ตอนที่ 215 หานปิงมาเยือน
ไห่หรูเยวี่ยได้ฟังก็ตื่นตระหนก หรือว่าหนิวโหย่วเต้าจะเดินทางไปยังหอหิมะเหมันต์แล้วลงมือขโมยผลตะวันชาดมาจริงๆ นี่จะต้องใจกล้าขนาดไหนถึงทำเรื่องเช่นนี้ได้?
นางนึกสงสัยเล็กน้อย เพราะหนิวโหย่วเต้าเคยเจรจากับนางอย่างลับๆ จริง บอกว่านำผลตะวันชาดมาให้นาง จากนั้นก็เดินทางไปยังหอหิมะเหมันต์จริงๆ แล้วตอนนี้ดันเกิดเรื่องกับผลตะวันชาดของทางนั้นอีก
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ประการแรกเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้าไม่ได้มอบผลตะวันชาดให้นาง ประการที่สอง ขอเพียงหนิวโหย่วเต้ามิใช่คนโง่ก็น่าจะทราบดี นางจะกล้าใช้ผลตะวันชาดที่ขโมยมาจากหอหิมะเหมันต์ได้อย่างไร? นั่นไม่ได้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย!
“ผู้ใดปล่อยข่าวลือให้ร้ายกันเช่นนี้?” ไห่หรูเยวี่ยถาม “หรือจะเป็นตระกูลเซ่าแห่งเป่ยโจว?”
ก่อนหน้านี้ก็เป็นตระกูลเซ่าที่เปิดเผยเรื่องผลตะวันชาดเพราะต้องการทำร้ายหนิวโหย่วเต้า เรื่องนี้นางไม่มีทางลืม
หลีอู๋ฮวาเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดต้องการทำร้ายผู้ใด ยืนตัวตรงย่อมไม่หวั่นเงาเอนเอียง ขอเพียงทางเราไม่มีความผิด ก็ไม่มีใครใส่ความพวกเราได้….”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางในสภาพเย้ายวนใจขนาดนี้ ลมหายใจค่อยๆ ปั่นป่วนขึ้นมา
ไห่หรูเยวี่ยสังเกตเห็นความผิดปกติ เมื่อเห็นว่าเขายังมีใจคิดถึงเรื่องนี้ได้ จึงทราบว่าน่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แล้วก็นับว่าโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง เมื่อครู่ทำเอานางหวาดวิตกเป็นอย่างยิ่ง
นางกลอกตาใส่หลีอู๋ฮวาคราหนึ่ง เบือนหน้าหันกายหมายเดินหนี
หลีอู๋ฮวาพลันคว้าแขนนางไว้ รั้งตัวนางกลับมา กดนางลงกับโต๊ะยาวที่อยู่ด้านข้าง…
เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติจากภายในห้อง สาวใช้สองนางที่ยืนก้มหน้าเฝ้าอยู่นอกประตูสบตากันคราหนึ่ง หันหลังกลับพร้อมกัน เอื้อมมือเข้าไปในห้อง ดึงประตูปิดให้สนิท เลี่ยงไม่ให้มีคนมาเห็นภาพอันไม่เหมาะสม
อันที่จริงสำหรับคนในจวนแล้ว เรื่องบางเรื่องนับเป็นความลับที่ทราบกันดี พบเห็นจนชาชิน ต่างรู้ว่าองค์หญิงใหญ่ค่อนข้างปล่อยตัวกับเรื่องทำนองนี้
เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจนำไปพูดส่งเดชได้ พวกบ่าวไพร่ที่ไม่รู้จักกฎระเบียบถูกตีตายไปหลายคนแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีนางหนึ่งที่รูปโฉมงดงามดุจดั่งบุปผาและไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่น่าจะครองตัวอยู่เป็นม่ายได้
ทว่าในเวลานี้เอง มีเสียงตวาดกร้าวแว่วมาจากในจวน “ผู้ใดกัน!”
ภายในห้อง คนทั้งสองที่กำลังพัวพันกันในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยพลันสะดุ้งโหยง ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านพลันหายไป รีบจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
หลีอู๋ฮวาเปิดประตูเดินออกไปก่อน เห็นบนชายหลังคาเรือนด้านนอกหลายหลังมีศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมานยืนอยู่หลายคน กำลังเงยหน้ามองขึ้นไปท้องฟ้า
หลีอู๋ฮวาทะยานกายขึ้นไปบนหลังคา พบว่าบนท้องฟ้าเหนือจวนผู้ว่าการมณฑลมีวิหคยักษ์สามตัวบินวนอยู่ บนหลังวิหคยักษ์แต่ละตัวมีคนยืนอยู่สองคน
วิหคชนิดนี้ ซื้อหาสักตัวก็นับเป็นเงินสิบล้านเหรียญทองแล้ว แล้วนี่โผล่มาทีเดียวสามตัว อีกทั้งเมื่อดูจากสภาพอันสง่างามสมบูรณ์ของวิหคสามตัวนั้นแล้ว คล้ายว่าจะมิใช่วิหคธรรมดา
ผู้ใดกัน? ศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานที่โผล่ออกมาจากในจวนต่างตกตะลึงและสงสัย คาดเดาไปก่อนแล้วว่าจะใช่คนจากวังหลวงแคว้นจ้าวหรือไม่
ขบวนของผู้มาเยือนทำให้ทางนี้ไม่กล้าผลีผลามทำอะไร
วิหคทั้งสามคล้ายจะหาสถานที่ร่อนลงสู่พื้นพบแล้ว โฉบไปทางสวนบุปผา บินวนแล้วร่อนลงไปด้านล่าง
ศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานที่อยู่บนยอดหลังคาส่วนหนึ่งยังคงคอยเฝ้าเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ผู้ใดฉวยโอกาสบุกเข้ามา ส่วนที่เหลือทะยานไปทางสวนบุปผาเช่นเดียวกับหลีอู๋ฮวา
เมื่อทั้งกลุ่มมาถึงภายในสวนบุปผา ก็เห็นว่ากลุ่มคนที่อยู่บนหลังวิหคก็กระโดดลงมาแล้วเช่นกัน
สตรีวัยกลางคนในชุดสีเทาที่มีผมหงอกแซมจอนสองข้างเยื้องย่างอยู่ในสวนบุปผาอย่างเชื่องช้า มีหนึ่งสตรีสี่บุรุษคอยติดตามอยู่ด้านหลัง
สีหน้าท่าทางของสตรีวัยกลางคนในชุดเทาดูเฉยชา แต่ในแววตาที่เฉยชากลับเผยให้เห็นถึงความรู้สึกดูแคลนอย่างชัดเจน ท่าทางคล้ายไม่เห็นศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมานที่ยืนล้อมอยู่รอบด้านอยู่ในสายตาเลย ราวกับว่าที่นี่คือสวนบุปผาในบ้านของนางอย่างไรอย่างนั้น เดินดูไปเรื่อยๆ โดยไม่มีผู้ใดว่าอะไรได้
ไม่ใช่แค่เพียงสตรีวัยกลางคนในชุดสีเทานางนี้เท่านั้น แม้แต่กลุ่มผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังนางก็มีท่าทางไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
หลีอู๋ฮวาระแวดระวัง ก้าวเข้าไปเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดมาเยือน?”
สตรีวัยกลางคนในชุดเทาเดินมาหยุดอยู่หน้าพุ่มบุปผาพุ่มหนึ่ง เชยกิ่งชื่นชมบุปผา เอ่ยตอบอย่างแผ่วเบาโดยไม่เหลียวหน้ากลับมามองว่า “หานปิงแห่งหอหิมะเหมันต์!”
หานปิง? เคยได้ยินนามนี้มานานแล้ว ทว่าไม่เคยพานพบตัวจริงมาก่อน หลีอู๋ฮวาตกใจ แม่บ้านใหญ่แห่งหอหิมะเหมันต์มาเยือนด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?
ส่วนสตรีที่อยู่ด้านหลังหานปิงได้นำป้ายคำสั่งหอหิมะเหมันต์ที่ทำขึ้นจากผลึกโปร่งใสชิ้นหนึ่งออกมาแสดงต่อเขา เพื่อยืนยันฐานะตัวตน
มิน่าขบวนถึงได้ดูยิ่งใหญ่ขนาดนั้น! ท่าทางจดจ้องระแวดระวังของศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานที่ห้อมล้อมอยู่รอบข้างพลันสลายหายไป
มาดความเป็นผู้อาวุโสของหลีอู๋ฮวาเองก็เลือนหายไปในพริบตาด้วยเช่นกัน สีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย รีบเดินเข้าไปประสานมือค้อมคำนับตามมารยาท “หลีอู๋ฮวาผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์หมื่นวิมาน คารวะท่านแม่บ้านขอรับ!”
ในเวลานี้เอง ไห่หรูเยวี่ยก็พาพวกจูซุ่นรีบเดินตามเข้ามา เข้ามาดูสถานการณ์
จู่ๆ ทั้งกลุ่มก็เดินทะเล่อทะล่าเข้ามา หลีอู๋ฮวารีบส่งสายตาให้ไห่หรูเยวี่ย สื่อว่าอย่าได้เสียมารยาท
ไห่หรูเยวี่ยมองเห็นวิหคยักษ์งามสง่าสามตัวนั้น ก่อนจะเห็นหลีอู๋ฮวาที่ปกติมักจะวางท่าสูงส่งเย่อหยิ่งเปลี่ยนไปทำตัวพินอบพิเทาดุจหลานชายที่ว่านอนสอนง่าย จึงตระหนักได้ทันทีว่าผู้มาเยือนไม่ธรรมดา รีบยกมือให้สัญญาณเล็กน้อย ผู้ติดตามต่างหยุดเดินและเฝ้ามอง
“วังสวรรค์หมื่นวิมานหรือ?” หานปิงพึมพำกับตัวเองประโยคหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย ปล่อยมือที่เชยกิ่งบุปผา ถามขึ้นว่า “ผู้ที่ดูแลจวนผู้ว่าการมณฑลแห่งนี้อยู่ที่นี่หรือไม่?”
หลีอู๋ฮวารีบเดินเข้าไปหาไห่หรูเยวี่ย กระซิบบอกสถานะของผู้มาเยือน
ไห่หรูเยวี่ยพลันตกใจ เดินเข้าไปทำความเคารพอย่างตัวสั่นงันงก เอ่ยว่า “ไห่หรูเยวี่ยหญิงม่ายแห่งจินโจวคารวะท่านแม่บ้าน”
หานปิงมีท่าทางใคร่ครวญขบคิด ค่อยๆ หมุนตัวกลับมา จ้องมองนางจากหัวจรดเท้า เอ่ยขึ้นว่า “ช่างเป็นหญิงที่งดงาม เจ้าคือไห่หรูเยวี่ยองค์หญิงใหญ่แห่งจินโจว?”
ไห่หรูเยวี่ยย่อกายลงเล็กน้อย กล่าวตอบว่า “เจ้าค่ะ”
หานปิงเพ่งพิศนาง พยักหน้าให้พลางเอ่ยว่า “พวกเราไม่ได้เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก”
หลีอู๋ฮวาแปลกใจ ทั้งสองเคยพบกันมาก่อนหรือ? เขาไม่ทราบเรื่อง เหตุใดไม่เคยได้ยินไห่หรูเยวี่ยเอ่ยถึงเลย?
ไห่หรูเยวี่ยพยักหน้ารับ “เคยได้ยินเสด็จแม่ตรัสถึงเจ้าค่ะ ยามนั้นหรูเยวี่ยยังเยาว์วัย”
“ถูกต้อง!” หานปิงพลันกล่าวอย่างทอดถอนใจ “พอเห็นเจ้า ถึงได้รู้ว่าตัวเองแก่แล้ว น่าจะเป็นเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนกระมัง พ่อของเจ้าเพิ่งขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ยามที่ข้าติดตามนายหญิงไปเยือนวังหลวงแคว้นจ้าว เจ้าติดตามอยู่ข้างกายพ่อแม่ของเจ้า ตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะสูงประมาณนี้เอง” นางยกมือขึ้นมาตรงช่วงเอวเพื่อประมาณส่วนสูง “ไม่ทันไรก็เติบโตขนาดนี้แล้ว ตอนนั้นพอได้เห็นก็รู้แล้วว่าเจ้าจะต้องเป็นหญิงที่งดงามแน่ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ งดงามยิ่งนัก”
หลีอู๋ฮวาถึงได้เข้าใจว่าที่บอกว่ารู้จักกันหมายความว่าอย่างไร
ไห่หรูเยวี่ยรีบเอ่ยว่า “เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านแม่บ้านก็เป็นแค่หญิงธรรมดาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หานปิงเอ่ยถาม “ได้ยินว่าเจ้ามีลูกแล้ว ทว่าสุขภาพของลูกเจ้าไม่สู้ดีอย่างนั้นหรือ?”
หลีอู๋ฮวาและไห่หรูเยวี่ยต่างใจเต้นแรง มาเพราะเรื่องผลตะวันชาดจริงๆ ด้วย ทั้งคู่หวั่นวิตกขึ้นมา
ไห่หรูเยวี่ยกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง ตอบไปว่า “เจ้าค่ะ! เขาถูกโรคร้ายรุมเร้ามาโดยตลอด”
หานปิงถาม “ให้ข้าลองตรวจอาการลูกเจ้าดูเป็นอย่างไร?”
“ได้เจ้าค่ะ!” ไห่หรูเยวี่ยไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ รีบโบกมือส่งสัญญาณให้จูซุ่นไปพาตัวมา
จูซุ่นรีบเดินออกไป จากนั้นไห่หรูเยวี่ยเชื้อเชิญหานปิงเข้าไปดื่มชา
หานปิงโบกมือปฏิเสธ หาได้สนใจไม่ เดินเล่นอยู่ภายในสวนบุปผา พวกไห่หรูเยวี่ยทำได้เพียงคอยติดตามอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ภายในใจกำลังรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
แม้นจะทราบว่าอีกฝ่ายมาเพราะเรื่องใด แล้วก็ทราบดีว่าตัวเซียวเทียนเจิ้นไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบเช่นกันว่าหอหิมะเหมันต์จะตัดสินอย่างไร
ไม่นานนัก เซียวเทียนเจิ้นที่สวมชุดนวมตัวหนาแม้อากาศจะอบอุ่นขึ้นแล้วก็ถูกพาตัวเข้ามา
นางมองดูเด็กชายที่ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่มีโรคภัยรุมเร้ามาเป็นเวลานาน
“นี่คือลูกชายของเจ้าหรือ?” หานปิงถามอย่างมีนัย
ทางนี้เองก็ทราบเจตนาของนาง อีกฝ่ายกำลังบอกว่าอย่าได้คิดจะเอาตัวปลอมมาหลอกข้า
ไห่หรูเยวี่ยรีบตอบว่า “เป็นบุตรชายไม่เอาไหนของข้าเองเจ้าค่ะ คนส่วนใหญ่ในมหานครล้วนเคยเห็นเขา”
หานปิงพยักหน้า คนพวกนี้คงไม่กล้าหลอกลวงตนในเรื่องแบบนี้ นางยื่นมือออกไปหาเซียวเทียนเจิ้น ยิ้มละไมพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเมตตา “เด็กน้อย มาเถอะ ยื่นมือมาให้ข้า”
เซียวเทียนเจิ้นได้รับการกำชับจากจูซุ่นมาแล้ว ทราบว่าผู้มาเยือนคือบุคคลที่แคว้นจ้าวทั้งแคว้นไม่อาจล่วงเกินได้ เขาเม้มริมฝีปาก ยื่นข้อมือออกไปอย่างว่าง่าย
หานปิงจับข้อมือเขาเพื่อตรวจชีพจร หลับตานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายลืมตาขึ้นมาพลางถอนหายใจเบาๆ ปล่อยมือเซียวเทียนเจิ้น ลูบศีรษะอีกฝ่ายด้วยความเวทนา “ลำบากเด็กคนนี้แล้ว”
จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับไห่หรูเยวี่ย “เจ้าเองก็ลำบากเหมือนกัน”
ไห่หรูเยวี่ยขบริมฝีปากแน่น คำพูดประโยคนี้ทำเอานางเกือบจะร่ำไห้ออกมา นางพยายามฝืนกลั้นไว้ แต่ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาแล้ว
เห็นนางเป็นเช่นนี้ หานปิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกำลังใคร่ครวญเพื่อจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง นางถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังผ่านไปสามสิบกว่าปี นี่ก็นับว่าพวกเรามีวาสนาต่อกัน เรื่องบางอย่างข้าตัดสินใจโดยพลการไม่ได้ แล้วก็ไม่สะดวกจะก้าวก่ายส่งเดช แต่เรื่องบางเรื่องที่ไม่ได้มีผลอะไรร้ายแรงข้าก็พอจะจัดการให้ได้อยู่ สาวน้อย หากเจ้ายินยอมละทิ้งบางสิ่งบางอย่าง หากเจ้ายินดีจะพาบุตรชายกลับไปใช้ชีวิตที่เมืองหลวงอย่างสงบสุข ข้าช่วยจัดการให้เจ้าได้ จะไม่มีผู้ใดกล้าไปรบกวนความสงบของเจ้าแน่นอน”
หลีอู๋ฮวาเหลือบมองไห่หรูเยวี่ยทันที หากสตรีนางนี้กลับไปเมืองหลวงจริง เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคงต้องจบลง
จูซุ่นพ่อบ้านตระกูลเซียวมองไห่หรูเยวี่ย ไม่ทราบว่านางจะตัดสินใจอย่างไร
ไห่หรูเยวี่ยกัดริมฝีปาก รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกลังเลใจด้วยเช่นกัน
นางทราบความหมายของหานปิงดี แต่ก่อนนางกังวลว่าถ้าสละอำนาจแล้วกลับสู่เมืองหลวง อาจจะเกิดปัญหาวุ่นวายกับนางได้ แต่เมื่อมีแม่บ้านใหญ่ผู้นี้เอ่ยปากรับรอง ปัญหาเหล่านั้นก็น่าจะไม่เกิดขึ้น
แต่ถ้าหากไม่ถึงขั้นที่อับจนหนทางจริงๆ นางก็ไม่อยากละทิ้งอำนาจในมือ นางเคยสัมผัสชีวิตที่ไร้ซึ่งอำนาจ ต้องถูกผู้อื่นบงการควบคุมมาแล้ว นั่นเป็นชีวิตที่ไม่ได้ต่างอะไรกับของชิ้นหนึ่งที่ถูกคนโยนไปโยนมาตามใจชอบเลย และเคยสัมผัสความรู้สึกเวลาที่มีอำนาจอยู่ในมือด้วยเช่นกัน
อยู่ดีๆ จะให้นางส่งมอบอำนาจให้ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?
เรื่องราวในอนาคตไม่มีผู้ใดบอกได้ชัดเจน คำพูดของอีกฝ่ายสามารถช่วยปกป้องนางได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่จะปกป้องนางไปตลอดชีวิตได้หรือ? ตอนนี้หากละทิ้งอำนาจไปง่ายๆ หากอนาคตเผชิญปัญหายากลำบากขึ้นมา ถึงเวลานั้นหากคิดจะตั้งตัวขึ้นมาใหม่ก็เป็นเรื่องยากแล้ว ไม่มีทางที่จะราบรื่นเหมือนดั่งใจนึก
“ถึงอย่างไรรากฐานกิจการของตระกูลเซียวก็อยู่ที่นี่ แต่งไก่ติดตามไก่ แต่งสุนัขติดตามสุนัข มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน!” ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยเสียงแผ่ว สุดท้ายก็ปฏิเสธโอกาสที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ปฏิเสธความหวังดีของหานปิงอย่างละมุนละม่อม
หานปิงจ้องมองนางอย่างลุ่มลึก จากนั้นพยักหน้าให้เล็กน้อย ไม่ได้บังคับฝืนใจ ดึงมือที่ลูบหัวเซียวเทียนเจิ้นกลับไปพลางเอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าเพียงผ่านมาเท่านั้น แล้วก็ได้พบหน้าคนคุ้นเคยแล้ว สมควรไปเสียที” ว่าจบก็หันหลังเดินออกไป
ไห่หรูเยวี่ยรีบเดินตามไป “ไฉนท่านแม่บ้านถึงรีบเร่งเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ ให้โอกาสหรูเยวี่ยได้รับรองในฐานะเจ้าบ้านสักครั้ง…”
หานปิงโบกมือพลางเอ่ยตัดบทว่า “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก ข้าอยู่ที่นี่ พวกเจ้าจะอึดอัดเปล่าๆ”
บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป วิหคยักษ์ทั้งสามกางปีกโผบินสู่อากาศ บรรทุกคนทั้งหกโบยบินสู่ท้องนภา
ไห่หรูเยวี่ยมองตามอย่างเลื่อนลอย สีหน้าหม่นหมองสิ้นหวัง
จูซุ่นเข้าไปจูงมือเซียวเทียนเจิ้นอย่างเงียบงัน พาออกไปเงียบๆ
พวกหลีอู๋ฮวาสามศิษย์พี่น้องสบตากัน ต่างถอนหายใจหนักๆ ออกมา ดูเหมือนจะผ่านไปได้แล้ว น่าจะไม่เป็นไรแล้ว
……………………………………………………………..