ตอนที่ 297 ไม่ทราบเจตนา
ณ จังหวัดชิงซาน ดวงตะวันเพิ่งลอยขึ้นสู่นภา แสงอรุณเหลืองอร่ามฉาบย้อมป่าเขาเป็นชั้นๆ
ซางซูชิงลงน้ำหนักเท้าให้มั่นคงเพื่อปีนขึ้นสู่ยอดเขาลูกหนึ่ง จนมาถึงด้านนอกซุ้มประตูทางเข้าสำนักเซียนสถิตที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ นางหอบหายใจเงยหน้ามองตัวอักษรที่จารึกไว้บนป้ายเหนือซุ้ม ยกแขนเสื้อซับเหงื่อบนหน้าผาก
เฟ่ยฉางหลิวได้รับรายงานก็รีบเดินออกมา มาต้อนรับด้วยตัวเอง ประสานมือคำนับ “ท่านหญิงมาด้วยเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักเฟ่ย มีข่าวใหม่จากเต้าเหยี่ยบ้างหรือไม่?”
เฟ่ยฉางหลิวตอบว่า “การเดินทางมาที่นี่เป็นเรื่องลำบากสำหรับท่านหญิง หากมีข่าวส่งมาใหม่ กระหม่อมจะไปรายงานให้ท่านหญิงทราบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เขามองเหงื่อที่ผุดซึมตามหน้าผากและใบหน้าของนาง ตำแหน่งที่ตั้งใหม่ของทั้งสามสำนักไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วค่อนข้างลาดชันอันตราย ปีนขึ้นมาค่อนข้างยาก
ซางซูชิงเอ่ยว่า “เสด็จพี่ของข้าค่อนข้างกังกลใจกับข่าวคราวของเต้าเหยี่ยที่อยู่ทางเมืองหลวงแคว้นฉี ดังนั้นจึงให้ข้ามาสอบถามดู”
ตัวนางก็กังวลกับเรื่องนี้มากเช่นกัน เมื่อวานเพิ่งได้รับข่าวมา บอกว่าทางเมืองหลวงแคว้นฉีมีคนจงใจวางอุบายขัดขาหนิวโหย่วเต้า เพิ่งไปถึงเมืองหลวงแคว้นฉีก็มีคนกลุ่มหนึ่งแห่มาหาเรื่องถึงที่พักแล้ว บอกว่านัดประลองกันที่ลานน้ำตกเหินหาวอะไรสักอย่างในวันถัดไป
พอได้รับข่าวนี้ นางนอนไม่หลับกระสับกระส่ายอยู่ทั้งคืน พอฟ้าสางจึงเดินทางมาสอบถามข่าวคราว
ทางซางเฉาจงไม่มีช่องทางติดต่อกับทางหนิวโหย่วเต้าโดยตรง ข่าวสารของสำนักหยกสวรรค์ไม่มีทางส่งตรงไปหาซางเฉาจง ล้วนส่งตรงกลับไปที่สำนักหยกสวรรค์ แต่บนภูเขาทางนี้สามารถติดต่อกับเหล่าศิษย์ของสามสำนักโดยตรงได้ ซางซูชิงย่อมมาสอบถามข่าวคราวจากคนของสามสำนักในทันที
เฟ่ยฉางหลิวพยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “กระหม่อมก็เป็นห่วงเรื่องนี้อย่างมากเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีข่าวใดๆ ส่งมา ท่านหญิงวางใจเถิด ทันทีที่ข่าวมาถึง กระหม่อมจะให้คนไปแจ้งท่านหญิงในทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่มีข่าวอย่างนั้นหรือ?” ซางซูชิงถามด้วยสีหน้าผิดหวังนิดๆ
เฟ่ยฉางหลิวส่ายหน้าเล็กน้อย “ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ แต่คำนวณจากเวลาแล้ว คิดว่าข่าวน่าจะมาถึงในเร็วๆ นี้ ท่านหญิง เข้าไปดื่มชาด้านในก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเบี่ยงตัวเปิดทางให้ ผายมือเชิญเข้าไปด้านใน
ซางซูชิงแย้มยิ้มอ่อนโยน “อย่าเลย ข้าไม่รบกวนดีกว่า ขอตัวก่อนล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เฟ่ยฉางหลิวพยักหน้า ขณะที่เพิ่งจะกวักมือเรียกคนเข้ามา เตรียมจะให้ศิษย์ไปส่งท่านหญิงลงจากเขา ด้านหลังพลันมีคนสาวเท้าเดินเข้ามา ในมือถือกระดาษมาด้วย “เรียนเจ้าสำนัก ข่าวจากทางเมืองหลวงแคว้นฉีมาถึงแล้วขอรับ”
“โอ้!” เฟ่ยฉางหลิวรับมาอ่านทันที
ร่างของซางซูชิงที่กำลังจะหันหลังพลันหยุดชะงัก นิ้วมือปาดหยดเหงื่อบนปลายคางเล็กน้อยพลางมองดูเขา
บนใบหน้าของเฟ่ยฉางหลิวค่อยๆ เผยรอยยิ้ม ยื่นกระดาษในมือออกมา “หนิวโหย่วเต้าก็คือหนิวโหย่วเต้า ฝีมือไม่ธรรมดา ปัญหาที่ดูเหมือนจะยุ่งยากถูกเขาคลี่คลายลงง่ายๆ เชิญท่านหญิงอ่านดูพ่ะย่ะค่ะ บอกให้ท่านอ๋องวางใจได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงรับกระดาษไปอ่านเนื้อหาที่ถอดความออกมาอย่างละเอียด เนื้อหาบนกระดาษบอกว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ยอมรับคำท้า แต่ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปสังหารผู้ท้าประลองต่อหน้าคนมากมาย ทำให้พวกคนที่คิดจะมาหาเรื่องที่อยู่รอบข้างตกตะลึง ไม่มีผู้ใดกล้าไปท้าหนิวโหย่วเต้าสู้อีก
“ขอบคุณเจ้าสำนักเฟ่ย เดี๋ยวข้าจะไปรายงานเสด็จพี่ของข้าก่อน” ซางซูชิงประคองกระดาษส่งคืนให้ด้วยสองมือ
เฟ่ยฉางหลิวรับไป จากนั้นกวักมือเรียกศิษย์หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง “ไปส่งท่านหญิงลงจากเขา”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง เชิญเพคะ!” ศิษย์หญิงผายมือเชิญ
เฟ่ยฉางหลิวมองตามเงาร่างอรชรของซางซูชิงที่ลงจากเขาไป ถอนหายใจอย่างนึกเสียดายเล็กน้อย “เฮ้อ! สตรีที่กิริยาและมารยาทดีพร้อมคนหนึ่ง ชาติกำเนิดเองก็ไม่ต่ำต้อย ทว่ารูปโฉมกลับน่าหวาดผวา วัยสาวสะพรั่งต้องพังทลายเพราะใบหน้าโดยแท้ บุรุษทั่วไปคนไหนจะกล้าแต่งด้วย แต่งแล้วจะเผชิญหน้ากับนางอย่างไร? เกรงว่าชาตินี้คงต้องครองตัวเป็นโสดเดียวดาย ช่างอาภัพจริงๆ!”
สำหรับใบหน้าของซางซูชิงนั้น ตอนนี้เขาเห็นจนชินแล้ว ตอนแรกที่ได้เห็น เขาเรียกได้ว่าไม่กล้ามองดูตรงๆ เลยจริงๆ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งามหรือไม่งาม หากว่าหน้าตาธรรมดาหรือว่าไม่สวยก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ใบหน้านางชวนหวาดผวานัก สตรีดีๆ คนหนึ่ง เหตุใดถึงมีปานน่ากลัวเช่นนั้นอยู่บนใบหน้าได้? ช่างน่าเสียดายจริงๆ
เส้นทางภูเขาลาดชัน ซางซูชิงเดินลงเขาไปอย่างระมัดระวัง ดวงตาฉายแววกังวลเป็นครั้งคราว
แม้จะบอกว่าอันตรายที่หนิวโหย่วเต้าเผชิญอยู่ถูกสะสางคลี่คลายไปอีกครั้ง ทว่าตอนอยู่ระหว่างทางก็เผชิญการดักสังหารจากยอดฝีมือ เพิ่งไปถึงเมืองหลวงแคว้นฉีก็มีคนวางแผนเล่นงานอีกแล้ว นางไม่เชื่อว่าเส้นทางหลังจากนี้จะราบรื่นไปตลอดรอดฝั่ง จากนี้ไปไม่รู้ว่ายังจะมีเรื่องอันตรายมากน้อยเพียงใดที่รอคอยเต้าเหยี่ยอยู่ เสี่ยงอันตรายทุกย่างก้าว คิดๆ ไปแล้วก็ทำให้นางกังวลใจขึ้นมา
….
บนเนินเขาแห่งหนึ่งที่มีป่าไม้ปกคลุม ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นสวมเสื้อฟางกันฝน สวมหมวกงอบไผ่สาน มองหน้าผาฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ
บนเชิงผาพลันปรากฏความเคลื่อนไหว เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา เหวี่ยงแขนโยนเชือกลงมาจากยอดเขา
เชือกยังคงห้อยแกว่งไกวอยู่บนหน้าผา เด็กหนุ่มสิบกว่าคนที่อยู่บนเชิงผาโรยตัวลงมาจากยอดเขาอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว แต่ละคนแตะเท้าถีบตัวไปตามหน้าผา ไต่ลงมาอย่างรวดเร็ว
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ม่านตาของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นหดตัวลง จ้องเขม็งไม่ละสายตา
ฉาหู่ที่อยู่ด้านข้างค่อยๆ หันไปมองดูท่าทีของฮูเหยียนอู๋เฮิ่น
เหล่าเด็กหนุ่มไต่โรยตัวลงมาจากยอดเขากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
บนแม่น้ำมีแพไม้อยู่หลายลำ บนแพไม้มีคนยืนอยู่หลายสิบคน ทันใดนั้นหยวนกังที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็เคาะไม้ลงบนหน้ากลองจนเกิดเสียงดังตึงทีหนึ่ง
คนหลายสิบคนที่อยู่บนแพไม้พากันกระโดดลงน้ำทันที แหวกว่ายไปทางฝั่งหน้าผาอย่างเต็มกำลัง ทางกลุ่มเด็กหนุ่มที่โรยตัวลงมาจากหน้าผารีบแกะสายรัดตรงช่วงเอวออกแล้วหันหลังวิ่งไปที่ริมแม่น้ำ กระโดดลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว ว่ายน้ำมุ่งหน้าไปทางแพไม้
เหล่าเด็กหนุ่มตัวที่ปีนขึ้นฝั่งด้วยเนื้อตัวเปียกโชกคว้าเชือกที่ห้อยอยู่ตรงหน้าผา ปีนป่ายไต่ขึ้นสู่หน้าผาอย่างรวดเร็ว
ส่วนเหล่าเด็กหนุ่มที่ว่ายมาถึงริมแพไม้ก็รีบยันแพไม้ที่ไหลไปตามกระแสน้ำเอาไว้ พยายามดันแพไม้ว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปอย่างเต็มกำลัง
บนแพไม้มีเพียงหยวนกังที่ยืนตระหง่านอยู่เพียงคนเดียว แพค่อยๆ ลอยทวนกระแสน้ำออกไปไกล
ส่วนบนหน้าผา เด็กหนุ่มกลุ่มสุดท้ายที่ไต่ขึ้นไปถึงบนเชิงผาก็รีบเก็บเชือกอย่างรวดเร็ว หลังจากเชือกที่ห้อยอยู่บนหน้าผาหายไปหมดแล้ว เงาร่างของเหล่าเด็กหนุ่มที่อยู่บนหน้าผาก็หายลับไปในอีกฝั่งหนึ่งของหน้าผาเช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าไปที่ใดแล้ว
“ฟู่ว!” ในเวลานี้ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นถึงได้พรูลมหายใจออกมา
เขาได้ยินว่าหยวนกังพาคนงานในร้านมาฝึกฝนในป่าเขา จึงอดไม่ได้ที่จะเดินทางมาดูสักหน่อย อยากเห็นว่ากำลังฝึกอะไรอยู่ ที่สำคัญคือลูกน้องที่มารายงานก็อธิบายไม่ได้เช่นกันว่าฝึกอะไรอยู่ จึงเดินทางมาดูที่นี่ ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพนี้เข้า ภาพที่เหล่าเด็กหนุ่มโรยตัวลงมาเป็นกลุ่มๆ อย่างรวดเร็วทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก เป็นภาพที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย
คนนับร้อยคน บ้างก็ขึ้นเขาบ้างก็ลงน้ำ แต่ในเวลาเพียงครู่เดียวกลับหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย สร้างความประทับให้เขาอย่างมากจริงๆ
ฉาหู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพคิดอย่างไรขอรับ?”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกล่าวว่า “ทหารกล้าปราดเปรียว! มิใช่ทหารม้าเกราะเหล็ก หากแต่ก็เป็นหน่วยรบพิเศษ! ลองคิดดูว่าหากมีคนที่คิดว่าตนตั้งฐานทัพอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ ทว่ากลับถูกยอดทหารที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันบุกเข้าจู่โจมจากด้านหลังในยามวิกาล เช่นนั้นจะต้องถูกสังหารโดยไม่ทันตั้งตัวแน่ จากนั้นก็ให้ทัพหน้าโจมตีเข้าไปอีก ข้าศึกต้องพ่ายแพ้แน่นอน!”
ฉาหู่เอ่ยว่า “แต่หากอยู่ในทุ่งหญ้า วิธีการนี้ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์นะขอรับ!”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกล่าวว่า “นี่คือหน่วยรบพิเศษ! กองกำลังที่เขาฝึกฝนขึ้นมามิใช่กองกำลังที่จะเข้าปะทะตรงๆ ในสนามรบ หากแต่เป็นหน่วยรบพิเศษ เป็นทหารที่เหมาะสำหรับแทรกซึมสอดแนม เป็นหน่วยจู่โจมขนาดเล็ก”
ฉาหู่เอ่ยว่า “ต่อให้ส่งพวกเขาเข้าในแคว้นอื่นที่ไม่ใช่ทุ่งหญ้า ทว่าในสนามรบมีผู้บำเพ็ญเพียรคอยเฝ้าระวัง การแทรกซึมและสอดแนมเช่นนี้ของพวกเขาก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์เช่นกันนะขอรับ”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาฝึกฝนเช่นนี้ไปเพื่ออะไร เพียงแต่…สามารถฝึกฝนคนกลุ่มหนึ่งให้กลายเป็นแบบนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ คนพวกนี้ไม่มีปัญหาแน่หรือ?”
ฉาหู่ตอบว่า “ก็ไม่ได้คล่องแคล่วปราดเปรียวเช่นนี้มาตั้งแต่แรกหรอกขอรับ หลายวันก่อนพวกเขาฝึกปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้อยู่ตลอด ช่วงแรกๆ ล้วนมีท่าทางเงอะงะงุ่มง่ามกันทั้งสิ้น เพิ่งจะค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาก็ตอนนี้ ส่วนคนเหล่านี้ ข้าตรวจสอบมาหมดแล้วขอรับ ฐานะตัวตนล้วนไม่มีปัญหาเลย อีกทั้งคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนงานที่คุณชายสามคัดเลือกมาด้วยตัวเองจากคนนับหมื่น ข้าเคยสอบถามคุณชายสามดูแล้ว อันไท่ผิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการเลือกคนของคุณชายสามเลยขอรับ คุณชายสามเองก็คัดเลือกตามใจชอบเช่นกัน คนที่อันไท่ผิงเข้ามาแทรกแซงจริงๆ มีเพียงชายพิการสองคนนั้นขอรับ”
“ต่อมาอันไท่ผิงได้คัดเลือกเด็กหนุ่มที่แข็งแรงสองร้อยคนจากพนักงานสามร้อยคนที่คุณชายสามคัดเลือกมา จากนั้นก็ดำเนินการฝึกฝน กลางวันครึ่งหนึ่งทำงาน อีกครึ่งหนึ่งฝึกฝน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป คาดว่าน่าจะไม่มีปัญหาขอรับ ท่านแม่ทัพลองคิดดูสิขอรับ หากว่ามีปัญหาจริงๆ อันไท่ผิงไหนเลยจะกล้าดำเนินการอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยเช่นนี้ อีกอย่าง คนเพียงเท่านี้ หากเผชิญหน้ากับฝ่าซือพิทักษ์เมืองหลวงเข้าก็ก่อความวุ่นวายอะไรไม่ได้แล้ว หากเปลี่ยนเป็นกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรสักสองร้อยคน เช่นนั้นกลับน่ากังวลมากกว่าขอรับ”
“แต่ท่านแม่ทัพขอรับ เหมือนจะมีเรื่องแปลกๆ อยู่เรื่องหนึ่ง จากที่เสมียนที่ดูแลร้านเต้าหู้แจ้งมา เหมือนคนจากเรือนเมฆาขาวผู้นั้นจะพยายามเข้ามาตีสนิทอันไท่ผิงขอรับ”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นหันไปมองพลางเอ่ยถาม “ผู้ใด?”
ฉาหู่ตอบว่า “ซูจ้าวขอรับ สตรีที่ซีย่วนต้าอ๋องเลี้ยงดูไว้ในเรือนเมฆาขาวนางนั้นขอรับ”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นถามด้วยความแปลกใจ “มีเจตนาใด?”
ฉาหู่ตอบว่า “ยังไม่ทราบขอรับ!”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกล่าวว่า “อย่าปล่อยให้เรื่องรักใคร่ชายหญิงอันใดมาทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้ พฤติกรรมของซีย่วนอ๋องผู้นั้นนับวันจะยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ ข้าไม่สะดวกจะไปพูดอะไร เจ้าทุบตีเขาจนพิการ เขาหวาดกลัวเจ้า เจ้าคอยจับตามองเอาไว้หน่อย อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นกับอันไท่ผิง”
ฉาหู่อมยิ้มเอ่ยไปว่า “หากเป็นอย่างที่ท่านแม่ทัพกล่าวมาจริงๆ ถ้าหากอันไท่ผิงถูกใจนางขึ้นมาจะทำอย่างไรขอรับ? ผู้กล้ายากจะฝ่าด่านโฉมงาม รูปโฉมของสตรีนางนั้นนับว่างดงามทีเดียว”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นหมุนตัวยกมือไพล่หลัง เดินไปตามทางเดินบนภูเขาอันขรุขระ “อันไท่ผิงสามารถสั่งสอนผลักดันให้กลายเป็นขุนศึกองอาจได้ อีกทั้งจิตใจเที่ยงธรรม ปณิธานแน่วแน่ ยากที่จะหาคนแบบนี้ได้ในยุคสมัยที่ใต้หล้าวุ่นวายเช่นนี้ นี่คือความทระนง คือความทระนงที่จำเป็นต้องมีในตัวขุนศึกเจนสนามรบ คือคนแบบที่กองทหารม้าของข้าต้องการ! พลทหารหาง่าย ยอดแม่ทัพหายาก ยังมีอนาคตอันรุ่งโรจน์สดใสรอคอยเขาอยู่ เทียบกับประชาชนและแว่นแคว้นแล้ว สิ่งใดหนักสิ่งใดเบาเล่า? จะปล่อยให้หญิงคณิกานางหนึ่งมาทำลายชื่อเสียงของเขาไม่ได้ หากว่าจำเป็นจริงๆ ก็สังหารนางทิ้งซะ!”
….
ณ ร้านเต้าหู้
หยวนกังขี่ม้ามาจากริมทะเลสาบ เลี้ยวเข้าสู่ตรอก ขณะที่เพิ่งกลับมาถึงเรือนด้านหลังแล้วกระโดดลงจากหลังม้า เสมียนเกาก็วิ่งเข้ามาหาแล้วเอ่ยว่า “เถ้าแก่ เถ้าแก่ของเรือนเมฆาขาวมาขอรับ ซ้ำยังระบุว่าต้องการพบท่านด้วย!”
“ไม่พบ!” หยวนกังปฏิเสธทันที แต่จากนั้นหัวคิ้วก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายจะนึกอะไรได้ มือที่กุมสายบังเหียนอยู่หยุดชะงัก เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ช้าก่อน!”
เสมียนเกาที่เพิ่งหันหลังเตรียมเดินออกไปหันกลับมามองเขาอีกครั้ง
หลังจากผูกสายบังเหียนไว้เรียบร้อยแล้ว หยวนกังก็หมุนตัวเดินออกมาด้านนอก ยามที่เดินผ่านข้างกายเสมียนเกาไปก็เอ่ยไปว่า “ข้าจะไปพบนางหน่อย”
“ขอรับ!” เสมียนเกาหัวเราะแหะๆ
ณ หน้าร้านที่อยู่ติดริมถนน บนหอเล็กหลังหนึ่ง ซูจ้าวลิ้มรสเต้าฮวยนุ่มละมุน มองเรือที่ล่องอยู่ที่บนผิวทะเลสาบด้านนอกหน้าต่างอย่างอารมณ์ดี
ก็สมควรจะอารมณ์ดีอยู่หรอก หนิวโหย่วเต้าเผชิญปัญหายุ่งยากอีกแล้ว ถึงเรื่องนี้จะมิใช่ฝีมือนาง แต่ความรู้สึกที่ได้เป็นผู้ชมเรื่องครื้นเครงก็ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ทั้งปลอดโปร่ง ผ่อนคลายและสบายใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีอารมณ์มากินเต้าฮวยที่นี่
………………………………………………………………………………