แผ่ไอเย็นออกมาภายใต้แสงตะวัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีไอร้อนลอยฟุ้งออกมาจากตำแหน่งใจกลางก้อนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มเขาเอาไว้อีกครั้ง พื้นที่ของผิวน้ำแข็งที่หลอมละลายแผ่กระจายออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุดชั้นน้ำแข็งที่ค่อยๆ บางลงก็ต้านทานกระแสน้ำไม่ไหว แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ล่องลอยอยู่บนผิวน้ำ ไหลไปตามกระแสน้ำ
ตูม!
จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็พุ่งตัวขึ้นมาจากในน้ำ ละอองน้ำสาดกระเซ็นตามขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ท่ามกลางละอองน้ำฟันฝ่ามือซ้ายไปในอากาศ ละอองน้ำส่วนใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายมือพลันกลายเป็นลูกเห็บร่วงตกลงไปในน้ำเบื้องล่าง
จากนั้นฟันมือขวาออกไป ละอองน้ำส่วนใหญ่ที่อยู่ทางขวามือสลายกลายเป็นหมอกอย่างรวดเร็ว หมอกขาวกลุ่มหนึ่งกระจายตัวออกไป
ร่างหนิวโหย่วเต้าร่วงดิ่งลงสู่ผิวน้ำ ยืนตระหง่านอยู่บนระลอกคลื่น ลูกเห็บที่ร่วงตกกระจัดกระจายกระแทกลงสู่ผิวน้ำ แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่จมๆ ลอยๆ ไหลไปตามกระแสน้ำ หมอกขาวลอยม้วนขึ้นไปในอากาศแล้วสลายหายไป
หนิวโหย่วเต้าที่เปียกโชกไปทั้งตัวอมยิ้มเล็กน้อย พึงพอใจกับระดับความก้าวหน้าของสภาวะของตนในช่วงนี้ยิ่งนัก
จากปัจจุบันนี้ เห็นได้ว่ายันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่ตงกัวเฮ่าหรานถ่ายทอดให้เขามีส่วนช่วยเขาอย่างมากจริงๆ มิเช่นนั้นสภาวะของเขาไหนเลยจะก้าวหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้
มีเสียงซ่าๆ แว่วดังขึ้นมา ทำให้เขาเหลียวหน้ากลับไปมองธารน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาด้านหน้า จากนั้นหมุนตัว ค่อยๆ เดินไปบนยอดคลื่นอย่างแผ่วเบา เหยียบย่างบนคลื่นเหนือผิวน้ำ มุ่งหน้าไปยังน้ำตกอย่างไม่เร่งร้อน ไอน้ำระเหยออกมาจากบนร่าง เสื้อผ้าแห้งสนิทอย่างรวดเร็ว
ภาพคนผู้หนึ่งเดินเหยียบย่างไปยอดคลื่นโดยมีไอขาวลอยฟุ้งออกมาจากร่าง เมื่ออยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้แล้วดูค่อนข้างแปลกประหลาด
ในเวลานี้เอง เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามา ตะโกนเรียก “เต้าเหยี่ยขอรับ!”
ผู้ที่มาคือหยวนฟาง
หนิวโหย่วเต้ากล่าวโดยไม่หันกลับไปมอง “ข้าบอกแล้วไง ระยะนี้หากไม่มีเรื่องด่วนอันใดก็อย่าได้มารบกวนข้า”
หยวนฟางหยุดอยู่บนหน้าผา รายงานว่า “มีข่าวจากทางมณฑลจินโจวขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าเหินกายขึ้นไปบนหน้าผาทันที เขาเคยสั่งไว้ว่าถ้าไม่มีธุระเร่งด่วนอะไรก็ห้ามมารบกวนการบำเพ็ญเพียรของเขา แต่มีอยู่สองสามเรื่องที่เขาจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งทางมณฑลจินโจวที่มีการวางแผนเอาไว้แต่แรกก็คือหนึ่งในนั้น
หากไม่จัดการปัญหาบางอย่างให้จบสิ้น วันหน้าเขาก็อย่าหวังจะได้มีอิสระเลย แล้วก็อย่าได้คิดว่าจะได้บำเพ็ญเพียรอย่างสงบ
“สถานการณ์เป็นอย่างไร?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม
หยวนฟางตอบว่า “หมอชื่อดังคนหนึ่งจากทางแคว้นซ่งที่มีนามว่าผู่อวิ๋นฟางมาประจำการที่โรงหมอแห่งหนึ่งในมณฑลจินโจว ชาวบ้านมากมายที่ได้ข่าวพากันมุ่งหน้าไปตรวจรักษา ต่อแถวยาวเหยียดออกไปนอกโรงหมอ ไห่หรูเยวี่ยก็รู้เรื่องแล้วเช่นกันขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าถามทันที “ฟางเจ๋อได้ห้ามเอาไว้หรือเปล่า?”
หยวนฟางตอบว่า “ทันทีที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ฟางเจ๋อก็ไปขอเข้าพบไห่หรูเยวี่ยทันทีขอรับ ทำตามคำสั่งของเต้าเหยี่ย แจ้งต่อไห่หรูเยวี่ยว่าผู่อวิ๋นฟางคนนี้คือคนที่เต้าเหยี่ยส่งไปยังมหานครจินโจวด้วยเป้าหมายอื่น รักษาอาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้นไม่ได้ ห้ามไม่ให้นางเรียกตัวมาตรวจรักษาในจวน แต่ไห่หรูเยวี่ยก็สอบถามฟางเจ๋ออยู่เช่นกัน ถามว่าเต้าเหยี่ยกำลังจะทำอะไร ฝากเตือนมาว่าไม่ให้เต้าเหยี่ยก่อเรื่องในเขตพื้นที่ของนาง ขณะเดียวกัน ไห่หรูเยวี่ยก็ถามเช่นกันว่าผลตะวันชาดที่เต้าเหยี่ยรับปากเอาไว้จะนำไปให้นางเมื่อไรขอรับ”
“ห้ามไว้ได้ก็ดีแล้ว” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะ ไม่เก็บความไม่พอใจของไห่หรูเยวี่ยมาใส่ใจ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแปลกๆ เอ่ยไปว่า “ช่างใจเย็นจริงๆ ที่ผ่านมาไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย ข้ายังหลงนึกว่าข้าวิเคราะห์ผิดพลาดไป ในที่สุดก็ติดกับแล้ว ดูเหมือนฉากละครอันแสนสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งหอหิมะเหมันต์ ทางฝั่งมณฑลเป่ยโจว หรือว่าทางฝั่งมณฑลจินโจว เขาก็แอบกางใยรอคอยเอาไว้แต่แรกแล้ว
เขาเป็นเหมือนแมงมุมที่หลบอยู่เบื้องหลังใย เก็บเขี้ยวเล็บเฝ้ารอด้วยความอดทน รอคอยให้แมลงบินเข้ามาติดใยอย่างเงียบๆ
แม้ว่าแมงมุมและแมลงต่างก็กำลังระมัดระวังเหมือนกัน แต่ตัวหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง อีกตัวอยู่ในลับตา เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างที่ลับกับที่แจ้ง
“ไป! ไปหาเจ้าสำนักเฟ่ยฉางหลิวกัน” หนิวโหย่วเต้าโบกมือเล็กน้อย พาหยวนฟางจากไปพร้อมกัน
ขณะนี้ศูนย์กลางของสำนักเซียนสถิตอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งที่บุกเบิกขึ้นมาชั่วคราว ยามที่ทั้งสองมาถึงที่นี่ หนิวโหย่วเต้าหันไปเห็นศิษย์เฝ้าภูเขาคนหนึ่ง เป็นชุยหย่วนนั่นเอง
หยวนฟางก็มองดูชุยหย่วนเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักเบาๆ เรื่องราวบางอย่างเจ้าตัวรู้อยู่แก่ใจดี
ชุยหย่วนหันมองไปอีกด้านหนึ่ง ค่อนข้างร้อนตัว แล้วก็ว้าวุ่นใจเล็กน้อย
หลังทำการแจ้งไปแล้ว ไม่นานทั้งสองก็ได้พบเฟ่ยฉางหลิว
ตอนนี้มาพึ่งพาอีกฝ่ายแล้ว เจ้าสำนักเฟ่ยเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่พบ
เมื่อพบหน้าก็เชื้อเชิญให้นั่งลง เฟ่ยฉางหลิวสั่งให้คนยกน้ำชามา จากนั้นก็นั่งลงพลางเอ่ยถาม “เจ้ามิใช่ว่ากำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียร สั่งห้ามไม่ให้ใครไปรบกวนส่งเดชมิใช่รึ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แค่มาแจ้งเล็กน้อย อีกไม่นานทางฝั่งหอหิมะเหมันต์น่าจะมีความเคลื่อนไหวแล้ว บอกให้คนของท่านตื่นตัวเข้าไว้ คอยจับตาดูให้ดี”
เฟ่ยฉางหลิวขมวดคิ้ว “เจ้าแน่ใจ?” คนที่เขาจัดไว้ทางฝั่งหอหิมะเหมันต์รอมาขนาดนี้ รู้สึกหมดความอดทนไปนานแล้ว
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “แน่ใจ!”
อันที่จริงเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเซ่าผิงปอจะหงายไพ่กับทางหอหิมะเหมันต์หรือไม่ แต่การวางกับดักเป็นวงกว้างมักจะจับได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะสั่งการลงไป” เฟ่ยฉางหลิวพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยเตือนต่อ “ทางข้าได้รับข่าวมา สำนักหยกสวรรค์ขายสุรานั้นในราคาแพงลิ่ว ไหล่ะหนึ่งพันเหรียญทอง ราคาพันเหรียญทองต่อหนึ่งไห เรียกได้ว่ากำไรมหาศาลอย่าง เกรงว่ารอบนี้พวกเขาคงได้เงินไปมากโข! เรื่องที่เจ้ารับปากไว้ควรจะมอบคำตอบให้พวกเราสามสำนักได้แล้วหรือเปล่า?”
ขายแพงขนาดนี้เชียวหรือ? หนิวโหย่วเต้าค่อนข้างประหลาดใจพอสมควร แต่ในเมื่อสำนักหยกสวรรค์กล้าทำแบบนี้ แสดงว่าพวกเขาจะต้องทำการคิดคำนวณมาจนมั่นใจแล้วอย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไร เดี๋ยวเขาต้องไปทำความเข้าใจอีกสักหน่อย จึงเอ่ยไปว่า “เรื่องนี้ท่านวางใจเถอะ พวกเขาต้องเข้ามารับสุราทุกเดือนอยู่แล้ว ข้าจะหาโอกาสเหมาะๆ เจรจากับพวกเขาอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดคุยอะไรกันอีกเล็กน้อย ทั้งสองก็ขอตัวลา
เมื่อเห็นทั้งสองออกมา ชุยหย่วนกลับดูค่อนข้างกระวนกระวาย เนื่องจากทั้งสองเดินเข้ามาหาเขา เขาไม่ทราบว่าทั้งคู่มาด้วยเจตนาใด เวลานี้อยู่ในพื้นที่ของอีกฝ่าย ต่อให้อยากจะหลบ เขายังจะหลบไปไหนได้เล่า?
พวกเขาเดินเข้าไปใกล้ เมื่อพบหน้ากัน หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชุย ไม่พบกันเสียนาน”
ชุยหย่วนกวาดตามองไปรอบๆ กระซิบถามเบาๆ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สบายใจได้ ไม่เป็นอะไรหรอก เดิมทีพวกเราก็รู้จักกันอยู่แล้ว พบเจอหน้าเอ่ยทักทายกันไม่เห็นเป็นไรเลย ท่านหาข้ออ้างอะไรมาสักหน่อยก็ไม่มีใครรู้แล้ว”
ชุยหย่วนเอ่ยว่า “ข้ามีภารกิจติดตัว ไม่สะดวกอยู่เป็นเพื่อนคุย!” เห็นได้ชัดว่าต้องการหลบเลี่ยงอีกฝ่าย
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “เป็นสหายกันแล้ว คาดว่าพี่ชุยก็คงไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นกับข้ากระมัง วันหน้าหากทางสำนักเซียนสถิตมีความผิดปกติอันใดเกิดขึ้น หวังว่าพี่ชุยจะแจ้งข่าวข้าทันที ถ้าไม่สะดวกมาพบข้าโดยตรงก็ไปหาหยวนฟาง หยวนกังหรือไม่ก็พวกเฮยหมู่ตานได้ หากเผชิญปัญหายุ่งยากอันใดเข้า ก็ไปหาพวกเขาได้เหมือนกัน ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่เอาเปรียบสหายแน่ หากมีโอกาสข้าจะผลักดันท่านให้ก้าวหน้าในสำนักเซียนสถิต”
หยวนฟางหัวเราะคิกคักอีกครั้ง ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเต้าเหยี่ยถึงปล่อยคนผู้นี้ไป ยามนี้กลับเข้าใจแล้ว
เขาพบว่าเต้าเหยี่ยเชี่ยวชาญการเปลี่ยนคนของคนอื่นให้กลายเป็นคนของตัวเองยิ่งนัก ชุยหย่วนคนนี้ ยังมีเหยาโหย่วเลี่ยงคนนั้น ลู่เซิ่งจงคนก่อนหน้านั้นก็เหมือนจะใช่เช่นกัน จัดวางคนของตนคอยสอดแนมอยู่ในสำนักอื่นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เช่นนี้สิถึงจะเรียกว่ามองการณ์ไกล ควรค่าแก่การเอาอย่าง!
อันที่จริงยังมีอีกคนหนึ่งที่เขาไม่รู้ ถูกส่งไปสอดแนมอยู่ในมณฑลเป่ยโจวอย่างเงียบเชียบโดยไม่เผยพิรุธใดๆ เอาไว้แล้วเช่นกัน!
…………………………………………………………..