ตอนที่ 249 เจ้าเด็กสารเลวหนิวโหย่วเต้าคนนั้นสอดมือเข้ามาด้วยตัวเองแล้ว
ประโยคที่ว่าเข้ามาพัวพันอยู่ในความขัดแย้งแต่แรกแล้วทำให้ซางซูชิงเงียบลงไปเล็กน้อย
นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงประโยคที่หยวนกังกล่าวกับนางตอนอยู่ที่วัดหนานซาน ตัวของเต้าเหยี่ยมีความสำคัญกว่าสภาวะของเขา!
และความเป็นจริงมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พูดได้เต็มปากเลยว่าหนิวโหย่วเต้าคือผู้ที่ดึงพวกนางสองพี่น้องออกมาจากวิกฤติที่มองไม่เห็นหนทาง ให้ขึ้นมาสู่เส้นทางกว้างใหญ่ที่ทอดยาว และยามนี้ก็ยังเป็นเต้าเหยี่ยที่คานอำนาจสำนักหยกสวรรค์ไว้ ถึงทำให้พวกนางสองพี่น้องสามารถเสริมสร้างอิทธิพลและอำนาจให้แก่ตนเองได้อย่างเต็มที่
เป็นนางที่คิดหาทางรั้งตัวเต้าเหยี่ยไว้ แล้วก็กล่าวได้ว่าเป็นนางที่ดึงเต้าเหยี่ยเข้ามาพัวพันอยู่ในความขัดแย้งแต่แรก นี่ทำให้นางรู้สึกโทษตัวเองยิ่งนัก
อีกฝ่ายช่วยเหลือพวกนางสองพี่น้องมามากมายขนาดนี้แล้ว ยามนี้ยังต้องให้อีกฝ่ายไปเสี่ยงอันตรายเพื่อพวกนางต่ออีก ทำให้นางละอายใจเป็นอย่างยิ่ง
ทุกวันนางต้องไปหวีผมเกล้ามวยให้หนิวโหย่วเต้าเพื่ออันใดเล่า? มิใช่เพราะเรื่องความรู้สึกชายหญิงอันใดเลย หากแต่เป็นเพราะนางทราบว่าพวกนางสองพี่น้องติดหนี้บุญคุณอีกฝ่าย ไม่สามารถตอบแทนอันใดได้ จึงพยายามทำในสิ่งที่พอจะทำให้ได้
นางไม่เชื่อว่าเสด็จพี่และท่านอาจารย์หลานจะไม่ทราบเรื่องที่ตนไปหวีผมให้หนิวโหย่วเต้า แต่ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง ส่วนเหตุผลที่พวกเขาไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ก็เพราะพวกเขาไม่มีอะไรที่จะตอบแทน จึงให้นางที่เป็นท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ไปทำงานรับใช้เช่นนั้นเพื่อลดทอนความไม่พอใจที่อาจจะเกิดขึ้นของเต้าเหยี่มิใช่หรือ?
ซางซูชิงส่ายหน้า “ให้เขาไปเสี่ยงอันตรายเพื่อพวกเราตลอด พวกเราไม่เคยมอบสิ่งใดให้เขาเลย กลับเป็นเขาที่มอบให้พวกเรา สิ่งที่เขาต้องการล้วนหามาได้ด้วยตัวเอง แล้วพวกเราจะให้อะไรเขาได้? มีสิทธิ์อะไรไปให้เขาเสี่ยงภัยเพื่อพวกเราอีก?”
วาจานี้ทำให้ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงเงียบงันไป
จากนั้นนางเอ่ยเสริมอีกประโยค “ข้าก็ทำได้เพียงไปทำงานรับใช้หวีผมให้เขาเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้ยินดีทอดกายให้เขา เขาก็ไม่ต้องตาสตรีอัปลักษณ์อย่างข้า หากเขาต้องการสตรี ศิษย์หญิงในสามสำนักมีให้เขาเลือกได้ตามใจชอบ คนของสามสำนักย่อมไม่คัดค้าน กลับจะยินดีด้วยซ้ำ ดังนั้นระหว่างข้ากับเต้าเหยี่ยไม่มีทางที่จะมีอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ได้ พวกท่านอย่าได้คิดมากกันไปเลย”
เพียงประโยคเดียวก็เปิดโปงความคิดเล็กๆ ที่บุรุษทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน ทำให้ทั้งสองค่อนข้างกระอักกระอ่วน
“ชิงเอ๋อร์ ข้าไม่มีความคิดอื่นใด…” ซางเฉาจงสีหน้ากระดากใจ กล่าวออกมาได้ครึ่งเดียวก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรต่อไปดี
อันที่จริงเขาเองก็ยินดีที่จะได้เห็นน้องสาวตนได้ลงเอยกับหนิวโหย่วเต้า เพราะน้องสาวก็ถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้ว จะให้น้องสาวแต่งกับชายที่เข้ามาเพราะต้องการอำนาจจากตระกูลซาง เขาเองก็ไม่อยากให้น้องสาวต้องได้รับความคับข้องใจ น้องสาวมีความคิดเป็นของตัวเอง ย่อมไม่มีทางยอมออกเรือนกับบุรุษประเภทนั้นเช่นกัน
แต่จะว่าไปแล้ว น้องสาวเป็นเช่นนี้ บุรุษที่ไม่มุ่งหมายในอำนาจของตระกูลซางคนใดจะยินดีแต่งด้วยเล่า? รูปโฉมเช่นนั้นคงทำให้อีกฝ่ายตกใจจนเผ่นหนีไปแล้ว
ส่วนหนิวโหย่วเต้าไม่ว่าจะว่ากันในแง่ไหน เขาล้วนรู้สึกว่าเหมาะสมกับน้องสาว ถ้าทั้งสองลงเอยกันได้ เช่นนั้นก็นับเป็นเรื่องดีอย่างมาก
ในใจเขาหวังว่าพอเวลาผ่านไปนานเข้า หนิวโหย่วเต้าจะมองเห็นความดีภายในตัวของน้องสาว หวังว่าทั้งสองจะบ่มเพาะความรู้สึกไปตามกาลเวลา ดังนั้นจึงทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง
ทว่าภายใต้คำอธิบายเช่นนี้ จะบอกว่าตนไม่มีความเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย ไม่มีความคิดที่จะอาศัยวิธีเกี่ยวดองกันเพื่อผูกมัดหนิวโหย่วเต้าเอาไว้เลยสักนิดได้หรือ?
อีกทั้งตนมีสิทธิ์อะไรไปคาดหวังให้คนที่มีความสามารถอย่างหนิวโหย่วเต้ามาแต่งกับสตรีอัปลักษณ์คนหนึ่ง? ลองถามตัวเขาดูเถิดว่าตอนแรกนั้นแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานเพราะอะไร?
ดังนั้นเรื่องบางอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ละอายใจ แล้วก็อธิบายไม่ออกด้วยเช่นกัน
หลานรั่วถิงย่อมมีความคิดแบบนี้อยู่ด้วยเช่นกัน เขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าท่านหญิงจะรู้อยู่แต่แรกแล้ว แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงด้วยว่าจะถูกท่านหญิงเปิดโปงออกมาต่อหน้า จึงกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
สุดท้ายซางเฉาจงก็ปรับเปลี่ยนคำพูด เอ่ยไปว่า “ชิงเอ๋อร์ อย่างนั้นเจ้าย้ายกลับมาดีหรือไม่”
ซางซูชิงถอนใจเบาๆ “ข้าบริสุทธิ์ใจ ไม่กลัวว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร อยู่ทางนั้นก็จะได้ช่วยติดต่อส่งข่าวให้ทางนี้ได้สะดวก แล้วก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เสด็จพี่มอบให้แก่เขาด้วย ไยต้องทำอะไรวุ่นวายให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าท่าทีของพวกเราสองพี่น้องเปลี่ยนไปด้วย?”
ซางเฉาจงก้มหน้าเงียบงัน
หลานรั่วถิงลูบจมูกเล็กน้อย เปลี่ยนประเด็นสนทนาไปเสีย “ท่านหญิง ระยะนี้พระชายาเอาแต่ถามถึงพระองค์ พระองค์ไปเยี่ยมพระชายาสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ทางพระชายาก็มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่เข้ากับนางได้”
เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง ในอดีตเฟิ่งรั่วหนานเอาแต่ใจ ไล่ให้ซางเฉาจงไสหัวไปอยู่เสมอ หรือไม่ก็ลงไม้ลงมือกับซางเฉาจงจนใบหน้าฟกช้ำดำเขียว ไม่ยอมร่วมห้องกับซางเฉาจงอะไรทำนองนั้น ซางเฉาจงต้องคอยอดทน ตอนนี้เฟิ่งรั่วหนานทำตัวเจ้าอารมณ์ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ซางเฉาจงไม่กริ่งเกรงตระกูลเฟิ่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องคอยกังวลเรื่องท่าทีของเฟิ่งรั่วหนานอีก
ยามนี้กลับกลายเป็นตระกูลเฟิ่งที่ต้องคอยกังวลเรื่องท่าทีของซางเฉาจง ซางเฉาจงต้องการให้ตระกูลเฟิ่งกดดันให้บุตรสาวยอมเชื่อฟัง จนปัญญาที่เฟิ่งรั่วหนานหัวแข็ง ไม่ยอมโอนอ่อน
ซางซูชิงทราบดีว่าในเรือนของพี่ชายมีสาวงามมานอนเป็นเพื่อนร่วมเตียงอีกคนหนึ่งแล้ว กำลังคิดจะสั่งสอนพี่สะใภ้อยู่!
เรื่องบางอย่างนางเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ นางเองก็ทราบเช่นกัน หากไม่เป็นเพราะเผิงโย่วไจ้ผู้เป็นเจ้าสำนักหยกสวรรค์แล้วล่ะก็ พี่สะใภ้เจ้าอารมณ์คนนั้นคงถูกเสด็จพี่เขียนหนังสือหย่าให้ไปนานแล้ว
พี่สะใภ้ไม่ยอมโอนอ่อน ตาอย่างเผิงโย่วไจ้เองก็ช่วยแก้ต่างอะไรให้ไม่ได้ หลานสาวของตนทำแบบนั้น ไม่ว่าจะไปอยู่กับผู้ชายคนไหนก็ล้วนไม่ได้อาจแก้ต่างได้ทั้งสิ้น ลงไม้ลงมือกับผู้ชายของตนจนใบหน้าฟกช้ำ ซ้ำยังดื้อรั้นไม่ยอมนอนร่วมห้อง แล้วจะทำอย่างไรได้? ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ สำนักหยกสวรรค์เองก็ไม่ยอมให้พี่สะใภ้ลงไม้ลงมือกับเสด็จพี่แล้ว ท่านพี่ที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพจำเป็นต้องมีความน่าเคารพยำเกรงยามที่อยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา หากว่าทุบตีจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นมา จนทำให้เสียงานใหญ่ของสำนักหยกสวรรค์ เกรงว่าเผิงโย่วไจ้คงไม่สามารถให้คำอธิบายต่อภายในสำนักหยกสวรรค์ได้
ตอนที่เผิงโย่วไจ้มายังจังหวัดชิงซานก็เคยว่ากล่าวพี่สะใภ้ไปแล้ว แต่พี่สะใภ้ก็ไม่ฟัง ทุกครอบครัวต่างมีปัญหาของตัวเอง ต่อให้เผิงโย่วไจ้มีพลังสูงส่งแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?
ตอนนี้สองจังหวัดจำเป็นต้องมีเสด็จพี่ ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของสำนักหยกสวรรค์แล้ว เรื่องบางเรื่องเผิงโย่วไจ้จึงจำต้องทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งเหมือนกัน
นางเองก็ทราบดีว่าเผิงโย่วไจ้ลอบให้คนมาถ่ายทอดวาจาต่อเสด็จพี่ บอกว่าเจ้าจะชุบเลี้ยงสาวงามสักสองสามคนเพื่อหาความสำราญบ้างก็ได้ แต่อย่าได้ยกย่องจริงจัง ทายาทสืบสกุลรุ่นต่อไปของตระกูลซางต้องถือกำเนิดจากเฟิ่งรั่วหนาน นี่คือขีดจำกัดที่เผิงโย่วไจ้สามารถยอมรับได้!
เรื่องบางอย่างภายในบ้าน มีคนจากสำนักสวรรค์คอยสนับสนุนพี่สะใภ้อยู่ที่นี่ นางทราบดีว่าเสด็จพี่เองก็ไม่มีทางเล่นตุกติกอันใดได้
เรื่องบางเรื่องนางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะเห็นใจพี่สะใภ้ดี หรือว่าควรจะเห็นใจเสด็จพี่ดี เรื่องในครอบครัวต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ยากจะตัดสินได้ว่าใครถูกใครผิด
ซางซูชิงพยักหน้ารับเงียบๆ หันหลังเดินออกไป ไปหาเฟิ่งรั่วหนาน
ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงสบตากันพลางถอนใจ
“พวกเราต้องไปพบลิ่งหูชิวคนนั้นหรือไม่? ได้ยินว่าคนผู้นี้เส้นสายกว้างขวาง ตอนข้าอยู่ในเมืองหลวงก็เคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้างเหมือนกัน” ซางเฉาจงเอ่ยถาม
หลานรั่วถิงส่ายหน้า “แม้ว่าข่าวลือจะเป็นความจริง แต่กระหม่อมก็ไม่เชื่อหรอกพ่ะย่ะค่ะว่าจะมีคนที่ตระเวนไปทั่วหล้าเพื่อผูกมิตรสร้างสหายด้วยความบริสุทธิ์ใจ การที่ผูกสัมพันธ์ไปทั่วนั้นจะต้องมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ คนผู้นี้ซับซ้อนเกินไป พวกเราไม่มีอำนาจมากพอ เรื่องบางเรื่องควบคุมไม่ได้ การผลีผลามเข้าไปทำความรู้จักโดยไม่ทราบตื้นลึกหนาบางอาจจะไม่ใช่เรื่องดี เต้าเหยี่ยมิใช่คนเลอะเลือน สมควรจัดการอย่างไรเต้าเหยี่ยน่าจะทราบดี พวกเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งพ่ะย่ะค่ะ หากต้องการให้พวกเราได้พบหน้า เต้าเหยี่ยย่อมจะจัดการเอง ท่านอ๋องเผื่อทางถอยไว้ให้ตัวเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงพยักหน้านิดๆ
……
ฝนตกโปรยลงมา ละอองฝนพร่างพรมอย่างเงียบๆ อยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
ลิ่งหูชิวที่ทั้งร่างอวลไปด้วยกลิ่นสุรากลับมาถึงเรือนเล็กที่หนิวโหย่วเต้าจัดเตรียมไว้ให้
ประตูเปิดออก ผีเสื้อจันทราสามตัวบินเข้าไปส่องสว่างภายในห้อง ลิ่งหูชิวนั่งลงด้วยสีหน้ามีความสุข รับถ้วยชาที่หงฝูยื่นส่งให้ ดื่มเข้าไปแล้วส่งคืน เอ่ยถามสตรีทั้งสอง “สุราอาหารของที่นี่รสชาติเป็นอย่างไร?”
หงซิ่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในชีวิตนี้ไม่เคยกินอาหารที่เลิศรสเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าสุราอาหารของที่นี่จะอร่อยถึงขนาดนี้ บ่าวแทบจะกลืนลิ้นเข้าไปแล้วเจ้าค่ะ มาเที่ยวนี้ไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ แม้แต่น้องสาว…” นางมองหงฝูเล็กน้อย อดป้องปากหัวเราะคิกคักขึ้นมาไม่ได้
หงฝูเอ่ยอย่างเยือกเย็น “วันนี้บ่าวกินมากเกินไปหน่อย ท่าทางการกินอาจจะดูไม่ดีไปบ้าง”
ลิ่งหูชิวโบกมือ “ก็ไม่ง่ายที่จะได้เจอของอร่อยนี่นะ เจอของอร่อยทั้งที ชิมมากหน่อยก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ ไอ๊หยา มาเที่ยวนี้ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าหลายปีมานี้ข้าใช้ชีวิตไปเสียเปล่านะ สุราดีอาหารเลิศรสมากมาย ข้ากินจนไม่อยากจากไปแล้ว ที่แท้สุราที่สำนักหยกสวรรค์ขายก็ผลิตขึ้นจากที่นี่ หากอ้างอิงกันตามราคาท้องตลาด เกรงว่าวันนี้ข้าจะดื่มไปหลายหมื่นเหรียญทองแล้ว! ไอ๊หยา มีสมณะกลุ่มหนึ่งมาคอยปรนนิบัติ เช่นนี้สิถึงจะเรียกว่าไม่ธรรมดา จุ๊ๆ น้องชายคนนี้ของข้าช่างรู้สึกเสพสุขจริงๆ สิ่งที่พวกเราเคยกินมาในอดีตล้วนไม่อาจเทียบได้เลย!”
หงซิ่วเอ่ยยิ้มๆ “ไม่อยากไปคงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หากนายท่านรั้งอยู่ไม่ยอมไปจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าเต้าเหยี่ยคงร้อนใจแน่”
ตอนนี้หนิวโหย่วเต้ากลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับนายท่านของตนแล้ว สาวใช้อย่างพวกนางสองคนก็ต้องเปลี่ยนคำเรียกขานด้วย เรียกหนิวโหย่วเต้าว่าเต้าเหยี่ยเช่นกัน
ลิ่งหูชิวทราบว่าวาจาของนางหมายความว่าอย่างไร “หลังจากนั้นเขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องม้าอีกเลย”
หงซิ่วเอ่ยว่า “นั่นเพราะเขาไม่อยากทำลายความสุนทรีย์ของนายท่าน ร่วมสาบานกันไปแล้ว หากเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก นายท่านจะปฏิเสธได้หรือเจ้าคะ? เต้าเหยี่ยก็บอกแล้ว จะไม่ทำให้นายท่านต้องเดือดร้อน หากมีเรื่องเดือดร้อนก็ให้โยนไปให้เขาได้เลย สิ่งที่เขาหมายตาคือเส้นสายของนายท่าน นายท่านจะไม่ไปแคว้นฉีกับเขาได้หรือเจ้าคะ?”
ลิ่งหูชิวหรี่ตาลงเล็กน้อย “น้องชายคนนี้ของข้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มาเที่ยวนี้คุ้มค่าแล้ว”
หงฝูที่ยืนนวดไหล่ให้เขาอยู่ด้านหลังเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ก่อนหน้าเขาหมายตาจะเอาพวกเราสองคนให้ได้ เป็นเพราะมองอันใดออกหรือเปล่าเจ้าคะ?”
ลิ่งหูชิวส่ายหน้า “คงไม่หรอก อย่างมากก็คงมองออกแค่ว่าพวกเจ้ามิใช่สาวใช้ธรรมดา เป็นการหยั่งเชิงเสียส่วนใหญ่ เขาทราบดีว่าข้าไม่มีทางยกสตรีของตนให้เขา จึงจงใจพูดไปเรื่อย จุดประสงค์ก็เพื่อเอ่ยเรื่องร่วมสาบานในตอนหลังเท่านั้น หากข้าปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องผูกมิตรก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันแล้ว วิธีการของน้องชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”
หงซิ่วเดินไปนั่งลงด้านข้าง เอ่ยเสียงเบา “ยังไม่แน่เลยว่าตงกัวเฮ่าหรานมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในตอนนั้นหรือไม่”
ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “ตามที่สืบมา เขาน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้พบกับตงกัวเฮ่าหราน”
หงซิ่วเอ่ยว่า “ด้วยกำลังของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ต่อให้ระดมกำลังทั้งสำนักมา ก็ไม่มีทางนำของหลบหนีไปในสถานการณ์ยามนั้นได้”
ลิ่งหูชิวถอนใจ “เรื่องนี้ข้าย่อมทราบดี เพียงแต่ถังมู่และตงกัวเฮ่าหรานแห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จากโลกไปในปีเดียวกัน ซ้ำยังสูญเสียศิษย์ฝีมือดีไปมากมาย เดิมทีเรื่องราวมันก็น่าสงสัยอยู่แล้ว แล้วก็ไม่เคยได้ยินว่าในปีนั้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมีบุญคุณความแค้นอันใดกับภายนอก หากไม่สังเกตเห็นเขาแล้วสืบประวัติเขาดู พวกเราก็คงไม่สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้เช่นกัน เรื่องราวในตอนนั้นมันมีอะไรแปลกๆ อยู่จริงๆ ของสิ่งนั้นมันไปอยู่ที่ไหนกันแน่? เฮ้อ อย่างไรเสียข้าก็แค่ไหลไปตามน้ำ ข้ามิได้ร่วมสาบานกับเขาเพราะเรื่องนี้ พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว…”
ราตรีดึกดื่น จังหวัดชิงซานมีพิรุณโปรยปราย แต่ท้องฟ้าเหนือสำนักหยกสวรรค์ที่มีแสงโคมส่องกระจัดกระจายกลับเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราว
เผิงโย่วไจ้กำลังหารือกับผู้อาวุโสหลายคนอยู่ในศาลาบนเขา มีผีเสื้อจันทราหลายตัวกระพือปีกโบยบินอยู่รอบๆ ทิวทัศน์เรียกได้ว่าดูงดงาม
ศิษย์คนหนึ่งทะยานเข้ามา เดินเข้ามาในศาลา ประคองส่งจดหมายลับให้ด้วยสองมือ “จดหมายจากศิษย์พี่ไป๋ที่อยู่ทางจังหวัดชิงซานขอรับ”
หลังจากเผิงโย่วไจ้รับไปอ่าน มุมปากพลันกระตุกเล็กน้อย
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูไม่เป็นธรรมชาติของเขา เฉินถิงซิ่วเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับทางจังหวัดชิงซานหรือขอรับ?”
เผิงโย่วไจ้ส่ายหน้าเล็กน้อย “เรื่องม้าศึก เกรงว่าเจ้าเด็กสารเลวหนิวโหย่วเต้าคนนั้นคงจะสอดมือเข้ามายุ่งด้วยตัวเองแล้ว”
เฉินถิงซิ่วหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “นั่นมิใช่เรื่องดีหรือขอรับ? ปีก่อนศิษย์พี่เจ้าสำนักก็บอกเด็กคนนั้นเจ้าเล่ห์แสนกล อยากให้เขาไปลองมาจัดการดูสักหน่อยมิใช่หรือขอรับ?”
“เจ้าอ่านเอาเองเถอะ” เผิงโย่วไจ้ยื่นจดหมายลับส่งให้เขา
………………………………………………………….