ตอนที่ 273 ลูกหลานตระกูลมั่งคั่ง
หยวนกังเอ่ยว่า “แปดถังก็ไม่น้อยแล้ว ในวังมีผู้สูงศักดิ์มากขนาดไหนกัน จะกินหมดหรือ? สิ้นเปลืองไปก็น่าเสียดาย!”
ฮูเหยียนเวยโบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่สิ้นเปลืองหรอก หลังจากสิ่งนี้เข้าวังไป ขอเพียงมีจำนวนมากพอที่จะตอบสนองความต้องการของผู้สูงศักดิ์ได้ทุกเมื่อ ที่เหลือย่อมมีคนมาจัดสรรปันส่วนกันไปเอง ผู้ใดจะห้ามไม่ให้ผู้ดูแลเหล่านั้นลิ้มรสได้เล่า? ในวังมีคนปากกว้างแอบยักยอกอยู่มากมาย แค่ของกินเล่นเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งไป ไม่มีทางพูดอะไรหรอก อีกทั้งสิ่งนี้ก็เก็บไว้นานไม่ได้ ยังไงก็ดีกว่าเหลือทิ้ง”
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องพูดให้ชัดเจน หนึ่งพันเหรียญทองเป็นเพียงราคาในฉากหน้าเท่านั้น ข้าต้องแบ่งให้คนในวังที่ดูแลเรื่องนี้สองร้อยเหรียญทอง นี่เป็นเรื่องที่ข้าตกลงกับอีกฝ่ายไว้อย่างลับๆ แล้ว มิเช่นนั้นเรื่องราวคงไม่ราบรื่นขนาดนี้ แล้วก็นับว่าเป็นการเลี่ยงปัญหาด้วย วันหน้าจะได้ลดเรื่องยุ่งยากลง”
เสมียนเกาเอ่ยด้วยความสงสัย “วันละแปดถัง หนึ่งพันเหรียญทองต่อเดือน ราคามันไม่ต่างจากที่พวกเราขายในปัจจุบันมากไปหน่อยหรือขอรับ?”
ฮูเหยียนเวยเอ่ยเหยียดหยาม “ก็แค่หมื่นเหรียญทองต่อปีเท่านั้น ในวังจะขาดแคลนเงินแค่นี้หรือ?”
หยวนกังถาม “ราคาภายในและภายนอกต่างกันมากขนาดนี้ ท่านไม่กลัวว่าถ้าในวังสังเกตเห็นเข้าแล้วท่านจะเดือดร้อนหรือ?”
ฮูเหยียนเวยถลึงตาใส่ “ของที่ในวังกินกับของที่ข้างนอกกินจะเหมือนกันได้อย่างไร? สิ่งที่ส่งให้ทางวังย่อมต้องเป็นของดีที่สุด ของถูกที่ขายกันส่งๆ ตามท้องตลาดจะส่งให้ผู้สูงศักดิ์ในวังกินได้เหรอ”
หยวนกังกล่าวว่า “ข้าทำได้แค่นี้ ขายได้แต่เต้าหู้ชนิดนี้ ข้าไม่สามารถทำเต้าหู้ที่เลิศเลอไปกว่านี้ได้แล้ว”
สมองเขาไม่ได้มีไว้ใช้คิดค้นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง จะขายแค่เต้าฮวยชนิดนี้ ไม่ได้วางแผนอย่างอื่นไว้เลย
“……” ฮูเหยียนเวยพูดไม่ออก พบว่าคนผู้นี้หัวแข็งนัก
“ฮ่าๆ!” เสมียนเกาอดหัวเราะไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความคิดของฮูเหยียนเวยแล้ว
ฮูเหยียนเวยยื่นมือไปหาหยวนกัง โอบไหล่หยวนกังไว้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราส่ายไปมาพลางเอ่ยว่า “ข้าจะบอกให้นะสหาย องค์ฝ่าบาทมิใช่คนโง่ สินค้าที่ขายกันอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ในเรื่องราคาไม่สามารถปิดบังสายพระเนตรของฝ่าบาทได้ พระองค์จะต้องทราบเรื่องในไม่ช้าก็เร็วแน่นอน แต่มันก็ต้องดูว่าใครเป็นคนขาย ท่านพ่อข้าเป็นแม่ทัพบัญชาการ ไม่เคยสอดมือวุ่นวายส่งเดช เทียบกับคนที่ไม่ทำอะไรก็หาเงินหลักแสนหลักล้านได้เนืองๆ เหล่านั้นแล้ว เงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีผู้ใดว่าอะไรหรอก ฝ่าบาทก็ยิ่งไม่มีทางตรัสอันใดด้วย”
“เรื่องอื่นข้าขอไม่พูดถึง แต่เจ้าเองก็มาจากองทัพ คนบางกลุ่มร่วมมือกันเอาม้าศึกออกไปขายต่อภายนอก ซ้ำยังคิดจะฆ่าคนปิดปาก ทำเช่นนั้นได้ต้องมีความกล้าเพียงใดเล่า? นั่นสิถึงจะเป็นการฉกฉวยผลประโยชน์อย่างไม่กลัวตาย พวกเราทำการค้าอย่างชอบธรรมเปิดเผย หารายได้เล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นดูแคลน ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องข้าแน่นอน อีกอย่าง มีสิทธิ์อะไรจะมาสร้างปัญหาให้ข้า? ราคาที่ขายให้ทางวังสูงกว่าราคาที่ขายต่อภายนอกก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง อาหารที่ส่งให้ทางวังได้กินก็ต้องดีกว่าด้านนอกอยู่แล้ว ผู้ใดจะกล้าบอกว่าไม่สมเหตุสมผลเล่า? ”
“อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำเต้าหู้ที่เลิศเลออะไรด้วย ทางเจ้าน่ะ แค่ต้องส่งของที่สดใหม่ที่สุดให้ทางวัง ส่งของสดใหม่ที่เพิ่งออกจากเตาให้ ตอนผลิตก็ใส่ใจความสะอาดสักหน่อย ให้ความสนใจเป็นพิเศษ พวกเราใส่ใจให้มากขึ้น เพิ่มแรงงานให้มากขึ้น เช่นนี้ย่อมผลิตของชั้นเลิศออกมาได้ ราคาจะสูงหน่อยก็สมเหตุสมผลดี ใครจะว่าอะไรได้? หากข้าต้องการขายราคาเดียวกับในท้องตลาด แบบนั้นต่างหากที่จะดูไม่สมเหตุสมผลมากกว่าอีก อีกทั้งข้าต้องจ่ายเงินเพื่อเปิดทางสร้างสัมพันธ์ ไหนเลยจะไม่หากำไรได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งเข้าไปขายในวังให้ตัวเองขาดทุนทำไมเล่า? ความหมายข้าเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หยวนกังก็มิใช่คนโง่ พูดมาถึงขนาดนี้จะไม่เข้าใจอีกหรือ? อ้อมไปอ้อมมา พูดไปพูดมา ความจริงคือของที่ขายให้ทางวังกับภายนอกไม่ต่างกันเลย แค่เพิ่มคำพูดเข้าไปเท่านั้น บอกว่าส่งของที่ดีที่สุดให้ทางวัง!
เพียงแต่เขายังคงมองฮูเหยียนเวยด้วยสายตาแปลกพิกลเล็กน้อย พบว่าดูเหมือนคนผู้นี้จะกระตือรือร้นในการขายเต้าหู้เป็นอย่างยิ่ง ปกติแล้วแทบจะไม่เอ่ยถาม ไม่เคยสอดมือเข้ามายุ่งเลย แต่พอสอดมือเข้ามายุ่ง ก็ส่งกิจการเล็กๆ นี้เข้าสู่วังหลวงทันที ช่องทางนี้มิใช่ว่าผู้ใดก็จะสามารถมีได้
ฮูเหยียนเวยย่อมต้องกระตือรือร้นเป็นธรรมดา กำไรของเขาต้องส่งเข้ากองกลางของตระกูล ของที่เห็นกันอยู่ว่าขายดีขนาดนี้กลับได้เงินมาแค่ส่วนเดียว จึงย่อมต้องคิดหาทางเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น ย่อมหมายตาผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้าอย่างทางวังหลวงอยู่แล้ว
สำหรับคนธรรมดา วังหลวงลึกลับเป็นอย่างมาก แต่สำหรับเขาแล้ว ผู้คนมากมายภายในวังหลวงเขาล้วนรู้จักทั้งสิ้น ดำเนินการได้สะดวก ในเมื่อเป็นเงินที่ได้มาอย่างถูกต้องสุจริต ไยจะไม่เอาเล่า?
หยวนกังถาม “ท่านทำเรื่องนี้ ท่านแม่ทัพทราบหรือไม่?”
เหตุผลที่เขาไป ‘ร้องทุกข์’ กับตระกูลฮูเหยียน ก็เพราะเขาสืบทราบมาว่าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเป็นคนที่อุปนิสัยใช้ได้คนหนึ่ง มิเช่นนั้นเขาคงไม่กล้าไปหาตระกูลฮูเหยียน
ฮูเหยียนเวยถามกลับ “ทราบอะไรเล่า? ทุกคนต่างรู้ว่าเป็นของอร่อย แล้วผู้ใดจะมาพูดได้ว่าไม่อนุญาตให้คนวังกิน? คนของทางวังมาหาข้า ต้องการให้ข้าจัดส่งให้ ข้าจะไม่ทำตามได้หรือ?”
เอาล่ะ หยวนกังเข้าใจแล้ว คนผู้นี้คงจะเตรียมวาจานี้ไว้ใช้กับบิดาของตนแน่นอน คาดว่าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นได้ฟังก็คงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน!
เขาพอจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่าเหตุใดฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจึงไม่มอบอำนาจที่แท้จริงให้บุตรชายคนนี้ ให้เขาทำแต่งานจิปาถะเท่านั้น หลักๆ น่าจะเพราะทราบถึงอุปนิสัยของบุตรชายตนพอสมควร หากมอบอำนาจให้คนผู้นี้มากไป เขาจะต้องก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่นอน
เสมียนเกายิ้มพลางเอ่ยสอดเข้ามา “อันที่จริงเต้าหู้นี้ หมดต้นทุนไปกับน้ำตาลมากที่สุด หากส่งเข้าวังหลวงก็สามารถลดน้ำตาลลงได้ ในวังไม่ขาดแคลนน้ำตาลอยู่แล้วขอรับ ชอบรสเข้มรสอ่อน จะหวานหรือเค็ม อยากกินรสชาติแบบนใดก็ปรุงรสตามที่ตัวเองชอบได้ พวกเราก็สามารถประหยัดต้นทุนลงไปได้มากด้วยขอรับ!”
ในยุคนี้ น้ำตาลไม่ใช่ของราคาถูกเลยจริงๆ
ฮูเหยียนเวยตาเป็นประกาย หันไปยกนิ้วให้ “เหล่าเกา ข้ามองเจ้าไม่ผิดไปเลย สมแล้วที่แซ่เกา!”
หยวนกังเลิกคิ้วเล็กน้อย พบว่าคนประเภทเดียวกันมักจะดึงดูดเข้าด้วยกันจริงๆ ด้วย ไม่แปลกเลยที่สองคนนี้มาอยู่ด้วยกันได้
เสมียนเกาหัวเราะแหะๆ แสดงท่าทางถ่อมตัว จากนั้นเอ่ยอีกว่า “คุณชายสามขอรับ ระยะนี้มีคนจากตระกูลใหญ่ๆ จำนวนไม่น้อยเข้ามาสอบถาม ถามว่าพวกเราจัดส่งสินค้าไปให้ที่บ้านพวกเขาได้หรือไม่ เหมือนอย่างที่พวกเราจะส่งเข้าไปในวังอย่างที่คุณชายว่ามาเมื่อกี้นี้น่ะขอรับ แต่ไม่ต้องบ่อยเท่าทางวังหลวง ต้องการให้เราจัดส่งให้ในปริมาณที่แน่นอนไปที่บ้านพวกเขาทุกวันขอรับ”
ฮูเหยียนเวยหัวเราะฮ่าๆ “สหายบางส่วนของข้าก็มาคุยกับข้าเรื่องนี้เช่นกัน บอกว่าได้กินของว่างนี้ในมื้อเช้าทุกวันคงยอดเยี่ยมนัก ต้องการให้จัดส่งไปที่บ้านของพวกเขาทุกวัน ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อคุยเรื่องนี้กับพวกเจ้า ให้พวกเจ้าจัดการหน่อย”
เสมียนเกาเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “คุณชายสาม ข้ายังมีความคิดอีกอย่างขอรับ”
“ว่ามา!” อูเหยียนเวยโบกแขนเสื้อ ท่าทางร่าเริงนัก สิ่งสำคัญคือเป็นเพราะอารมณ์ดี มีทางหาเงินแล้ว
เสมียนเกาเอ่ยว่า “ข้าสังเกตดูแล้ว เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ ทว่าทำเลที่ตั้งร้านของพวกเราอยู่รอบนอกเช่นนี้ อันที่จริงคนส่วนใหญ่ไม่ยินดีที่จะเดินทางมาซื้อในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้ เนื่องจากยุ่งยากขอรับ! ในเมื่อทางเราก็สามารถบรรจุถังจัดส่งได้ ข้าจึงอยากเสนอให้ตั้งแผงขายตามเขตต่างๆ ในเมืองหลวงขอรับ ทุกวันให้คนนำออกไปขายตามสถานที่ต่างๆ ครั้งละถังสองถัง เมืองหลวงกว้างใหญ่เช่นนี้ คนมากมายขนาดนี้ เหลาสุรามากมายปานนั้น จะขายออกไปได้มากเพียงใดแค่คิดดูก็รู้แล้วขอรับ”
ฮูเหยียนเวยสองตาลุกวาว เอ่ยด้วยสีหน้าเพ้อฝัน “หากว่าทั้งเมืองหลวงล้วนได้กินเต้าหู้ของพวกเรา กำไรหนึ่งแสนเหรียญทองต่อปีย่อมไม่ใช่ปัญหาเลย!” เขาหันกลับมา อุทานว่า “เรื่องวิเศษขนาดนี้ ค้าขายอย่างสุจริต ถ้าไม่คว้าเอาไว้ก็โง่แล้ว พวกเจ้ายังรีรออะไรอีก รีบไปจัดการเข้าสิ! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าล่าช้าไปวันเดียว ต้องเสียรายได้ไปมากเท่าไร?”
ดูคล้ายเขาจะร้อนใจจนทนไม่ไหวแล้ว
หยวนกังนึกสงสัย เหตุใดถึงรู้สึกว่านิสัยของคนผู้นี้ค่อนข้างคล้ายกับหยวนฟางนะ?
เสมียนเกาเอ่ยว่า “คุณชายสาม คนงานของพวกเราในตอนนี้ แค่พอจะรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบันได้เท่านั้น หากจะส่งเข้าวังต้องรับคนงานเพิ่มขอรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการตั้งแผงขายทั่วเมืองหลวงเลยขอรับ หากเป็นแบบนั้นก็ยิ่งต้องการคนงานมากขึ้นไปอีกขอรับ”
“ก็รับสมัครคนงานมาสิ!” ท่าทางของฮูเหยียนเวยคล้ายจะสื่อว่า ‘แค่นี้ยังต้องให้ข้าสอนพวกเจ้าอีกหรือ’ “พวกเรากำลังจะหาเงินได้มากมาย ยังต้องสนใจเงินค่าจ้างคนงานเหล่านี้ด้วยหรือ?”
หยวนกังเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าจัดการได้”
หารู้ไม่ว่านี่คือเป้าหมายที่เขาเปิดร้านขายเต้าหู้ขึ้นมา คาดว่าคนของเขาก็คงจะทยอยเดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน เขาจำเป็นต้องเตรียมตัวตนที่เหมาะสมให้คนเหล่านั้น แล้วก็จำเป็นต้องมีวิธีที่เหมาะสมในการจัดวางคนเหล่านั้นเอาไว้ตามมุมต่างๆ ในเมืองหลวง เอาไว้คอยเฝ้าสังเกตสถานการณ์ สรุปแล้วคือไม่ว่าเต้าเหยี่ยจะต้องการหรือไม่ ทางเขาก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อเต้าเหยี่ยต้องการ เตรียมตัวไว้ให้มากสักหน่อยไม่มีอะไรเสียหาย
เขายังคิดอยู่เลยว่าจะหาโอกาสเหมาะสมเสนอออกมา ผู้ใดจะทราบว่าเสมียนเกากลับเสนอขึ้นมาก่อนเขา สำหรับเขาถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง!
อันที่จริงตอนแรกเขาก็ไม่คิดเช่นกันว่าร้านเต้าหู้นี้จะขายดีขนาดนี้
ฮูเหยียนเวยเอ่ยถามอีกครั้ง “สถานที่รองรับพอหรือไม่? ที่นี่ค่อนข้างห่างจากตัวเมือง ราคาไม่แพง หากสถานที่รองรับไม่พอ ข้าจะให้คนละแวกนี้ย้ายออกไป กว้านซื้อบ้านเรือนรอบข้างมาให้หมด เรื่องต้นทุนข้าสามารถไปขอหยิบยืมมาก่อนได้ รอให้ทางนี้มีเงินแล้วค่อยใช้คืน”
เสมียนเกาพยักหน้ารับ “ข้าว่าน่าจะได้ขอรับ เถ้าแก่ ท่านคิดอย่างไรขอรับ?”
หยวนกังพยักหน้ารับเงียบๆ เดี๋ยวพอคนของเขามาถึงแล้ว พวกเขาก็ต้องการที่พักเช่นกัน
“ดี เรื่องนี้ยกให้ข้าจัดการเอง พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปเจรจากับชาวบ้านรอบๆ จะพยายามกว้านซื้อทั้งหมดมาให้ได้ในสามวัน พวกเจ้าไม่ต้องกังวล” ฮูเหยียนเวยโบกมือ รับเอาเรื่องนี้ไปจัดการ เอ่ยถามอีกครั้ง “ยังมีปัญหาเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า?”
หยวนกังเอ่ยเตือน “คุณชายสาม ปีนี้มีคนเพาะปลูกถั่วเหลืองไม่มาก พวกเราผลิตกันมากขนาดนี้ ถั่วเหลืองในเมืองหลวงไม่พอแน่”
ฮูเหยียนเวยตบอกผาง “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง เดี๋ยวข้าจะให้คนไปติดต่อซื้อถั่วเหลืองมาจากที่อื่น หากว่าไม่พอจริงๆ ปีนี้ก็หาทางรับมือกันไปก่อน ปีหน้าข้าจะให้พ่อบ้านของตระกูลจัดหาคนปลูกถั่วเหลืองให้โดยเฉพาะ ต้องการเท่าไรก็ขอให้บอก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้าจ่ายเงินให้แล้วจะไม่มีผู้ใดปลูก เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลย ยังมีปัญหาอื่นอีกหรือเปล่า? ถ้ามีอะไรก็พูดมาทีเดียวเลย จะได้แก้ไขไปทีเดียว ข้าไม่มีเวลาวิ่งมาที่นี่ทุกวันหรอกนะ!”
เสมียนเกาเอ่ยเตือนอีกครั้ง “คุณชายสาม เถ้าแก่ มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องระวัง เต้าหู้ของพวกเราราคาไม่แพง ซ้ำยังทำกำไรได้มหาศาล สูตรการทำเต้าหู้นี้ต้องเก็บเป็นความลับให้ดีนะขอรับ! จะปล่อยให้ถูกคนชิงลู่ทางทำเงินของพวกเราไปไม่ได้”
“ใครจะกล้า! ไม่กลัวตายก็ลองดู!” ฮูเหยียนเวยพลันถลึงตา เอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน “เต้าหู้ของเราจัดส่งให้ทางวังหลวง ผู้ใดบ้างจะไม่ทราบว่าเต้าหู้นี้เป็นกิจการของบ้านข้า หากไอ้สารเลวตัวไหนกล้ามาแย่งกิจการข้าไปก็ลองดู มาเท่าไรข้าก็จะถล่มกลับไปเท่านั้น มาแย่งช่องทางทำมาหากินมันสมเหตุสมผลเสียที่ไหน? ตระกูลฮูเหยียนของข้าทำงานสุจริตเสมอมา ไม่เคยแทรกแซงทำตัววุ่นวาย ทำมาหากินอย่างซื่อตรงเปิดเผย ผู้ใดกล้าตัดช่องทางรายได้ของข้าก็ลองดู! วันนี้ข้าขอประกาศเอาไว้ตรงนี้เลย กิจการนี้ทั่วทั้งแคว้นฉีมีแต่ตระกูลฮูเหยียนของข้าเท่านั้นที่ทำได้ หากไอ้คนไม่กลัวตายหน้าไหนกล้าลองทำขึ้นเป็นเจ้าที่สอง คิดว่าทหารกล้าในตระกูลฮูเหยียนของข้าเป็นพวกไร้ฝีมือกระมัง?”
หยวนกังปรายตามองเขาเล็กน้อย นี่มันลูกหลานจอมอันธพาลของตระกูลมั่งคั่งแห่งเมืองหลวงชัดๆ!
……………………………………………………….