ตอนที่ 338 แลกตัวประกัน
ปากพร่ำบ่นก่นด่า มือก็เร่งจัดการตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นหันกลับมาไล่ตะเพิดหนิวโหย่วเต้าออกไป ด้วยต้องการจะเปลี่ยนเสื้อ
ภายในลานเรือน สวี่เหล่าลิ่วและชายชราเฝ้าประตูที่คอยกวาดหน้าประตูสวนไม้เลื้อยอยู่เป็นประจำมาถึงแล้ว ชายชราคนนั้นก็คือลุงเฉิน
หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่มองซ้ายทีขวาที
ไม่นานนัก ก่วนฟางอี๋ที่เกล้าผมเป็นมวยสูง แต่งกายหรูหรางดงามก็เปิดประตู เดินบิดเอวอ้อนแอ้นออกมา บุคลิกยวนใจคน
หนิวโหย่วเต้าขวางบันไดไม่ให้นางลง “ข้าจะไปดูกับเจ้าด้วย”
“ไม่จำเป็น เจ้าไปมีแต่จะกลายเป็นตัวถ่วง!” ก่วนฟางอี๋โบกแขนเสื้อดันเขาออกไป
ตัวถ่วงหรือ? หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก ตนหวังดีคิดจะไปช่วย แต่กลับกลายเป็นตัวถ่วงอย่างนั้นหรือ?
ก่วนฟางอี๋เดินไปหาสวี่เหล่าลิ่ว เอ่ยสั่งการอีกประโยค “ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าต้องดูแลเขาให้ดี อย่าปล่อยให้คนฉวยโอกาสได้”
“ขอรับ!” สวี่เหล่าลิ่วตอบรับ
ลุงเฉินที่ผมขาวโพลนหันหลังเดินตามก่วนฟางอี๋ออกไป
รถม้าจอดรออยู่หน้าประตูสวน ลุงเฉินยื่นมือออกไปประคองก่วนฟางอี๋ขึ้นรถม้า จากนั้นตนก็เข้าประจำตำแหน่งสารถี
หนิวโหย่วเต้าเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าต่างรถม้า เลิกม่านแล้วมองเข้าไปในด้านใน พบว่าภายในห้องโดยสารว่างเปล่า
ก่วนฟางอี๋ที่นั่งอยู่ในรถม้าโบกพักกลมอย่างเชื่องช้า เปล่าลมใส่หน้าเขาดัง “ฟู่” ก่อนจะเอ่ยไปว่า “ตอนกลางวันอยู่ในสายตาเจ้า ตอนกลางคืนก็อยู่ในสายตาเจ้า ไม่ว่าไปไหนก็ล้วนอยู่ในสายตาเจ้าทั้งสิ้น ยังมองไม่พออีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเคยชินกับคำพูดเลื่อนเปื้อนของนางแล้ว จึงไม่ได้สนใจอะไร เพียงเอ่ยถามว่า “เจ้าไปคนเดียวหรือ?”
ก่วนฟางอี๋พยักเพยิดไปด้านหน้า “ลุงเฉินไม่ใช่คนหรือไร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แค่พวกเจ้าสองคนหรือ? ในเมื่อเจ้าเดาออกว่าเป็นกับดักของอีกฝ่าย เช่นนั้นก็ไม่ควรประมาทสิ!”
“ข้ารู้ดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้หนุ่มน้อยหน้าขาวอย่างเจ้ามาเตือนหรอก!” ก่วนฟางอี๋ใช้พัดกลมตีแก้มเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็หันไปตะโกนบอก “ลุงเฉิน!”
เพียะ! ลุงเฉินสะบัดแส้ทีหนึ่ง ล้อรถม้าหมุนเคลื่อนออกไป
หนุ่มน้อยหน้าขาวหรือ? หนิวโหย่วเต้ายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สังเกตเห็นว่าตนดูค่อนข้างคล้ายพวกเกาะสตรีกินแล้ว เขาหันไปถามสวี่เหล่าลิ่ว “นายหญิงของพวกเจ้าไปกับลุงเฉินแค่สองคนจริงๆ น่ะหรือ?”
เขาไม่ค่อยเชื่อนัก
สวี่เหล่าลิ่วตอบว่า “นายท่านโปรดวางใจ หากเป็นไปตามสถานการณ์ทั่วไปก็ไม่มีทางเกิดปัญหาขึ้น ขอเพียงมิใช่คนที่ไม่สามารถล่วงเกินได้ก็พอ คนที่สามารถขัดขวางนายหญิงและลุงเฉินได้มีอยู่ไม่มากขอรับ หากขนกันไปหลายคนกลับจะเป็นตัวถ่วงให้นายหญิงและลุงเฉินแทน!”
วาจานี้ทำให้หนิวโหย่วเต้าตกใจพอสมควรเลย หรือว่าก่วนฟางอี๋จะเป็นพวกคมในฝัก เก็บซ่อนความสามารถได้ลึกล้ำ? มิเช่นนั้นสวี่เหล่าลิ่วจะกล้าพูดจาโอหังเช่นนี้หรือ?
จนใจที่สวี่เหล่าลิ่วตอบเพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะถามอย่างไรก็ไม่ยอมตอบอีก…
….
นอกเมือง ริมแม่น้ำที่มีพงหญ้ารกชัน เรือใหญ่ลำหนึ่งจอดเทียบอยู่
รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามา ไม่มีเส้นทางให้ไปต่อแล้ว ไม่อาจเข้าใกล้มากไปกว่านี้ไป ทำได้เพียงจอดทิ้งไว้ไกลๆ
ลุงเฉินลงจากรถม้าแล้วม้วนม่านประตูขึ้น ยื่นมือไปประคองก่วนฟางอี๋ที่มุดออกมา
ก่วนฟางอี๋โบกพัดกลมในมืออย่างเชื่องช้า มองพิจารณาเรือที่จอดเทียบอยู่ริมแม่น้ำลำนั้น ลุงเฉินก็มองสำรวจรอบข้างด้วยแววตาเย็นชาเช่นกัน
ก่วนฟางอี๋โบกพัดในมือเล็กน้อย พงหญ้าที่อยู่ด้านหน้าพลันเอนล้มเป็นทาง กลายเป็นทางโล่งเตียนเดินสะดวก นางโบกพัดพลางเดินหน้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ลมหอบหนึ่งพัดมา ต้นหญ้าพริ้วไหวดั่งเกลียวคลื่น ขับเน้นเสริมส่งความงามเย้ายวนของสตรีที่อยู่เบื้องหน้า…
….
“ติ๊ง…ติงติง…”
จู่ๆ ก็มีเสียงพิณเลือนรางแว่วเข้ามา หนิวโหย่วเต้าที่นอนเฉื่อยอยู่บนเก้าอี้เอนหลังลืมตาขึ้น เอ่ยถามออกไป “ผู้ใดกำลังบรรเลงพิณอยู่”
สวนไม้เลื้อยกว้างใหญ่ขนาดนี้ยังได้ยินเสียงพิณนี้ได้ ไม่มีทางแว่วมาจากด้านนอกแน่นอน
สวี่เหล่าลิ่วโบกมือให้ลูกน้องที่เฝ้าหน้าประตู มีคนผู้หนึ่งออกไปสืบดูทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่ไปตรวจสอบย้อนกลับมารายงานว่า “เสียงพิณแว่วมาจากในเรือนของนายท่านลิ่งหูขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ลุกขึ้นมาแล้วเดินเยื้องย่างออกจากเรือนฝั่งนี้ไปช้าๆ มุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงพิณ
เสียงพิณนี้กลับเตือนสติเขาว่าสมควรไปสอบถามทางหงซิ่วหงฝูได้แล้วว่าสถานการณ์ทางฝั่งลิ่งหูชิวเป็นอย่างไรบ้าง
สวี่เหล่าลิ่วพาลูกน้องอีกสี่คนตามหลังเขาไป…
….
บนเรือ ชายฉกรรจ์สวมชุดงามหรูหราคนหนึ่งยืนยกมือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่างห้องโดยสาร มองก่วนฟางอี๋และลุงเฉินที่เดินเข้ามาด้วยกัน หันไปถามเล็กน้อย “พวกเขามาแค่สองคนหรือ?”
ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ตอบว่า “มีแค่พวกเขาสองคนขอรับ สายสืบรอบข้างไม่พบเห็นคนอื่นอีก”
ชายชุดหรูหราพึมพำ “สตรีผู้นี้ช่างใจกล้าเหลือเกิน”
เขาหันหลังเดินออกไป ออกมาจากห้องโดยสาร ทอดมองทั้งสองคนที่เดินเข้ามาจากมุมสูง
ก่วนฟางอี๋และลุงเฉินหยุดอยู่ที่ด้านล่าง ทางลุงเฉินคอยระแวดระวังรอบข้าง ส่วนก่วนฟางอี๋มองขึ้นไปแล้วเอ่ยถาม “หงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยอยู่ที่นี่แล้ว มาสะสางปัญหาด้วยความจริงใจ เชิญเจ้าของเรื่องออกมาตอบด้วยเถิด!”
ชายชุดหรูหราเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคือผู้ซื้อ หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว!”
ก่วนฟางอี๋ร้องโอ้ ถามไปว่า “ขอเสียมารยาทเรียนถามว่าท่านมีชื่อเสียงนามใด?”
ชายชุดหรูหราตอบว่า “เรื่องนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือผู้ใดจะรับผิดชอบความเสียหายของข้า?” เขาส่งสัญญาณให้คนบนเรือเล็กน้อย คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนเรือ มีคนสิบกว่าคนเหาะออกมารอบข้าง ปิดล้อมก่วนฟางอี๋และลุงเฉินไว้
ก่วนฟางอี๋โบกพัดกลมช้าๆ มองไปรอบๆ พลางเอ่ยว่า “สิ่งที่สมควรชดเชยย่อมชดเชยให้ ทุกอย่างล้วนเจรจากันได้ คนของข้าเล่า?”
เป๊าะ! ชายชุดหรูหราดีดนิ้วไปทางด้านหลัง
ไม่นานนัก เหล่าสือซานแห่งสวนไม้เลื้อยถูกคุมตัวออกมา สภาพสะบักสะบอมเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าได้รับความทุกทรมานพอสมควร
พอเห็นว่าก่วนฟางอี๋มา เหล่าสือซานพลันตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย อ้าปากทว่าพูดไม่ออก เขาดิ้นรนเล็กน้อย จนใจที่ถูกผนึกไว้ ไม่มีกำลังจะโต้ตอบ
มือข้างหนึ่งกุมลำคอเขาไว้ พร้อมจะปลิดชีพเขาได้ทุกเมื่อ!
ก่วนฟางอี๋โบกพัดพลางเอ่ยว่า “ให้เขาพูด! ข้าต้องการยืนยันว่าเขาปลอดภัยจริงๆ”
ชายชุดหรูหราหันไปส่งสัญญาณเล็กน้อย ผนึกบางส่วนบนร่างเหล่าสือซานถูกปลดออก เขารีบตะโกนว่า “นายหญิง นี่เป็นกับดักของพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงว่าทั้งผู้ซื้อผู้ขายจะเป็นพวกเดียวกัน!”
“ผลักความรับผิดชอบเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ชายชุดหรูหราหัวเราะหยันดังเฮอะๆ คนอยู่ในกำมือเขาหมดแล้ว
“หุบปาก ไหนเลยจะพูดเหลวไหลได้ ทำพลาดก็คือพลาดไปแล้ว ต้องโทษตัวเองที่ตาไม่มีแววเท่านั้น” ก่วนฟางอี๋จ้องมองเหล่าสือซานพลางกล่าวตำหนิ จากนั้นถามขึ้นว่า “เจ้าปลอดภัยดีหรือไม่?”
เหล่าสือซานส่ายหน้าพลางตอบว่า “บาดเจ็บเล็กน้อย ปลอดภัยดีขอรับ!”
“เช่นนั้นก็ดี!” ก่วนฟางอี๋พยักหน้ารับ จากนั้นก็โบกพัดกลมยิ้มให้ชายในชุดหรูหราแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อข้ามาแล้วก็ปล่อยตัวคนเถิด!”
ชายชุดหรูหราเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหา แต่จำเป็นต้องเจรจาเรื่องชดเชยให้เรียบร้อยก่อน”
ก่วนฟางอี๋ถามรวบรัดเข้าประเด็น “เจ้าเสนอตัวเลขมาเลย!”
ชายชุดหรูหราตอบว่า “ตรงไปตรงมาดี! ข้าเสียหายไปสามล้านเหรียญทอง เจ้าว่าควรจัดการอย่างไร!”
ก่วนฟางอี๋เอียงหัวส่งสัญญาณให้ลุงเฉิน ลุงเฉินรีบปลดถุงใบเล็กปูดนูนที่แขวนอยู่ข้างเอวลงมา ยื่นส่งให้นาง
ก่วนฟางอี๋เปิดปากถุงออก เอ่ยไปว่า “สามล้านเหรียญทองอยู่นี่แล้ว ปล่อยคนซะ!”
ชายชุดหรูหราชะงักไปเล็กน้อย คล้ายจะคิดไม่ถึงว่าก่วนฟางอี๋จะยอมตกลงง่ายๆ เช่นนี้ บอกจะเอาสามล้านเหรียญก็ยอมยกให้เลย หลังจากส่งสายตาสื่อสารกับคนรอบข้างแล้ว เขาก็หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยออกไปว่า “หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีช่างกระเป๋าหนักเหลือเกิน ดูเหมือนสามล้านเหรียญทองนี้จะไม่มีค่ากับเจ้าสักเท่าไรเลย สามล้านเหรียญทองนับว่าชดใช้เงินที่จ่ายไปได้ แต่บัญชีที่พวกเราพี่น้องทั้งหลายถูกหลอกลวงเล่าจะชดเชยอย่างไร?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม “แล้วเจ้าต้องการให้ชดเชยอย่างไร?”
สายตาของชายชุดหรูหรามองไปตามเรือนร่างนาง พลันเอ่ยหยอกเย้าว่า “ได้ยินชื่อเสียงของหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีมานาน วันนี้ได้พบหน้าแล้ว เป็นโฉมงามทรงเสน่ห์คนหนึ่งจริงๆ หากปล่อยไปเช่นนี้จะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ? เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้ามาร่วมห้องกับข้าสักคืนถือว่าชดเชยให้พวกเราเป็นอย่างไร?”
พอเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ พลันมีเสียงหัวเราะเยาะที่อดกลั้นไว้ไม่อยู่แว่วดังมาจากรอบข้าง
เหล่าสือซานตะโกนด้วยความโกรธ “ต่ำช้า!”
“หุบปาก!” ก่วนฟางอี๋เอ่ยปรามเขาอีกหน
เหล่าสือซานกัดฟันก้มหน้าลง
ลุงเฉินกลับมีสีหน้าราบเรียบ
ก่วนฟางอี๋โบกพัดกลมเหลือบมองชายชุดหรูหราพลางยิ้มนิดๆ “ไม่ว่าบุรุษแบบไหนข้าก็เคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น เพิ่มเจ้าเข้ามาอีกคนก็ไม่ได้มากอะไร แต่ตัดเจ้าไปก็ไม่ได้น้อยลงเช่นกัน ร่วมห้องกับเจ้าสักคืนย่อมไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหลังจบเรื่องแล้วเจ้าจะรักษาคำพูด?”
ชายชุดหรูหราพยักเพยิดหน้าเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้คนรอบข้างนางพลางเอ่ยถาม “ดูสิว่าที่นี่ยังเหลือช่องให้เจ้าต่อรองหรือไม่?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ตัวข้าหงเหนียงตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมานานขนาดนี้ พอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง รู้จักคนอยู่พอสมควร ในเมื่อข้ากล้ามาไหนเลยจะไม่เตรียมการมาก่อน? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่เกิดเสียงต่อสู้ครึกโครมขึ้นจะมีคนโผล่มาทันที?”
ชายชุดหรูหรากวาดตามองรอบข้าง ในใจหวาดหวั่นเล็กน้อย นี่คือจุดที่เขานึกแปลกใจมาแต่แรก เท่าที่เขาทราบมา ในสวนไม้เลื้อยก็มียอดฝีมือจำนวนหนึ่งเช่นกัน แล้วเหตุใดถึงมากันแค่สองคน?
หากบอกว่าไม่ได้เตรียมการเอาไว้บ้างเลย กระทั่งเขาก็รู้สึกไม่เชื่อเช่นกัน
ก่วนฟางอี๋เอ่ยต่อว่า “ข้าไม่พาคนมาด้วยก็เพราะไม่อยากมีเรื่อง ต่อสู้ฆ่าฟันกันไปก็ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น หากสามารถตกลงรอมชอมกันได้ก็ไม่จำเป็นต้องผูกความแค้น มิสู้เอาเช่นนี้เถิด เจ้าปล่อยคนไปก่อน ให้พวกเขาสองคนจากไปแล้วข้าจะอยู่ร่วมห้องกับเจ้าหนึ่งคืน เงินก็จะให้เจ้าด้วยเช่นกัน ปล่อยให้เจ้าได้ประโยชน์ทั้งสองทางแล้ว แต่เจ้าก็ต้องรักษาคำพูดยอมปล่อยข้าออกไปในเช้าวันพรุ่ง ดีหรือไม่?”
วาจานี้กลับทำให้ชายชุดหรูหราค่อนข้างฉงนขึ้นมา “เจ้าไม่กลัวข้าจะกลับคำหรือ?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวไปว่า “ข้าบอกแล้วไง หากไม่มีความมั่นใจข้าคงไม่กล้ามา ในเมื่อข้ากล้ามาก็แปลว่าไม่กลัวจะมีเรื่อง หากเจ้าและข้าล้วนรักษาคำพูดย่อมปลอดภัยไร้เรื่อง หากเจ้ากล้าผิดคำพูด เจ้าก็อย่าหมายจะรอดไปได้!”
ชายชุดหรูหราลังเลเล็กน้อย มองท่าทีของคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง
ก่วนฟางอี๋เอ่ยดูแคลน “เจ้ามีความกล้าเพียงแค่นี้ก็คิดจะหลับนอนกับข้าแล้วอย่างนั้นรึ? ข้ารั้งอยู่ตัวคนเดียว พวกเจ้าต้องกลัวอะไรกัน? ต่อให้มีเรื่องลงไม้ลงมือกันขึ้นมา จัดการข้าคนเดียวก็ดีกว่าจัดการยอดฝีมือสองคนพร้อมกันหรือเปล่า? หรือเพียงเท่านี้พวกเจ้าก็ยังคิดไม่ได้? ตัวข้ายอมรั้งอยู่เป็นตัวประกันในมือพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ายังมีอะไรต้องกลัวอีก? ยังไงก็ดีกว่าจับตัวคนสนิทของข้าเป็นตัวประกันหรือเปล่า!”
ชายชุดหรูหราใคร่ครวญครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้ารับ “ได้! ว่ากันตามนี้ ปล่อยคนไป!” มุมปากผุดรอยยิ้มจางๆ ที่ยากจะสังเกตเห็น
ขอเพียงก่วนฟางอี๋ตกอยู่ในกำมือเขา เป้าหมายของเขาก็นับว่าสำเร็จแล้ว เรื่องอื่นไม่สำคัญเลย พอถึงเวลาจะจัดการอย่างไรก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับก่วนฟางอี๋แล้ว ปล่อยให้นางได้ใจไปก่อนแล้วกัน
เหล่าสือซานถูกปล่อยตัว จากนั้นถูกผลักออกไปนอกวงจนเซล้มลงบนพื้น
ก่วนฟางอี๋เอียงหัวส่งสัญญาณให้ลุงเฉิน ลุงเฉินค้อมกายให้เล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกไป คนที่ปิดล้อมอยู่ปล่อยให้เขาผ่านออกไป
ลุงเฉินพยุงเหล่าสือซานขึ้นมา คลายผนึกบนร่างเขาออกแล้วลากเหล่าสือซานทะยานจากไป
คนที่ปิดล้อมอยู่ก้าวเข้ามาต้องการจะจับก่วนฟางอี๋
“รีบร้อนไปทำไม คนยังไปได้ไม่ไกล ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะไม่ไปสกัดพวกเขาไว้” ก่วนฟางอี๋โบกพัดพลางตะโกนขึ้นไปบนเรือ “อย่าบีบให้ข้าต้องกลายเป็นสุนัขจนตรอก คงมิใช่ว่ารอแค่นี้ก็รอไม่ไหวแล้วกระมัง?”
ชายชุดหรูหราชูมือขึ้นเล็กน้อย ห้ามไม่ให้ลูกน้องด้านล่างลงมือ
กระทั่งลุงเฉินและเหล่าสือซานที่มุ่งหน้าไปทางเมืองหลวงหายลับไปแล้ว ชายชุดหรูหราถึงได้มองลงมาจากมุมสูงพลางกล่าวว่า “หงเหนียง เชิญ!” ขณะเดียวกันก็ผายมือสื่อให้อีกฝ่ายขึ้นเรือ
……………………………………………………………