ตอนที่ 304 เสียสละตนเพื่อผู้อื่น
รุ่งเช้า ณ วังหลวง
หลังจากว่าราชการยามเช้าเสร็จ ขุนนางสองคนเดินเล่นเป็นเพื่อนเฮ่าอวิ๋นถู ฮ่องเต้และขุนนางพูดคุยหารือ กิ่งหลิวโน้มเอนริมทะเลสาบ ระลอกคลื่นเปล่งประกายระยิบระยับ
เผยซานเหนียงยืนกุมมืออยู่ใต้ต้นหลิวต้นหนึ่ง นางเห็นว่าฝ่าบาทหารือกับขุนนางอยู่ จึงไม่ได้เข้าไปรบกวน
เฮ่าอวิ๋นถูเองก็เพียงแค่ปรายตามองนางเล็กน้อย เดินผ่านหน้าเผยซานเหนียงไป
เผยซานเหนียงมองปู้สวินผู้เป็นผู้ดูแลหลวงที่เดินตามอยู่ด้านหลัง พยักหน้าส่งสัญญาณให้เล็กน้อย
ปู้สวินชะลอฝีเท้า หยุดลงข้างกายนาง เผยซานเหนียงกระซิบกระซาบริมหูเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ปู้สวินขมวดคิ้ว จากนั้นกวักมือเรียก ด้วยเหตุนี้เผยซานเหนียงจึงติดตามอยู่ด้านข้างเขา เดินตามหลังองค์ฮ่องเต้และขุนนางที่เดินนำอยู่ด้านหน้าไป
กระทั่งฝ่าบาทหารืองานราชการกับขุนนางเสร็จเรียบร้อย ขุนนางทั้งสองขอตัวอำลาไป ปู้สวินถึงเดินเข้าไปรายงานต่อเฮ่าอวิ๋นถู จากนั้นกวักมือเรียกเผยซานเหนียงเข้ามาหา
หลังจากเผยซานเหนียงก้าวเข้ามาทำความเคารพเสร็จ ก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่ไปพบกับหนิวโหย่วเต้าเมื่อคืนนี้
หลังจากเฮ่าอวิ๋นถูฟังจบก็มองปู้สวินที่อยู่ด้านข้าง สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเคืองเลย แต่กลับให้ความรู้สึกคล้ายว่าสนุกอยู่เสียด้วยซ้ำ
ปู้สวินยิ้มตาม ค้อมกายกล่าวว่า “ช่างใจกล้าเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูแค่นหัวเราะเฮอะๆ “เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับกล้ามาข่มขู่ข้าได้!”
เผยซานเหนียงก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ปริปากใดๆ นางเพียงรายงานไปตามความจริงเท่านั้น ไม่ได้เสนอความเห็นใดๆ
“ตอบตกลงเขาไป บอกว่าข้าอนุญาต!” เฮ่าอวิ๋นถูปรายตามองพลางเอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง จากนั้นหันหลังเดินจากไป
ปู้สวินมองเผยซานเหนียงด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หันหลังเดินตามท่านผู้นั้นออกไปเช่นกัน
….
หนิวโหย่วเต้าตามเฟิงเอินไท่เข้ามาในเรือน ได้กลิ่นดินโคลนอบอวลชัดเจน มีดินโคลนกองสุมกันอยู่ในห้องหลายห้อง ดินที่กองสุมอยู่รอบกำแพงสูงจนเกือบเท่าผนังกำแพงแล้ว
ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ยืนเรียงแถวกันอยู่ใต้ชายคา ต่างมองหนิวโหย่วเต้าที่เดินตามเฟิงเอินไท่เข้ามา
โดยรวมแล้วการเก็บกวาดภายในลานเรือนยังคงหมดจดอย่างยิ่ง เฟิงเอินไท่พาหนิวโหย่วเต้าเดินไปที่ริมบ่อน้ำ ชี้ลงไปแล้วกล่าวว่า “ทางเข้าอยู่ด้านใน”
หนิวโหย่วเต้ายื่นหัวมองลงไป เห็นว่าน้ำในบ่อขุ่นขลั่ก บนผนังบ่อมีโพรงรูหนึ่ง
เฟิงเอินไท่นำลงไปก่อน มุดเข้าไปในโพรง หนิวโหย่วเต้าตามลงไป เฮยหมู่ตานเฝ้าอยู่นอกบ่อ
ปากบ่อกว้างพอให้มุดเข้าไปได้คนเดียว ระยะความกว้างของเส้นทางภายในโพรงเองก็เหมือนกัน พอให้ผ่านเข้าไปได้คนเดียว ค่อนข้างชื้นแฉะด้วย
เฟิงเอินไท่ปล่อยผีเสื้อจันทราออกมา นำทางอยู่ด้านหน้า สุดท้ายก็มาหยุดที่ปลายอุโมงค์ที่ห่างออกมาหนึ่งร้อยจั้ง ปลายทางกว้างขึ้นมาเล็กน้อย พอให้ยืนกันได้สองถึงสามคน
หลังจากหนิวโหย่วเต้าตามมาถึง เฟิงเอินไท่ชี้ขึ้นไปด้านบน หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองขึ้นไป มองเห็นแผ่นศิลาแผ่นหนึ่งปิดอยู่เหนือศีรษะ
“ด้านบนคือห้องเก็บของที่ใช้เก็บข้าวของจิปาถะของบ้านหลังนั้น เพื่อที่จะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่ได้เจาะทะลุปลายทางเอาไว้ รอให้ถึงเวลาที่น้องหนิวต้องการ ก็สามารถเจาะทะลุขึ้นไปได้ง่ายๆ” เฟิงเอินไท่เอ่ยอธิบาย
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญถึงเส้นทางใต้ดินอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาเองก็นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณตำแหน่งของเส้นทางใต้ดิน เมื่อครุ่นคิดดูเล็กน้อยก็พอจะวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตนอยู่ได้คร่าวๆ แล้ว ดูแล้วน่าจะถูกต้องตามที่อีกฝ่ายกล่าวมา จึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ลำบากท่านแล้ว กลับกันเถอะ”
ระหว่างที่เดินกลับ เฟิงเอินไท่แสดงความรู้สึกผิด “เส้นทางเข้าออกอุโมงค์แคบไปหน่อย เพราะตอนที่ขุดเจาะไม่กล้าทำให้เกิดเสียงดัง ก็เลยต้องระวังเวลาเจาะ ทำให้ขุดได้ค่อนข้างช้า น้องหนิวอยากให้เสร็จสิ้นก่อนเที่ยง จึงได้แต่ต้องทำหยาบๆ เช่นนี้ก่อน”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร ก็แค่อุโมงค์ที่เอาไว้ใช้งานชั่วคราวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องดีมากก็ได้”
ทั้งสองออกมาจากอุโมงค์ ทะยานขึ้นมาจากบ่อน้ำ หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับเฟิงเอินไท่ต่อว่า “พี่ใหญ่ พวกท่านไปเถอะ เก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วรีบจากไปให้เร็วที่สุด”
เฟิงเอินไท่มองเขาด้วยความตะลึง สีหน้าซับซ้อนขึ้นมา นี่เท่ากับว่าอีกฝ่ายกำลังจะเสียสละตัวเองเพื่อแบกรับภาระแทนสำนักหยกสวรรค์!
เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี สุดท้ายประสานมือค้อมคำนับ “คำสั่งสำนักยากจะขัดขืนได้จริงๆ น้องหนิว ครั้งนี้นับว่าพี่ใหญ่ผิดต่อเจ้า!”
เขายังไม่รู้เรื่องที่หนิวโหย่วเต้าขอร้องให้เผยซานเหนียงไปช่วยเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้ยอมเมตตาละเว้น
ถึงตอนนี้ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่ทำงานขุดเจาะอุโมงค์ก็พอจะทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พอเป็นเช่นนี้ก็มีคนทยอยเข้ามาประสานมือค้อมคำนับหนิวโหย่วเต้า สุดท้ายศิษย์สำนักหยกสวรรค์ทั้งหมดล้วนเข้ามาค้อมคำนับเขา
หนิวโหย่วเต้ายื่นสองมือไปประคองเฟิงเอินไท่ขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้ว หากว่าครานี้ข้ารอดชีวิตไปได้ พี่ก็อย่าลืมตอบแทนน้ำใจก็พอ เก็บของแล้วออกเดินทางเถอะ” เขาไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความเช่นกัน หันหลังเดินนำเฮยหมู่ตานออกไป
เฟิงเอินไท่มองส่งเขาจากไป จากนั้นมองไปที่เหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่ยืนเรียงแถวอยู่ใต้ชายคา ถอนใจออกมาเบาๆ
….
พอกลับมาถึงเรือนของตน หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองดวงตะวันที่ใกล้จะลอยขึ้นไปกลางนภาแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววของเผยซานเหนียงว่าจะมา จิตใจค่อนข้างหนักอึ้ง
พอเดินเข้ามาถึงห้องโถงเขาก็หยุดเท้าแล้วหันหลังกลับ เอ่ยกับเฮยหมู่ตานว่า “ไปเก็บของเดี๋ยวนี้ เรียกกงซุนปู้กับคนของสามสำนักให้ออกไปพร้อมกันด้วย”
เฮยหมู่ตานเอ่ยอย่างร้อนใจ “เต้าเหยี่ย ข้ากับต้วนหู่จะอยู่กับท่านเจ้าค่ะ! ข้างกายท่านจำเป็นต้องมีผู้ช่วยอยู่รับใช้สักคนสองคนนะเจ้าคะ!”
หากตัดปัจจัยในด้านอื่นๆ ออกไป นางไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหนิวโหย่วเต้าจริงๆ เมื่อมีหนิวโหย่วเต้าอยู่ พวกนางจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักหรือไม่ไม่สำคัญ แต่ถ้าหากว่าไม่มีหนิวโหย่วเต้าแล้ว พวกนางก็มีอาจจะต้องกลับสู่สภาพเดิม กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่ไร้ที่พึ่งพิงอีกครั้ง
สามสำนักยังยากจะเอาตัวรอดได้ แล้วจะรับคนนอกอย่างพวกนางไว้หรือ? สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่ให้ค่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างพวกนางเช่นกัน แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องปล่อยให้ข้างกายซางเฉาจงมีคนนอกอยู่ด้วย พวกนางไม่ใช่หนิวโหย่วเต้า ซางเฉาจงไม่มีทางยอมขัดแย้งกับสำนักหยกสวรรค์เพื่อพวกนางแน่นอน
ตอนที่เรื่องราวยังมาไม่ถึงจุดนี้ พวกนางอาจจะยังรู้สึกทะนงตนอยู่ แต่พอได้เจอวิกฤตความเป็นความตายอย่างแท้จริง พวกนางถึงตระหนักขึ้นมาในทันทีว่าอันที่จริงตนเองอยู่ห่างจากจุดที่ต้องกลับไปยืนเฝ้าหน้าโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ คอยอ้อนวอนขอร้องคนอื่นเหมือนในอดีตเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
ปัญหาที่สำคัญกว่านั้นคือ ตอนนี้คนส่วนใหญ่ล้วนทราบแล้วว่าพวกนางคือลูกน้องของหนิวโหย่วเต้า ซึ่งรวมไปถึงศัตรูของหนิวโหย่วเต้าด้วย หากกลับไปอยู่ในจุดเดิมจริงๆ เกรงว่าอาจจะไม่มีอิสระเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว เส้นทางบางเส้น พอเลือกเดินขึ้นไปแล้ว มันก็ยากจะถอนตัวกลับได้อีก
ถึงแม้หนิวโหย่วเต้าดูเหมือนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเช่นกัน ทว่าชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างเขากลับยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก สามารถใช้เป็นแบบอย่างได้ ทว่าความจริงบางอย่างจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ความสามารถในการรับมือเวลาพบเจอปัญหาของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากจริงๆ เรื่องราวหลายๆ เรื่องดูเหมือนจะไม่มีอะไรซับซ้อน พูดอธิบายปากเปล่าก็เป็นเรื่องง่ายๆ แต่พอถึงเวลาต้องลงมือแก้ไขปัญหาจริงๆ ระหว่างคนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ซึ่งนี่ก็จะเป็นสิ่งที่กำหนดชะตาชีวิตของคนคนหนึ่ง!
กระทั่งจะถ่วงดุลความสัมพันธ์ของซางเฉาจง สำนักหยกสวรรค์และอีกสามสำนักในจังหวัดชิงซานเอาไว้ พวกนางก็ยังทำไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นๆ เลย
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือนด้วยแววตาเย็นชา “ตอนนี้ข้าไม่ได้พูดคุยกับเจ้าตามหลักเหตุผลอยู่ แต่กำลังสั่งให้เจ้าไปจัดการ!”
เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ท่านขอให้เผยซานเหนียงไปแจ้งต่อเฮ่าอวิ๋นถูแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ? รออีกสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ รอให้เผยซานเหนียงมา หากว่าเผยซานเหนียงไม่มาก่อนฟ้ามืด พวกเราค่อยหนีก็ยังไม่สายนะเจ้าคะ!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเฮ่าอวิ๋นถูจะไยดีความเป็นความตายของข้าหรือ? จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นฉีที่ไม่เคยพบปะหรือรู้จักกันมาก่อนก็ลงมือกับพวกเราอย่างกะทันหัน ทำเอาตกตะลึงมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักนิด พวกเราเคยพลาดท่าติดกับเฮ่าอวิ๋นถูโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวมาครั้งหนึ่งแล้ว หากไม่รู้จักจดจำเป็นบทเรียนอีก นั่นต่างหากถึงจะเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง! คนที่ไม่ไยดีความเป็นความตายของข้า มองดูข้าด้วยความดูแคลน คนที่เอ่ยเพียงประโยคเดียวก็สามารถมอบความตายให้ข้าได้ เจ้าคิดว่าเขาจะทนรับการข่มขู่จากข้าได้หรือ? ทันทีที่ข้าไม่เหลือประโยชน์ให้ใช้งาน เขาก็ไม่แน่ว่าจะปล่อยข้าไป!”
เฮยหมู่ตานตะลึงงัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดเต้าเหยี่ยยังต้องพบเผยซานเหนียงล่ะเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่ว่าจะทางไหนก็เป็นทางตันทั้งสิ้น ในตอนนี้ยังไม่รู้จักเฮ่าอวิ๋นถูดีพอ ข้าจึงทำได้เพียงลองพยายามอย่างเต็มที่ดูก่อน แล้วก็นับเป็นการโอบอุ้มความหวังเสี้ยวเล็กๆ เอาไว้ด้วย แต่ไม่อาจนำความหวังทั้งหมดไปทุ่มไว้ที่ตัวเฮ่าอวิ๋นถูได้ จำเป็นต้องเตรียมการไว้สองทาง! หากว่าเขายอมเมตตาปล่อยข้าไปจริงๆ เช่นนั้นย่อมดีที่สุด แต่หากว่าไม่ยอมปล่อยข้าไป สุดท้ายข้ากับเขาก็ได้แต่ต้องเป็นศัตรูคู่แค้นกันเท่านั้น! ”
พอกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยื่นมือไปเชยคางนาง เอ่ยหยอกว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก ครานี้หากรอดกลับไปยังจังหวัดชิงซานอย่างปลอดภัยได้ ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้า!”
“เต้าเหยี่ย…”
เฮยหมู่ตานเพิ่งจะอ้าปากพูด หนิวโหย่วเต้าก็ยื่นนิ้วออกมากดริมฝีปากของนางไว้ มือข้างหนึ่งโอบไหล่นาง หมุนตัวนางหันไปทางนอกประตู ร่างกายแทบจะแนบชิดติดแผ่นหลังของนาง เอ่ยกระซิบริมหูนางว่า “ที่ปกป้องพวกเจ้า เพราะหลังจากนี้ยังมีงานให้พวกเจ้าไปจัดการอยู่ เชื่อฟังแต่โดยดีเสีย อย่ายั่วโมโหข้า ไปซะ อย่าหันกลับมาอีก! ไม่มีข้าอยู่ด้วยแล้ว จะไปถึงทะเลฝั่งตะวันตกได้หรือไม่ อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ไปแจ้งเฟิงเอินไท่ซะ อย่ามัวโอ้เอ้เสียเวลาอีก ไป!”
ฝ่ามือเขาตบไปที่ก้นของนางทีหนึ่ง ผลักนางออกไปเบาๆ
เฮยหมู่ตานกัดริมฝีปากเงียบงัน ก้าวเดินออกจากประตูไปอย่างยากลำบาก
ยามที่เรียกรวมตัวคนอื่นๆ ให้อพยพไปด้วยกัน นางก็บังเอิญพบกับเฟิงเอินไท่ที่มากล่าวอำลาที่นอกเรือนพอดี ลิ่งหูชิวเองก็ยกมือไพล่หลังเดินตามมาเช่นกัน
พอเห็นพวกเฮยหมู่ตาน ทางเขาย่อมสอบถามว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อทราบว่าพวกเฮยหมู่ตานก็จะหนีเช่นกัน เขาพลันตกตะลึง!
“เฟิงเหยี่ย เต้าเหยี่ยบอกให้พวกเรารีบออกเดินทางทันทีเจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานยื่นมือไปขวางเฟิงเอินไท่ที่ต้องการเข้าไปสอบถามให้ชัดเจนเอาไว้
สุดท้าย เหลือเพียงลิ่งหูชิวที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามาในเรือนของหนิวโหย่วเต้าด้วยความเร่งร้อน พอเห็นหนิวโหย่วเต้านั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนฝั่งเจ้าถึงไปกันหมดเลยเล่า? เฮ่าอวิ๋นถูไม่ตอบตกลงหรือ?”
“เปล่า ยังไม่มีข่าวมาจากเผยซานเหนียง”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงให้พวกเขาหนีไปล่ะ?”
จะไม่ให้เขากังวลก็ไม่ได้ หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เขาไม่มีทางร่วมตายไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต้า เขาย่อมต้องหนีเอาตัวรอดเช่นกัน น้องชายร่วมสาบานที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ไม่เอาแล้วก็ได้
หนิวโหย่วเต้าหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมารินชาให้เขา กล่าวไปว่า “แค่ให้พวกเขานำหน้าไปก่อนเท่านั้น ไม่ได้ให้พวกเขาหนีไป ทุกคนจะมาติดอยู่ที่นี่กันหมดไม่ได้ ให้พวกเขาออกไปจากที่นี่ก่อน เพราะข้าเตรียมการในด้านอื่นไว้ จะได้รับมือได้ทันท่วงทีหากเกิดอะไรขึ้น”
“น้องหนิว ข้าว่าเจ้าอย่ามาหลอกข้าจะดีกว่า!”
“พี่รอง ดูท่านพูดเข้าสิ เห็นข้าหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร? ท่านคิดว่าข้าเป็นคนมีคุณธรรมยิ่งใหญ่จนสามารถเสียสละตนเพื่อผู้อื่นได้หรือ?”
พอได้ฟังคำพูดนี้ ลิ่งหูชิวคิดๆ ดูก็พบว่าจริงดั่งว่า จึงเบาใจลงเล็กน้อย ค่อยๆ นั่งลงด้านข้าง ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มช้าๆ แต่ยังคงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่
“พี่รอง ท่านดูสิ ตอนนี้ข้างกายข้าไม่มีคนอยู่รับใช้เลยสักคน ทว่าข้างกายท่านกลับมีสตรีอยู่สองนาง มิสู้แบ่งหงซิ่วหรือหงฝูมาให้ข้าสักคนเป็นอย่างไร?”
“เจ้าคิดเหลวไหลกับพวกนางให้น้อยๆ หน่อยเถอะ โบราณว่าภรรยาสหายไม่อาจล่วงเกินได้ หรือเจ้าไม่รู้? ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางเป็นสตรีของพี่ชายเจ้านะ!”
“ดูท่านพูดเข้าสิ เห็นข้าเป็นคนประเภทนั้นหรือ?”
“ฮ่าๆ เจ้าสนใจพวกนางน้อยเสียเมื่อไรเล่า? ระหว่างทางอยากจะให้พวกนางไปหลับนอนเป็นเพื่อนเจ้าอยู่กี่ครั้ง เจ้าลองนับเอาเองเถิด”
“ถึงขนาดนี้แล้ว ข้ายังจะคิดเหลวไหลอะไรได้อีก เพียงอยากได้ผู้ช่วยสักคนเท่านั้น”
“จะยกให้เจ้าสักคนก็ได้…ไม่สิ ไม่ใช่ยกให้เจ้า แต่ให้เป็นผู้ช่วยเจ้าชั่วคราว ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะ อย่าได้ทำอะไรรุ่มร่าม มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า!”
……………………………………………………………..