ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 298 หยวนกัง ซูจ้าว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 298 หยวนกัง ซูจ้าว

ตอนที่ 298 หยวนกัง ซูจ้าว

เสียงเคาะประตูแว่วดังก๊อกๆ ฉินเหมียนที่อยู่ริมหน้าต่างหันกลับไปตะโกนว่า “เข้ามา!”

หยวนกังเปิดประตูเข้าไป ในห้องมีสตรีอยู่สองนาง คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน สายตาล้วนมองมาที่ร่างเขา

หยวนกังกวาดตามองฉินเหมียน ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าซูจ้าว จ้องหน้าซูจ้าวเขม็งพลางเดินเข้าไป ยืนอยู่ตรงหน้าซูจ้าว

การถูกมองจากมุมสูงกว่าเช่นนี้ทำให้รู้สึกกดดัน ซูจ้าวจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

เนื่องจากส่วนสูงต่างกัน ซูจ้าวต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะสบตากับอีกฝ่ายได้ ทั้งสองจ้องตากัน

ดวงตาของซูจ้าวฉายแววขบขัน

ทว่าดวงตาของหยวนกังกลับคล้ายทะเลดวงดาว ไม่ปรากฏความหื่นกระหาย ไม่รู้สึกชื่นชมในความงามของสตรี มีเพียงความลึกและเรียบเฉย

เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่นี้ ซูจ้าวยิ้มไม่ค่อยออก กลิ่นอายบุรุษเพศที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่าย นางก็คล้ายจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือ ทั้งคู่อยู่ค่อนข้างห่างกันจึงไม่มีอะไร แต่ตอนนี้พอยืนใกล้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายกำยำที่แฝงความกดดันไว้ของหยวนกังหรือว่าสายตาที่เรียบเฉยคู่นั้น ตลอดจนกลิ่นอายบุรุษเพศที่ทำให้สตรีโอนอ่อนลงตามสัญชาตญาณ ซูจ้าวล้วนรับรู้ได้อย่างชัดเจนทั้งสิ้น

เมื่อยืนอยู่ใกล้กับหยวนกัง ซูจ้าวถึงจะสังเกตเห็นว่าที่แท้ชายหญิงนั้นมีความแตกต่างระหว่างเพศเด่นชัดถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางตระหนักถึงความเป็นสตรีของตนอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนเช่นนี้ ส่วนอีกฝ่ายก็คือบุรุษ เป็นชายชาตรีอย่างแท้จริง!

ความรู้สึกนี้รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ทำให้จิตใจนางว้าวุ่นเล็กน้อย ดวงตางามกระจ่างวูบไหวนิดๆ ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายต่อ

ที่นางกล้าเรียกหาหยวนกัง เพราะเดิมทีในใจมีความรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่า ยามนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าความนิ่งเฉยไร้ซึ่งความกริ่งเกรงใดๆ ของคนธรรมดาผู้นี้มีมากพอจะสะกดความรู้สึกเหนือกว่าทั้งปวงลงไปได้ ดูจากสายตาที่อีกฝ่ายมองนางก็รู้แล้ว ไม่ได้เห็นความสูงส่งของนางอยู่ในสายตาเลย

“แม่นางคือเถ้าแก่ของเรือนเมฆาขาวที่นามว่าซูจ้าวกระมัง?” หยวนกังถามอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว

การเผชิญหน้ากับบุรุษที่ให้ความรู้สึกกดดันอย่างแรงกล้าเช่นนี้ ทำให้จิตใจของซูจ้าวเสียศูนย์ไปเล็กน้อย ดวงตางามกระจ่างเบนหลบไปอย่างรวดเร็ว พยายามรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งไว้ เบี่ยงกายออกไปเล็กน้อย เลี่ยงที่จะสบตากับเขา ตอบเสียงเรียบว่า “ใช่ ข้าเอง!”

หยวนกังถาม “เถ้าแก่ซูไม่พอใจเต้าฮวยของร้านเราหรือ?”

ซูจ้าวตอบว่า “หามิได้”

หยวนกังถามต่อ “เช่นนั้นเรียกพบข้าหลายต่อหลายครั้งด้วยเหตุใด?”

ซูจ้าวสงสัยขึ้นมา เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนตนกลายเป็นนักโทษที่ถูกไต่สวนอยู่เล่า เหตุใดตนต้องกลัวเขาด้วย ด้วยเหตุนี้จึงหันมาเผชิญหน้าตรงๆ อีกครั้ง “ครั้งก่อนเถ้าแก่อันช่วยปกป้องสาวใช้ของข้า ยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเลย ข้าย่อมต้องมาแสดงความขอบคุณต่อหน้าถึงจะถูก”

หยวนกังกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”

ซูจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หาใช่เรื่องเล็กน้อยไม่ ข้าเห็นกับตาว่าเพื่อปกป้องสาวใช้ของข้าแล้ว เถ้าแก่อันถูกแส้เฆี่ยนตีไปไม่น้อย”

หยวนกังจ้องมองใบหน้าของนาง เอ่ยถามว่า “ท่านคิดจะขอบคุณอย่างไร?”

ซูจ้าวถูกเขามองจนอึดอัดไปทั้งตัว ราวกับต้องการจดจำรายละเอียดทั้งหมดบนใบหน้าตนไว้ก็ไม่ปาน ในใจรู้สึกเขินอายจนพาลโกรธขึ้นมา นึกอยากจะยื่นสองนิ้วออกไปจิ้มตาเขาให้บอดเสีย มีใครเขามองคนอื่นกันแบบนี้บ้าง?

ฉินเหมียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่อัน ท่านจ้องมองสตรีแบบนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือ?”

หยวนกังค่อยๆ หันไปมองนาง ตอบไปว่า “รูปโฉมงดงามจึงอยากมองให้มากหน่อย”

“…….” ฉินเหมียนถูกคำพูดนี้อุดปากไว้จนพูดไม่ออก พบว่าคนผู้นี้ตรงไปตรงมาจริงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยสักนิดเดียว นางยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ต่อให้รูปโฉมงดงามแค่ไหน ท่านก็ไม่อาจจ้องมองเช่นนี้ได้ สตรีคนไหนจะรับได้กันเล่า?”

หยวนกังหันไปมองทางซูจ้าวอีกครั้ง ถามไปตรงๆ “มองไม่ได้หรือ?”

“……” ซูจ้าวก็พูดไม่ออกเช่นกัน นางลากกลับเข้าประเด็นเดิม “ท่านต้องการให้ขอบคุณอย่างไร?”

หยวนกังถามกลับ “อยากขอบคุณข้าจริงๆ น่ะหรือ?”

“แน่นอน!” ซูจ้าวพยักหน้ารับ “ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้”

หยวนกังกล่าวว่า “เรือนเมฆาขาวมีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง แต่ข้ายังไม่เคยไปเปิดหูเปิดตามาก่อน”

“เอ่อ…” สีหน้าของซูจ้าวค่อนข้างซับซ้อน มองเขาหัวจรดเท้าพลางเอ่ยว่า “เถ้าแก่อันก็อยากไปเห็นความกระตือรือร้นของแม่นางในเรือนเมฆาขาวหรือ?”

หยวนกังกล่าวว่า “ความกระตือรือร้นของแม่นางจากเรือนเมฆาขาวข้าเคยเห็นมาแล้ว”

ซูจ้าวและฉินเหมียนมองหน้ากัน ฉินเหมียนเดินเข้ามาลองถามว่า “เถ้าแก่อันเคยไปเยือนเรือนเมฆาขาวของพวกเราหรือ?”

นางนึกแปลกใจ หากคนผู้นี้เคยไปเยือนเรือนเมฆาขาวมาแล้ว ตนจะไม่ทราบได้อย่างไร? หรือเป็นอดีตเมื่อนานมาแล้ว?

หยวนกังปฏิเสธ “ไม่เคย”

ฉินเหมียนแปลกใจยิ่งกว่าเดิม “ท่านไม่เคยไป แล้วเหตุใดถึงบอกว่าเคยเห็นมาแล้วเล่า?”

หยวนกังจ้องมองซูจ้าว “เถ้าแก่ซูก็เป็นคนของเรือนเมฆาขาวมิใช่หรือ? เถ้าแก่ซูมาหาข้าหลายครั้งแล้ว ความกระตือรือร้นของนาง ข้าเคยเห็นมาแล้ว”

สตรีทั้งสองกระจ่างขึ้นมาทันที ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องนี้ พอกล่าวเช่นนี้แล้วกลับกลายเป็นพวกนางที่มีจิตอกุศลเอง นึกถึงเรื่องอย่างว่าของชายหญิงไปเสียได้

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาพูดเช่นนี้ เกรงว่าสตรีทั้งสองคงโกรธแล้ว เพราะการที่บอกว่าซูจ้าวก็คือแม่นางของเรือนเมฆาขาว คล้ายกำลังจะบอกว่าซูจ้าวนั้นขายเรือนร่างเช่นเดียวกับแม่นางคนอื่นๆ ในเรือนเมฆาขาว แต่พอวาจานี้ออกมาจากปากของหยวนกัง ทั้งสองกลับไม่รู้สึกถึงเจตนาดูหมิ่นเลย

อีกอย่างคือเรื่องที่หยวนกังเคยออกหน้าปกป้องสาวใช้ของหอคณิกาจนถูกทุบตี พวกนางก็เห็นมากับตา

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ความหมายของเถ้าแก่อันคืออยากไปเยี่ยมชมเรือนเมฆาขาวของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”

หยวนกังตอบ “ใช่! ได้หรือไม่?”

ซูจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง หากเถ้าแก่อันอยากไป พวกข้าก็พร้อมต้อนรับทุกเมื่อ”

หยวนกังกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าสามารถไปได้ทุกเมื่อ แต่ข้าไม่ได้หมายถึงการไปจับจ่ายใช้เงินเช่นนั้น แค่อยากจะไปเยี่ยมชมเท่านั้น”

“คิก!” ฉินเหมียนป้องหน้าหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

ซูจ้าวก็อดกลอกตาคราหนึ่งไม่ได้เช่นกัน “ข้ารู้ว่าท่านหมายความว่าอย่างไร ไม่ได้บอกให้ท่านไปหาแม่นางเหล่านั้นเลย ข้ารู้ดีว่าท่านเพียงอยากไปเยี่ยมชม ไม่จำเป็นต้องย้ำเป็นพิเศษหรอก ที่ข้าบอกว่าพร้อมต้อนรับทุกเมื่อ ก็หมายความว่าพร้อมต้อนรับท่านไปเยี่ยมชมเรือนเมฆาขาวทุกเมื่อ”

หยวนกังมองไปในถ้วยที่อยู่บนโต๊ะพลางเอ่ยถาม “เถ้าแก่ซูกินเสร็จหรือยัง?”

ซูจ้าวเอ่ยว่า “กินเสร็จแล้วอย่างไร ยังกินไม่เสร็จแล้วอย่างไร?”

หยวนกังเบี่ยงกายให้นาง ผายมือเชิญพร้อมกล่าวว่า “กินเสร็จก็ไปได้แล้ว”

ซูจ้าวหัวเราะเฮอะๆ “เถ้าแก่อัน นี่ท่านไล่แขกอยู่หรือ?” ว่าพลางสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ นั่งลงอีกครั้ง ท่าทางคล้ายจะสื่อว่า ‘ข้าจ่ายเงินแล้ว เจ้าจะไล่ข้าอย่างนั้นหรือ’

หยวนกังเอ่ยว่า “ข้าหมายถึงไปเรือนเมฆาขาว ท่านบอกว่าไปได้ทุกเมื่อมิใช่หรือ?”

“……” ฉินเหมียนและซูจ้าวต่างพูดไม่ออกอีกครั้ง คราวนี้นับว่ามองออกอย่างแจ่มแจ้งแล้ว คุยกับคนผู้นี้ให้ยึดความหมายตามถ้อยคำที่อีกฝ่ายว่ามาก็พอ คิดมากไปรังแต่จะทำให้ตนเข้าใจผิดไปเสียเปล่า

ว่ามาอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ฉลาดมากจะเข้าใจผิดเพราะความฉลาด!

“ตอนนี้หรือ?” ซูจ้าวย้อนถาม

หยวนกังเอ่ยว่า “หากว่าท่านยังอยากนั่งต่อ เช่นนั้นพวกท่านนั่งกันไปก่อนได้ ถ้าต้องการสิ่งใดก็ไปหาเสมียนเกาได้เลย” ว่าพลางหันหลังเดินออกไป

“ช้าก่อน” ซูจ้าวลุกขึ้นยืน “ข้าพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น เชิญเถ้าแก่อัน!”

ไม่นานนักทั้งสามก็เดินผ่านประตูออกไป เดินออกจากร้านไปไม่กี่ก้าว ก็ขึ้นเรือที่จอดอยู่ริมทะเลสาบ

เรือเคลื่อนตัวออกไป ซูจ้าวที่เข้าไปในห้องโดยสารถอดหมวกม่านแพรที่คลุมหน้าออกอีกครั้ง ฉินเหมียนยกน้ำชามาให้แขกด้วยตัวเอง

หยวนกังเดินสำรวจภายในห้องโดยสาร ใช้นิ้วเคาะตรงนั้นตรงนี้ฟังเสียงเป็นระยะๆ

สายตาของซูจ้าวที่นั่งอยู่ด้านข้างมองตามเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เถ้าแก่อันกำลังดูอะไรอยู่หรือ?”

“ตกแต่งงดงาม เรือลำนี้ยอดเยี่ยมกว่าร้านของพวกเราเสียอีก” หยวนกังตอบประโยคหนึ่งก็เดินกลับมา นั่งลงด้านข้าง สายตามองไปที่ซูจ้าว เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ข้าได้ยินเรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเถ้าแก่ซูมา”

ซูจ้าวอมยิ้ม “เรื่องใดหรือ?”

หยวนกังเอ่ยว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับซีย่วนต้าอ๋อง ได้ยินว่าท่านเป็นสตรีของเขา”

ภายในห้องโดยสารพลันเงียบสงัดลง ฉินเหมียนเรียกได้ว่าพูดไม่ออกแล้วจริงๆ ข่าวลือด้านนอกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นางย่อมต้องทราบเช่นกัน เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าซูจ้าว

ซูจ้าวก้มหน้าลง ค่อยๆ ยกถ้วยชาในมือขึ้นมา เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม “เกี่ยวอะไรกับท่านด้วยหรือ?”

หยวนกังตอบว่า “เกี่ยว”

ซูจ้าวเชยตาขึ้น ไม่ค่อยเข้าใจ

หยวนกังอธิบาย “หากข่าวลือเป็นความจริง การที่พวกเรามาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ จะทำให้ซีย่วนต้าอ๋องเข้าใจผิดหรือเปล่า? ข้าไม่อยากล่วงเกินเขา”

ซูจ้าวจิบน้ำชาเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นข่าวลือ แล้วท่านเชื่อหรือ?”

หยวนกังกล่าวว่า “ก็เพราะไม่รู้ถึงได้ถามท่าน”

ซูจ้าวเอ่ยว่า “ท่านคิดมากไปแล้ว วางใจเถอะ เขาไม่เข้าใจผิดแน่”

น้ำเสียงยามที่เอ่ยประโยคนี้เรียบเฉย ดวงตาหลุบต่ำเล็กน้อย ไม่เงยหน้าขึ้นมาเป็นเวลาพักใหญ่ ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อารมณ์และความสนใจคล้ายไม่ได้ดีเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว

ด้วยเหตุนี้ภายในเรือจึงเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงไม้พายกระทบน้ำ

พลบค่ำฟ้าสลัว เรือเข้าเทียบศาลาริมน้ำ มาถึงด้านหลังเรือนเมฆาขาว

ตอนที่ทั้งสามลงจากเรือ หยวนกังหันไปมองแม่น้ำเล็กน้อย “ทุกครั้งเถ้าแก่ซูต้องเดินทางไกลขนาดนี้ เพียงเพื่อไปกินเต้าฮวยชามหนึ่งหรือ?”

ซูจ้าวถามกลับ “มิได้หรือ?”

หยวนกังกล่าวว่า “จากที่ข้ารู้มา จุดจำหน่ายที่พวกเราตั้งขึ้นมา มีอยู่จุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนเมฆาขาว เหตุใดถึงเมินที่ใกล้ไปหาที่ไกลกว่าล่ะ?”

ซูจ้าวเอ่ยว่า “ข้ารู้ แต่ท้องถนนมีคนสัญจรไปมา ถังเต้าฮวยตั้งไว้ตรงนั้น ชาวบ้านร้านตลาดตามถนนยืนมุงล้อม เอะอะวุ่นวาย เผลอๆ อาจจะมีน้ำลายกระเด็นลงไป ท่านคิดว่ามันสะอาดหรือ?”

“อย่างนี้นี่เอง” หยวนกังพยักหน้าเล็กน้อย เดินเข้ามาในลานเรือนที่เงียบสงัดทางด้านใน กวาดตามองไปรอบๆ “สถานที่งดงาม ข้าขอเดินชมได้หรือไม่?”

“เชิญตามสบาย!” ซูจ้าวผายมือเชิญ พาเดินชมด้วยตัวเอง

ด้านหน้าคือสถานที่ตั้งของหอคณิกา จุดโคมสว่างไสว โฉมงามสวมอาภรณ์บางเบาแผ่พลิ้ว ขยับปรับอิริยาบถไปสารพัด เรื่องอิงแอบออเซาะแขกผู้มาเยือนนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง บางคนถึงขั้นโอบกอดคลอเคลียอย่างไม่เขินอาย แล้วก็ยังมีแขกที่ร่ำรวยโยนเงินออกมาเป็นกำๆ ทำให้คนที่อยู่รอบข้างพากันกรูเข้ามาด้วยความยินดี กลิ่นแป้งฟุ้งอบอวล

เสียงเอะอะวุ่นวายที่ไม่ชอบฟังดังแว่วมา หยวนกังหันไปมองประตูเรือนที่ปิดสนิท จากนั้นยืนเท้าแขนกับราวกั้น มองลงไปยังจุดที่มีเสียงโห่ร้องครื้นเครงดังขึ้นมา

เหมือนเขาจะชอบที่เงียบๆ มากกว่า หลังจากชมส่วนหน้าเสร็จก็มาเดินเล่นในส่วนหลังต่อ

แต่สถานที่บางแห่งก็ไม่อนุญาตให้เขาเข้าไป เมื่อมาถึงประตูเรือนเล็กแห่งหนึ่ง ฉินเหมียนยื่นมือมากันไว้ “เถ้าแก่อัน ด้านในเป็นสถานที่ส่วนตัวสำหรับสตรี บุรุษเข้าไม่ได้”

แต่หลังจากเดินผ่านไปแล้ว กลับมีเสียงดัง “จิ๊บๆ” เซ็งแซ่วุ่นวายแว่วออกมาจากในเรือนแห่งนั้น หยวนกังปรายตามอง ก่อนจะเดินหน้าต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ซูจ้าวเดินจากไปพร้อมกับหยวนกัง ทว่าฉินเหมียนกลับหยุดเดิน หันหลังก้าวเข้าไปในเรือน กวักมือเรียกลูกน้องคนหนึ่งมาถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

ลูกน้องคนนั้นตอบว่า “ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นขอรับ จู่ๆ ปีกทองในเรือนต่างพากันแตกตื่นขึ้นมา”

ฉินเหมียนตามเขาเข้าไปตรวจสอบดู

…….

“เต้าเหยี่ย มีเต้าฮวยส่งมาจากด้านนอกเจ้าค่ะ”

เฮยหมู่ตานถือถ้วยใบหนึ่งเดินเข้ามา เอ่ยเรียกหนิวโหย่วเต้าที่นอนเอนหลังพักสายตาอยู่บนเก้าอี้

หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นเดินเข้ามา เฮยหมู่ตานเปิดฝาถ้วยออก เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ใต้ฝาจึงหยิบช้อนมาคนภายในถ้วยครู่หนึ่ง จากนั้นตักถุงผ้าใบเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา

เมื่อเปิดถุงผ้าใบออก ด้านในมีกระดาษสองแผ่น กระดาษแผ่นที่ใหญ่กว่าคือแผนที่ของเรือนเมฆาขาว

หนิวโหย่วเต้าคลี่แผนที่ออกดู ร้องจุ๊ๆ เอ่ยชม “เจ้าลิงทำงานได้เร็วจริงๆ ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็ได้แผนที่ทั้งด้านนอกด้านในของเรือนเมฆาขาวมาแล้ว”

……………………………………………………….

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน