ตอนที่ 227 สื่อรัก
คำพูดนี้เป็นเพียงถ้อยคำให้กำลังใจและหลอกล่อเท่านั้น อันที่จริงแม้กระทั่งลู่เซิ่งจงเองก็ไม่เห็นดีด้วยกับเรื่องของเขาและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เช่นกัน ฐานะชาติตระกูลของทั้งสองต่างกันเกินไป
ช่องว่างขนาดใหญ่ที่คั่นกลางอยู่ระหว่างทั้งสองคนไม่ใช่สิ่งที่จะชดเชยได้ด้วยคำว่าชอบหรือไม่ชอบ ความแตกต่างด้านมุมมอง ประสบการณ์และความรู้ ความแตกต่างในด้านมาตรฐานการใช้ชีวิตและพื้นฐานนิสัยของทั้งสองล้วนเป็นสิ่งที่ยากจะเข้ากันได้ แรกเริ่มอาจจะถูกความรักและความลุ่มหลงบดบังเอาไว้ แต่เมื่อพายุแห่งความรักนั้นสงบลง ความขัดแย้งต่างๆ ก็จะเปิดเผยออกมาจนหมด ทั้งสองเข้ากันไม่ได้ เว้นแต่ว่าถานเย่าเสี่ยนคนนี้จะสามารถก้าวหน้าพัฒนาตัวเองไปได้อย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ ฝั่งตระกูลเซ่าย่อมมองออกอย่างชัดเจน พวกเขาไม่มีทางกีดกันอีกฝ่ายเพียงเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายยากจนเพียงอย่างเดียว
ถานเย่าเสี่ยนยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา จ้องมองลู่เซิ่งจงด้วยความตะลึง คำพูดประโยคสุดท้ายคล้ายจะเรียกสติเขากลับมา
ทั้งคู่สบตากัน ลู่เซิ่งจงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย สื่อว่าเขากล่าวไปเพื่อให้กำลังใจ
ดวงตาของถานเย่าเสี่ยนค่อยๆ เปล่งประกาย สองมือประสานกันอยู่ตรงอก เดินกลับไปกลับมาอยู่ในโถงรับแขก ทั้งร้อนรน ทั้งตื่นเต้น
ทว่า ความฮึกเหิมมาเร็วแต่ก็ไปเร็วเช่นกัน ไม่นานเขาก็ค่อยๆ กลับมานั่งลงที่โต๊ะ มือวางลงบนขอบโต๊ะพลางก้มหน้า เอ่ยว่า “ความหมายของตระกูลเซ่าข้าเข้าใจดี ข้ายินดีพัฒนาตัวเองแล้วจะมีประโยชน์อันใด หากทางตระกูลเซ่าไม่ตอบตกลงข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้พบหลิ่วเอ๋อร์เลยด้วยซ้ำ”
ลู่เซิ่งจงแอบด่าขึ้นมาในใจ เช่นนั้นเจ้ารู้ทั้งรู้ว่าอยู่ในมณฑลเป่ยโจวต่อไปไม่ได้แล้ว แล้วเหตุใดถึงยังอ้อยอิ่งไม่ยอมไปอีก ก็เพราะยังมีความหวังอยู่มิใช่หรือ?
เขารีบเดินไปตรงหน้าอีกฝ่าย โน้มตัวลงพลางเอ่ยว่า “ถ้าตระกูลเซ่าไม่ให้พบ เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงไม่คิดหาทางไปพบเองเสียเล่า?”
ถานเย่าเสี่ยนเงยหน้าขึ้น “ประตูบ้านตระกูลเซ่าคุ้มกันหนาแน่น ไม่ปล่อยให้หลิ่วเอ๋อร์ออกมา แล้วข้าจะเข้าไปได้อย่างไร?”
ลู่เซิ่งจงกล่าวว่า “ใบไม้สื่อรัก มิใช่ว่าท่านสามารถติดต่อกับคุณหนูเซ่าได้หรอกหรือ? ท่านเข้าไปไม่ได้ แต่ท่านบอกให้คุณหนูเซ่าคิดหาทางออกมาได้นี่!”
ถานเย่าเสี่ยนถาม “คนในบ้านนางคอยเฝ้านาง ไม่ให้นางออกมา แล้วนางจะออกมาได้อย่างไร?”
ลู่เซิ่งจงตอบ “หากว่าเข้าออกได้ง่ายๆ แล้วเรายังจะต้องมานั่งคิดหาทางอยู่ทำไมเล่า? ท่านติดต่อไปหาคุณหนูเซ่าก่อนเถอะ ลองถามดูว่ามีปัญหายุ่งยากตรงไหนบ้าง พวกเราค่อยลองดูว่าจะหาทางแก้ไขได้หรือไม่ หากว่าแก้ไม่ได้จริงๆ ค่อยมากลัดกลุ้มทีหลังก็ยังไม่สาย หากท่านไม่แม้แต่จะลองดูก็กลัวหัวหดไปก่อนแล้ว นี่ใช่วิสัยของชายชาตรีอย่างนั้นหรือ? หรือว่าถานซยงเป็นชายขลาดเขลา? หรือว่าเป็นคุณหนูเซ่าที่ถูกความรักบังตาจริงๆ?”
ถานเย่าเสี่ยนถูกเขากระตุ้นจนฮึกเหิมขึ้นมา ลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว “ต่อให้หลิ่วเอ๋อร์ออกมาได้ ตระกูลเซ่าก็ไม่ยอมให้พวกเราอยู่ด้วยกัน แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า?”
“….” ลู่เซิ่งจงหมดคำพูด ทนรับบัณฑิตเหลาะแหละลังเล ห่วงหน้าพะวงหลังแบบนี้ไม่ไหว ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไร ก็หวาดกลัวปัญหายุ่งยากจนคิดไม่ตกเสียแล้ว เขาถอนใจแล้วเอ่ยว่า “หากคุณหนูเซ่าสามารถออกมาได้ เรื่องที่จะทำให้ตระกูลเซ่าตอบตกลงกลับไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร”
ถานเย่าเสี่ยนเงยหน้าขึ้นอย่างมีความหวัง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “หลี่ซยงโปรดชี้แนะข้าด้วย!”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “พาคุณหนูเซ่าแอบหนีไปด้วยกัน! ไปยังสถานที่สักแห่งที่ตระกูลเซ่าหาตัวไม่พบ พวกท่านย่อมได้อยู่ด้วยกันไปชั่วฟ้าดินสลาย”
“นี่…เช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง?” ถานเย่าเสี่ยนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วก็คล้ายจะหวั่นไหวขึ้นมาเช่นกัน เอ่ยอย่างขลาดเขินว่า “เกรงว่าหลิ่วเอ๋อร์คงไม่มีทางเห็นด้วย”
ลู่เซิ่งจงกล่าวว่า “เช่นนั้นก็หุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุกเสียก่อน เมื่อคุณหนูเซ่ากลายเป็นคนของท่าน นางย่อมยินดีไปกับท่าน ต่อให้นางไม่อยากหนีไปด้วยกัน แต่เมื่อไม้กลายเป็นเรือแล้ว ตระกูลเซ่าก็ทำได้เพียงยอมรับความจริงมิใช่หรือ? ปัญหายากลำบากทั้งหมดย่อมคลี่คลายจนสิ้น”
ถานเย่าเสี่ยนมีสีหน้าลำบากใจทันที “นั่นมิใช่สิ่งที่สุภาพชนพึงกระทำ!”
ลู่เซิ่งจงทนเจ้าคนงี่เง่าอวดดีคนนี้ไม่ไหวแล้ว หมุนตัวก้าวเท้าออกไป เตรียมจะไปสูดอากาศระงับอารมณ์ในลานเรือน
ทว่าถานเย่าเซี่ยนกลับคิดว่าเขาจะจากไปจริงๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบคนที่ให้คำแนะนำแก่เขาโดยไม่เกรงกลัวตระกูลเซ่า เขาจึงร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย รีบก้าวเข้าไปคว้าแขนลู่เซิ่งจงไว้ “หลี่ซยง! ข้าจะลองทบทวนดูอีกที”
ลู่เซิ่งจงชะงักเท้าหันกลับมา มองเขาหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง ทราบว่าเขาหวั่นไหวแล้ว จึงเอ่ยถาม “ท่านอยากฝืนความต้องการในหัวใจทำตัวเป็นสุภาพชน หรือว่าอยากครองคู่กับคุณหนูเซ่ากันล่ะ?”
“นี่…” ถานเย่าเสี่ยนละอายใจที่จะพูด สุดท้ายก็พยักหน้ารับ
ลู่เซิ่งจงอยากถามเขาเหลือเกินว่าการพยักหน้าของเขามันหมายความว่าอะไร ทว่าเมื่อลองคิดดู คนผู้นี้หน้าบาง จึงไม่สร้างความลำบากใจให้เขาอีก แกะมือของเขาออก พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดี เช่นนั้นรีบติดต่อไปหาคุณหนูเซ่าโดยเร็วที่สุด ลองถามดูว่าสถานการณ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง ดูว่าต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยนางออกมาได้ หากประสานงานกันทั้งนอกใน ไม่แน่อาจจะมีโอกาสก็ได้”
นี่สิถึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขา
เขาทราบดีว่าการทำภารกิจทางด้านนี้อันตราย แต่หนิวโหย่วเต้าต้องให้เขาทำเช่นนี้ แล้วเขาจะทำอะไรได้? หากอยากกลับไปก็ต้องจัดการภารกิจสักอย่างสองอย่างก่อนมิใช่หรือ?
แต่เขาดันแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้ทางตระกูลเซ่ารู้ตัวเสียแล้ว ยากจะรุกคืบต่อไปได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะพบช่องโหว่สักจุดที่ดูเหมือนจะใช้ลงมือได้ เขาย่อมต้องลองดูว่าจะสามารถเปิดช่องโหว่นี้ได้หรือไม่
หากว่าสามารถเปิดช่องโหว่นี้ได้ หากสามารถลักพาตัวเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไปได้ หากสามารถพาตัวเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไปถึงจังหวัดชิงซานได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงอันตรายอยู่ทางนี้อีก แล้วก็จะสามารถมอบเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เป็นคำอธิบายกับทางหนิวโหย่วเต้าได้ แล้วก็คงถึงคราวที่หนิวโหย่วเต้าจะช่วยยกฐานะของเขาในสำนักเบญจคีรีแล้ว
อันที่จริงตัวเขาเองก็ค่อนข้างเบื่อกับงานประเภทนี้แล้ว
บางครั้งเขาก็คิดกับตัวเอง แล้วก็รู้สึกโทษตัวเองด้วยเช่นกัน สมัยก่อนตอนที่อยู่ข้างกายหวังเหิง ข้างกายหวังเหิงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองจำนวนมากมาย เพื่อที่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานอย่างเขาจะสามารถยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เขาจึงได้แต่ต้องพยายามแสดงความสามารถในบางด้านให้โดดเด่น
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยอดเยี่ยม ได้รับคำชมเชยจากหวังเหิงไม่น้อย ภายหลังเมื่อมีเรื่องประเภทนี้ หวังเหิงก็เรียกใช้เขาไปทำ
อย่างเช่นกรณีไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต้าที่อำเภอชางหลู เรื่องที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองคนอื่นยังไม่มีความมั่นใจว่าจะทำสำเร็จ แต่หวังเหิงกลับไม่สนใจ บังคับให้เขาไปทำ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตกอยู่ในกำมือของหนิวโหย่วเต้า แล้วก็คิดว่าคงเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้าเล็งเห็นความสามารถในด้านนี้ของตนเช่นกัน ถึงกดดันให้ตนมาจัดการเซ่าผิงปอ
เขาเบื่อแล้วจริงๆ ต้องเสี่ยงอันตรายซ้ำไปซ้ำมา เขาเองก็นึกกลัวเช่นกัน ทราบว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงต้องเกิดเรื่องแน่
ถานเย่าเสี่ยนมองสีสันบนท้องฟ้าด้านนอก “ยังไม่ถึงเวลา ต้องรอให้ตกเย็นก่อน ข้าเองก็ต้องเตรียมการเล็กน้อยเช่นกัน”
ลู่เซิ่งจงถามทันที “เตรียมอะไร ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“เรื่องนี้ไม่ต้อง” ถานเย่าเสี่ยนส่ายหน้า รีบเดินเข้าไปในลานเรือน ไปเด็ดใบไม้จากใต้ต้นไม้มาเจ็ดแปดใบ
จากนั้นกลับมาหยิบเข็มเย็บผ้า นั่งลงหน้าโต๊ะ ถือเข็มกับใบไม้พลางคิดใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอีกว่า “หลี่ซยง เขียนอะไรดี?”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “ท่านก็บอกไปว่าอยากพบนาง ถามนางดูว่ามีวิธีออกมาหรือไม่”
ถานเย่าเสี่ยนส่ายหน้า “ประโยคนี้เมื่อก่อนเคยถามแล้ว นางไม่มีวิธีออกมา”
ลู่เซิ่งจงจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านก็บอกนางไปว่าท่านจะไปจากมณฑลเป่ยโจวแล้ว อยากพบหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย ถามนางว่าถ้าจะออกมามีปัญหาติดขัดตรงไหน จะได้หารือแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน อื้ม คร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหละ”
ถานเย่าเสี่ยนอึกอักลังเล แต่วันนี้ถูกลู่เซิ่งจงเบิกปัญญาไปหลายครั้ง ในที่สุดก็ปลุกความฮึกเหิมของชายชาตรีขึ้นมา สุดท้ายรวบรวมความกล้า ปลดปล่อยออกมา
ใบไม้ถูกวางลงบนโต๊ะ เขาโน้มตัวลงไปที่โต๊ะ เข็มในมือจิ้มบนใบไม้ซ้ำไปซ้ำมา พริบตาเดียวบนใบไม้ก็มีตัวอักษรเล็กจิ๋วปรากฏขึ้นมาทีละตัวๆ
วิธีการนี้…ลู่เซิ่งจงที่อยู่ด้านข้างมองดูด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ทอดถอนใจด้วยความชื่นชม
หลงนึกว่าการสลักอักษรลงบนใบไม้จะยุ่งยาก ตอนนี้ถึงได้พบว่าบัณฑิตทึ่มคนนี้เชี่ยวชาญนัก รวดเร็วว่องไว นี่คงผ่านการฝึกฝนมาแล้วกระมัง! ไม่เสียทีที่เป็นคนที่ร่ำเรียนหนังสือ
……
สิ่งที่ยิ่งทำให้ลู่เซิ่งจงพูดไม่ออกก็คือเขาอ่านตัวอักษรที่อยู่บนใบไม้ไม่ออกเลย คิดไม่ถึงว่าจะใช้รหัสลับด้วย นี่จะต้องทำการตกลงกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เอาไว้แล้วอย่างแน่นอน มิน่าถึงกล้าให้เขาดูได้
เขายังคิดอยู่เลยว่าเมื่อทราบสถานที่ชัดเจนแล้ว หากว่าจำเป็นล่ะก็ เขาสามารถปลอมตัวเป็นถานเย่าเสี่ยนไปติดต่อเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ได้ ตอนนี้เห็นทีหากไม่มีวิธีถอดรหัสลับ เกรงว่าคงทำเช่นนั้นไม่ได้
ในเวลานี้เขาเองก็รู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา คู่รักหนุ่มสาวคู่นี้ช่างพยายามจริงๆ
….
เมื่อเตรียมการเสร็จเรียบร้อย กระทั่งใกล้จะถึงเวลา ก่อนออกจากบ้าน ถานเย่าเสี่ยนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมา สอดใบไม้ที่สลักอักษรเรียบร้อยแล้วเข้าไปในหนังสือ
เขาถือหนังสือไว้ในมือ ใบไม้ที่สลักอักษรไว้ก็อยู่ในนั้นด้วย เอ่ยกับลู่เซิ่งจงว่า “ลู่ซยง ได้เวลาแล้ว”
ลู่เซิ่งจงกลับนั่งลงไป ยิ้มพลางกล่าวว่า “สถานที่ถ่ายทอดความลับ ข้าไม่ไปเห็นจะดีกว่า ถานซยงไปคนเดียวเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่รอท่านกลับมา”
เขาไหนเลยจะกล้าออกไปเดินข้างนอกกับถานเย่าเสี่ยนอย่างเปิดเผย
“ตกลง!” ถานเย่าเสี่ยนพยักหน้ารับ เขาเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะต้องให้คนอื่นเห็นการกระทำอันน่าอายนี้ของตนเช่นกัน
หลังจากมองส่งเขาเดินออกประตูไป ลู่เซิ่งจงชะโงกหน้าโผล่ขึ้นมาจากกำแพง มองดูทิศทางที่อีกฝ่ายมุ่งหน้าไป จากนั้นปีนข้ามออกมาจากกำแพงที่อยู่อีกฝั่งอย่างรวดเร็ว
……
ในตัวมหานครมีคลองที่ชักน้ำจากนอกเมืองเข้ามา ชาวเมืองส่วนใหญ่ที่อยู่ในมหานครต่างใช้น้ำจากที่นี่ ริมคลองมีชาวบ้านมาซักเสื้อผ้า ล้างผักผลไม้ ทั้งยังมีเด็กๆ มาเล่นน้ำด้วย สองข้างทางก็มีคนสัญจรผ่านไปมาอยู่ไม่ขาด เหนือคลองมีสะพาน เป็นทิวทัศน์งดงามใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง
บริเวณต้นน้ำของคลองที่ค่อนข้างใสสะอาดมีคูน้ำที่แยกตัวออกไป ชักน้ำตรงเข้าสู่จวนผู้ว่าการมณฑล หลังจากกระแสน้ำไหลอ้อมผ่านภายในจวนผู้ว่าการมณฑลจากทางหนึ่ง มันก็จะไหลออกไปจากอีกทางหนึ่ง
สภาพแวดล้อมละแวกนี้เงียบสงบ เป็นสถานที่ที่มีบัณฑิตมาอ่านหนังสือท่องตำราเป็นประจำ
ยามที่ถานเย่าเสี่ยนมาถึง บริเวณนี้ก็มีบัณฑิตคนอื่นที่บ้างก็ถือหนังสือเดินอ่านไปอ่านมา บ้างก็ถือหนังสือไพล่หลังไว้ บ้างก็เดินท่องหนังสือกลับไปกลับมา เขาเองก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาบัณฑิตเหล่านี้ด้วย
เพียงแต่เขามีท่าทางที่แตกต่างไปจากคนอื่นเล็กน้อย เขาชอบเดินเลียบข้างทาง เด็ดใบไม้มาโบกไปมาพลางอ่านหนังสือไปด้วย อ่านไปอ่านมาก็โยนทิ้งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เด็ดอีกใบมาโดยไม่รู้ตัว
ยามที่เดินข้ามคูน้ำเล็กๆ ของจวนผู้ว่าการมณฑลกลับไปกลับมา ใบไม้ใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ในหนังสือถูกดึงออกมาในขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ร่วงลงในคูน้ำ
แล้วก็ไม่ได้โยนทิ้งไปจนหมดในคราวเดียว หากแต่เว้นระยะไปสักพักแล้วถึงจะโยนใบไม้อีกใบที่อยู่ในหนังสือออกไป หากโยนออกไปในครั้งเดียวเกรงว่าคนที่มารอตามที่นัดแนะกันไว้จะพลาดได้
แบบนี้ก็ได้หรือ? ลู่เซิ่งจงที่แอบมองอยู่ในมุมหนึ่งแอบทอดถอนใจ เพื่อคลายความคิดถึงที่ต้องแยกห่าง หนุ่มสาวคู่หนึ่งได้ฝึกฝนความสามารถในการเป็นสายลับขึ้นมาแล้ว
…..
ภายในจวนผู้ว่าการมณฑล ด้านในสวน เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ในชุดกระโปรงยาวสีชมพูถือตำราเล่มหนึ่งไว้ในมือ เดินเล่นอยู่ริมลำธารสายน้อยภายในป่าเล็กๆ
ผู้คุ้มกันที่ซ่อนตัวอยู่ในละแวกใกล้ๆ สังเกตดูเงาร่างอรชรที่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในป่าด้านนี้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก ล้วนทราบดีว่านี่คือกิจวัตรของคุณหนูใหญ่ เว้นแต่จะเป็นวันที่ฝนตก หาไม่แล้วคุณหนูใหญ่จะมาอ่านหนังสือในป่าที่เงียบสงบแห่งนี้ในเวลานี้เป็นประจำ จึงไม่มีผู้ใดเข้าไปรบกวน
หางตาของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่ถือตำราเดินกลับไปกลับมาเหลือบมองดูเล็กน้อย เห็นใบไม้ที่ลอยมาตามลำธาร ภายในใจลอบรู้สึกยินดี ทราบดีว่าจดหมายจากชายคนรักมาแล้ว
เมื่อเห็นใบไม้ใบแรก นางก็ทราบแล้วว่าใบที่สองกำลังจะมา นางเดินไปนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ริมลำธาร
กระทั่งใบไม้ใบที่สองมาถึง นางโน้มตัวเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบขึ้นมาจากน้ำ ไม่ได้รีบร้อนอ่าน หากแต่คีบไว้ที่หว่างนิ้วเหมือนจะเล่นไปเรื่อย สมาธิจดจ่ออยู่กับบทความย่อหน้าหนึ่ง จากนั้นถึงจะค่อยๆ ลุกขึ้นมา ก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบๆ
…….
ฟ้าค่อยๆ มืดลง ถานเย่าเสี่ยนกลับมาถึงบ้าน ผลักประตูเปิดออกแล้วปิดลงอย่างรวดเร็ว รีบเดินเข้าไปในโถงรับแขก มองเห็นลู่เซิ่งจงที่นั่งคอยเขาอยู่ในโถงรับแขกพร้อมรอยยิ้ม
“เรียบร้อยแล้วหรือ?” ลู่เซิ่งจงแสร้งถามทั้งที่รู้ดี
ถานเย่าเสี่ยนเขินอายเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “น่าจะเรียบร้อยแล้ว”
ลู่เซิ่งจงถามทันที “จะได้รับการตอบกลับตอนไหน?”
ถานเย่าเสี่ยน “น่าจะต้องรอพรุ่งนี้เช้า”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยติดตลก “เห็นทีว่าพรุ่งนี้ถานซยงคงต้องออกไปอ่านหนังสือแต่เช้าตรู่อีกแล้ว”
ถานเย่าเสี่ยนมีสีหน้าเขินอาย ประสานมืออ้อนวอนเขาว่าอย่าได้พูดล้อเล่นอีกเลย
………………………………………………………………..