ตอนที่ 348 หัวของเว่ยฉูอยู่ที่นี่แล้ว
Ink Stone_Fantasy
รถม้ายังคงจอดรออยู่นอกกำแพง ทั้งสองทะยานข้ามกำแพงออกไป มุดเข้าสู่รถม้าอย่างรวดเร็ว
เสียงแส้หวดแว่วดัง รถม้าเคลื่อนที่
ภายในห้องโดยสาร จู่ๆ ก่วนฟางอี๋ก็ขยับก้นเข้ามา นั่งเบียดอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าหันไปมอง ก่วนฟางอี๋ยื่นหน้าเข้ามาพอดี ทั้งสองอยู่ใกล้กันในระยะหน้าชิดหน้า ใบหน้าแทบจะแนบติดกัน ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ทั้งสองจ้องตากันด้วยความตกใจ
กลิ่นกายหอมฟุ้งของอีกฝ่ายโชยปะทะจมูก หนิวโหย่วเต้าเอนตัวถอยหลังเล็กน้อย เอ่ยด้วยความฉงน “เจ้าจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไม?”
ก่วนฟางอี๋โมโหขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ถามกลับไป “เจ้าหลบทำไม? กลัวข้าจะจับเจ้ากิน หรือว่ารังเกียจยายแก่อย่างข้า?”
หนิวโหย่วเต้าจึงกล่าวว่า “กลิ่นแป้งบนตัวเจ้าฉุนเกินไป ข้าหายใจไม่ออก!”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย!” ก่วนฟางอี๋ยื่นมือออกไป “เอาป้ายคำสั่งนั่นมาให้ข้าดู”
หนิวโหย่วเต้าแสร้งเลอะเลือน “ป้ายคำสั่งอะไร!”
ก่วนฟางอี๋ยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อของเขาที่เก็บป้ายคำสั่งไว้ข้างนั้น
หนิวโหย่วเต้าชักมือหลบอย่างรวดเร็ว ก่วนฟางอี๋จึงโถมตัวเข้ามากอดรัดเขา ทับตัวเขาเอาไว้แล้วแงะแขนข้างนั้นของเขาออกมา
สำหรับก่วนฟางอี๋แล้ว ของอยู่ที่ตัวเขา ความจริงเค้นออกมาไม่ได้ แต่ของกลับสามารถแย่งมาได้
“อย่าแย่ง ข้าจะเอาให้เจ้าดู”หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงอู้อี้ เพราะใบหน้าซุกอยู่ตรงทรวงอกอวบอิ่มของนาง ส่วนแขนข้างนั้นยื่นชูออกไปนอกหน้าต่าง
ก่วนฟางอี๋ก็รับรู้ได้เช่นกันว่าเกิดเหตุไม่เหมาะไม่ควรขึ้นตรงทรวงอก นางรีบหดตัวกลับไป ตะโกนใส่ว่า “ลวนลามข้าอย่างนั้นรึ!”
หนิวโหย่วเต้าอึกอักคล้ายจะพูดอะไร สุดท้ายก็ยอมปล่อยผ่าน คร้านจะถกเถียงอันใดกับสตรีนางนี้แล้ว เขาล้วงป้ายคำสั่งในแขนเสื้อยื่นส่งให้นาง
ก่วนฟางอี๋รับป้ายคำสั่งไปพลิกดูอยู่สักพัก ดูอะไรไม่ออกอยู่ดี จึงเอ่ยถามว่า “นี่คือป้ายคำสั่งอะไร?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่ยอมบอกอย่างนั้นรึ? ได้ ข้าจะช่วยเก็บป้ายคำสั่งนี้ไว้ให้เจ้าเอง”
“ได้!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกพิกล “เป็นเจ้าเสนอตัวช่วยเก็บป้ายคำสั่งนี้แทนข้าเองนะ ข้าไม่ได้บังคับเจ้านะ!”
ก่วนฟางอี๋พลันมีสีหน้าหวาดระแวง พลิกป้ายคำสั่งในมือดูอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็โยนคืนกลับไป “ใครเขาอยากได้กัน”
หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เก็บป้ายคำสั่งไว้กับตัว จากนั้นหลับตางีบพักบนรถม้าโยกโคลงเคลง
….
ริมทะเล ท้องฟ้ากระจ่างสดใส
เรือใหญ่สามลำจอดเทียบริมฝั่ง เมื่อม้าศึกหลายสิบตัวสุดท้ายขึ้นเรือไป ก็มีคนยกไม้กระดานเทียบเรือออกทันที
หลังจากทุกคนขึ้นเรือแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งยืนเรียงแถวอยู่ตรงกราบเรือ ยกไม้พายขึ้นมา ออกแรงถ่อยันเรือออกจากฝั่ง เรือใหญ่สามลำค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากริมฝั่ง
ใบเรือถูกกางขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม้พายที่ยื่นออกมาจากกราบเรือทั้งสองด้านเริ่มตวัดพายไปพร้อมกัน เรือเคลื่อนตัวเข้าสู่ท้องทะเลอย่างเชื่องช้า
บนโขดหินริมทะเล มีคนสวมผ้าคลุมสีดำสามคนยืนอยู่ ผู้เป็นหัวหน้าคือซูจ้าว
ได้เห็นม้าศึกทั้งหมดขึ้นเรือไปอย่างราบรื่น ได้เห็นเรือสามลำสุดท้ายออกจากฝั่งไปอย่างราบรื่น ในที่สุดซูจ้าวก็โล่งอก
จนกระทั่งเรือใหญ่ทั้งสามลำกลายเป็นจุดสีดำไกลออกไปในท้องทะเล ซูจ้าวถึงจะหันหลังกลับมาเงยหน้ามองดวงตะวันที่ลอยโด่งบนท้องฟ้า ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย
คนที่ยืนขนาบสองฝั่งซ้ายขวาทะยานตัวขึ้นมา ร่อนลงไปบนจุดที่ขนถ่ายม้าศึกขึ้นเรือ ร่ายอาคมลบร่องรอยยุ่งเหยิงบนพื้นดิน
….
ณ สวนไม้เลื้อย ปีกทองตัวหนึ่งบินร่อนเข้ามา ไม่นานนักเสิ่นชิวก็รีบเดินเข้ามาที่เรือนส่วนใน ยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งส่งให้หนิวโหย่วเต้า
หลังรับจดหมายไปอ่านจนจบ หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เดินออกมาจากห้องโถง ยืนอยู่ใต้ชายคา หรี่ตาทอดมองออกไปไกล
….
ณ จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งยืนล้อมวงอยู่ในห้องโถง กำลังฟังคำสั่งการของเซ่าผิงปอ
เซ่าซานเสิ่งเดินมารออยู่หน้าประตูห้องโถง กระทั่งกลุ่มเจ้าหน้าที่แยกย้ายจากไปแล้ว เขาถึงจะรีบเดินเข้าไป อ้อมไปหยุดข้างกายเซ่าผิงปอที่กำลังตรวจเอกสารราชการบนโต๊ะอยู่ กระซิบรายงานว่า “คุณชายครับ คุณหนูซูส่งจดหมายมา ม้าศึกพันธุ์ดีสามหมื่นตัว ในนั้นมีแม่พันธุ์อยู่หนึ่งพันตัว ตอนนี้ขนขึ้นเรือเรียบร้อย แล้วก็ออกมาจากแคว้นฉีแล้ว คุณหนูซูบอกให้พวกเราเตรียมรอรับขอรับ!”
เซ่าผิงปอที่ก้มหน้าอ่านเอกสารอยู่หันไปมองทันที กำปั้นทุบไปบนฝ่ามือ เอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ดี! ดีมาก!”
เขาไม่สนใจเอกสารอีกต่อไป เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องโถงด้วยความตื่นเต้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบอารมณ์ลงได้ เขากวักมือเรียกเซ่าซานเสิ่งเข้ามา กระซิบสั่งการ “ส่งข่าวไปหาพี่จ้าวเดี๋ยวนี้ บอกนางว่าต้องจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยตามที่ตกลงกันไว้ ทางเราต้องติดต่อกับคาราวานเรือตลอดการเดินทาง ให้ทางคาราวานเรือติดต่อมาหาทางเราทุกๆ ครึ่งวัน ข้าต้องการทราบพิกัดคร่าวๆ ของคาราวานเรือทุกวัน!”
“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งพยักหน้าตอบรับ
“ยังมีอีก ตรวจสอบเส้นทางน้ำของฝั่งแคว้นหานให้ข้าอย่างละเอียดอีกครั้ง อย่าปล่อยให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น หากพบเห็นความผิดปกติใดๆ ให้รายงานข้าทันที! ผู้ใดกล้าทำให้งานใหญ่ของข้าเสียหาย ข้าจะสังหารมันเก้าชั่วโคตร!”
“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งประสานมือรับคำสั่งแล้วจากไป
ภายในห้องโถงกว้างโล่ง เซ่าผิงปอพลันอ้าแขนออก หลับตาเงยหน้าขึ้น สีหน้าดื่มด่ำราวกับได้ร่ำสุราชั้นเลิศ
….
ภายในวังหลวงแคว้นฉี ปู้สวินเดินสาวเท้าเข้ามาในห้องหนังสือ โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย ขันทีสองคนที่อยู่ในห้องค้อมกายให้แล้วถอยออกไป จากนั้นหันหลังเดินออกจากห้องหนังสือไป
ปู้สวินเดินเข้ามาอยู่ข้างโต๊ะทรงงาน รอจนเฮ่าอวิ๋นถูทำงานเสร็จวางพู่กันลงแล้วถึงได้เอ่ยไปว่า “ฝ่าบาท ทางจวนจินอ๋องเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย สร้างความแตกตื่นขึ้นในแวดวงผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองหลวงไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูหันไปมองทันที รอให้เขาพูดต่อ
ปู้สวินค้อมกายเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “เว่ยฉูที่เป็นคนของจินอ๋องผู้นี้ เมื่อวานนี้เขาออกจากเมืองหลวงไป ถูกลอบสังหารระหว่างไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูหรี่ตาลงพลางเอ่ยถาม “ใครกันที่กำเริบเสิบสานขนาดนี้ กล้าลงมือกับคนของโอรสข้า ใช่ฝีมือคนของสามสำนักใหญ่หรือไม่?”
ปู้สวินทราบความนัยที่แฝงอยู่ในวาจาเขา ตอบกลับไปว่า “ตอนนี้เรื่องราวยังไม่แน่ชัด ไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นผู้ใด จินอ๋องเดือดดาลยิ่ง ต้องการให้คนของสามสำนักใหญ่รีบสืบหาตัวคนร้าย ทั้งยังมาหาทางบ่าวด้วยพ่ะย่ะค่ะ ต้องการให้หน่วยข่าวกรองช่วยสืบหาตัวคนร้ายเช่นกัน!”
เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สืบ!”
….
ณ สวนไม้เลื้อย ใต้ร่มเงาไม้ หนิวโหย่วเต้านอนตะแคงขดตัวอยู่บนเก้าอี้เอนหลัง คล้ายกำลังหลับสนิท
ก่วนฟางอี๋ที่เดินโบกพัดกลมเข้ามามองดูใกล้ๆ ผงะไปเล็กน้อย
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า นางรู้สึกว่าคนที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้เอนหลังตรงหน้านี้คล้ายจะรู้สึกเหน็บหนาว ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพา
ความรู้สึกนี้นางเข้าใจเป็นอย่างดี เป็นความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ตัวนางจะใช้ชีวิตสำราญเริงรัก แต่ความรู้สึกเช่นนี้ยังคงตามติดเป็นเงาตามตัวอยู่เสมอ เวลาที่นางอยู่คนเดียวก็มักจะนอนขดตัวแบบนี้เช่นกัน
คนที่อยู่บนเก้าอี้เอนหลังตรงหน้านี้ ดูคล้ายจะมีความรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจแฝงเร้นอยู่ในบุคลิกอันสงบเยือกเย็น
“มีเรื่องใดหรือ?” จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าที่ดูคล้ายจะหลับลึกพลันเอ่ยถามเสียงเรียบ
ก่วนฟางอี๋ยื่นเท้าไปเตะเท้าเขาเล็กน้อย “มัวทำอะไรอยู่ กลางวันแสกๆ ยังมาแกล้งนอนตายอยู่ที่นี่อีกหรือ ลุกขึ้นมา!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา พลิกตัวนอนหงาย กางแขนกางขาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ยืดเส้นยืดสายพลางลืมตาลุกขึ้นมานั่ง
ก่วนฟางอี๋ยื่นเท้าไปเกี่ยวม้านั่งกลมที่อยู่ด้านข้างเข้ามา จากนั้นสองมือก็รวบกระโปรงบริเวณสะโพกไว้แล้วนั่งลงยกขาไขว่ห้างพลางเอ่ยว่า “เว่ยฉูตายแล้ว คนที่ลิ่งหูชิวไปหาน่าจะลงมือแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้าหันไปจ้องนาง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ข่าวแพร่ไปทั่วแวดวงผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองหลวงแคว้นฉีแล้ว บอกว่าเว่ยฉู่ออกจากเมืองไปเมื่อวาน ถูกซุ่มโจมตีสิ้นชีพระหว่างทาง เรื่องนี้สร้างความแตกตื่นเป็นอย่างยิ่ง!”
“แตกตื่นหรือ?” หนิวโหย่วเต้าสงสัย เอ่ยถามไป “เรื่องเช่นนี้ หรือมือสังหารจะป่าวประกาศออกไป? หรือจะมีคนที่หนีรอดไปได้นำไปบอกเล่าต่อภายนอก?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ได้ยินว่าข่าวแพร่ออกมาเพราะความเคลื่อนไหวของทางสามสำนัก หลังจากเกิดเหตุขึ้นกับเว่ยฉู จินอ๋องก็ไปขอให้สามสำนักใหญ่ช่วยสืบหาตัวคนร้าย”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้คำหนึ่ง คลายความสงสัยลง ปากพึมพำไปว่า “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แล้วเหตุใดลิ่งหูชิวยังไม่มาอีก”
ก่วนฟางอี๋กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง อิงอ๋องออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เป้าหมายพร้อมสมาชิกครอบครัวรวมสี่คนก็ติดตามไปด้วย”
หนิวโหย่วเต้ามีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “เร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ตรวจสอบยืนยันหรือยัง?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ยืนยันแล้ว ทางอิงอ๋องส่งคนมาแจ้งข่าวเอง พอได้รับข่าวข้าก็ส่งคนไปตรวจสอบยืนยันทันที ช่วงว่าราชการเมื่อวานนี้ จู่ๆ ก็มีคนฟ้องร้องว่ามีคนในราชวงศ์ลักลอบส่งออกม้าศึกโดยพลการ ซีย่วนต้าอ๋องที่รับผิดชอบดูแลด้านกิจการของราชวงศ์โต้แย้ง ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันยกใหญ่ ภายหลังมีขุนนางใหญ่เสนอให้ส่งอิงอ๋องไปตรวจสอบกิจการต่างๆ ของเชื้อพระวงศ์ อิงอ๋องปฏิเสธแล้วแต่ไม่เป็นผล สุดท้ายปัญหาก็ตกมาอยู่ที่ตัวอิงอ๋องอยู่ดี หลังเกิดเรื่องอิงอ๋องจึงประสานงานขอตัวขุนนางสี่ห้าคนจากฝั่งซีย่วนต้าอ๋อง เป้าหมายก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย ออกเดินทางไปช่วงเช้าวันนี้”
“ทำเป็นเล่นไป อิงอ๋องคนนี้เสแสร้งเก่งจริงๆ ทำทีคล้ายต้องการไว้หน้าเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง ตัวเองพาสมาชิกในครอบครัวตนไปด้วย ซ้ำยังอนุญาตให้ผู้ติดตามพาสมาชิกในครอบครัวไปด้วยเช่นกัน ท่าทางราวกับออกไปท่องเที่ยวทัศนาจร ตอนออกจากเมืองเฮ่าอวิ๋นเซิ่งยังออกมาส่งเขาด้วยตัวเองเชียวนะ นับว่าท่านอ๋องคนนี้เก่งกาจมากจริง ทำตัวเหมือนจำยอมไร้ทางเลือก จัดการเรื่องราวอย่างไม่มีปากมีเสียง เฮ่าอวิ๋นเซิ่งถูกเขาหลอกเสียสนิท ทั้งยังช่วยเอื้อประโยชน์ให้เขาอีก ภายหลังหากทราบความจริงขึ้นมา เกรงว่าเฮ่าอวิ๋นเซิ่งคงโมโหแทบตายแน่!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย “เจ้าคิดมากไปแล้ว ในเมื่อเขากล้าทำ เขาก็ย่อมต้องมีความมั่นใจว่าภัยจะไม่มาถึงตัว เขาไม่มีทางทำเพื่อข้าโดยไม่เหลือทางรอดไว้ให้ตัวเองหรอก”
ก่วนฟางอี๋ยังคงสงสัยอยู่ว่าเขาทำให้อิงอ๋องยอมช่วยเรื่องนี้ได้อย่างไร จึงสอบถามอีกครั้ง
หนิวโหย่วเต้าเปลี่ยนประเด็นไป ชี้ไปยังสองขาที่ไขว่ซ้อนกันของนาง “หงเหนียง ในฐานะสตรีคนหนึ่ง เจ้านั่งให้มันสำรวมหน่อยมิได้หรือ?”
“สำรวม? หากเป็นแต่ก่อน อยากให้ข้าสำรวมแค่ไหนข้าก็สำรวมได้เท่านั้น แต่ต่อมาข้างกายมีหลายชีวิตต้องเลี้ยงดู หากวางท่าทีเย็นชายังจะทำการค้ากับผู้อื่นได้หรือ? พอเวลาผ่านไปนานเข้า ข้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจนจำตัวตนของตัวเองไม่ได้แล้ว…”
ขณะที่ทั้งสองคุยกันอยู่ สวี่เหล่าลิ่วเดินเข้ามารายงานว่าลิ่งหูชิวมาแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ลิ่งหูชิวก็รีบเดินเข้ามา ในมือถือห่อผ้ามาด้วย
“พี่รอง!” หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นมาต้อนรับ
ก่วนฟางอี๋ปรายตามองอย่างเย็นชา ท่าทางเหมือนไม่พอใจในตัวลิ่งหูชิว
ลิ่งหูชิวก็ไม่พูดมากเช่นกัน เดินเข้ามาหาทั้งสองคนแล้ววางห่อผ้าในมือลง แกะปมออกเผยให้เห็นกล่องใบหนึ่งที่อยู่ด้านใน จากนั้นเปิดฝากล่องออก ด้านในคือศีรษะคนที่ถูกตัดมา
“ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ หัวของเว่ยฉูอยู่ที่นี่แล้ว น้องสามตรวจสอบได้เลย!” ลิ่งหูชิวลุกขึ้นมาพลางชี้ให้ดูด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หนิวโหย่วเต้าพลิกมือคว้าไปในอากาศ กระบี่ที่พิงเก้าอี้เอนหลังอยู่ลอยเข้าสู่มือ เขาชักกระบี่ออกจากฝัก เขี่ยศีรษะในกล่องเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะใช่”
ลิ่งหูชิวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูเหมือนจะใช่อะไรกัน? มันใช่แน่นอนอยู่แล้ว ข้าตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่ใช่ของปลอมแน่นอน!”
หนิวโหย่วเต้าชักกระบี่กลับมาแล้วสอดกลับเข้าฝัก เอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “กำจัดภัยใหญ่หลวงนี้ได้ก็โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ลำบากพี่รองแล้ว!”
ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “เมื่อกำจัดภัยได้แล้วก็ไม่ควรชักช้าอีก น้องสามเร่งเดินทางออกจากเมืองหลวงเถอะ!”
หนิวโหย่วเต้าค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้า ส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไปไม่ได้”
ลิ่งหูชิวเบิกตากว้าง เอ่ยด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ไม่ไปตอนนี้แล้วจะรอไปถึงเมื่อไร? ฉวยโอกาสตอนที่จินอ๋องไม่มีเวลามาสนใจเจ้ารีบไปกันดีกว่า หากรอจนจินอ๋องเฉลียวใจได้ขึ้นมา พอถึงเวลานั้นเกรงว่าถึงเจ้าอยากหนีก็หนีไม่รอดแล้ว แบบนั้นมิเท่ากับว่าสิ่งที่พวกเราทำมาต้องเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พี่รองยังไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ปู้สวินส่งคนมาติดต่อข้า บอกให้ข้าเตรียมตัวไว้ เพราะเฮ่าอวิ๋นถูต้องการพบข้าในอีกไม่กี่วันนี้!”
“……” ลิ่งหูชิวอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถามว่า “ต้องการพบเจ้าด้วยเรื่องใด?”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ ข้าก็สงสัยอยู่เหมือนกัน!”
ก่วนฟางอี๋ที่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นยกพัดกลมขึ้นบังหน้า พอเห็นท่าทางอ้าปากค้างเช่นนั้นของลิ่งหูชิวก็ทนแทบไม่ไหวเกือบหลุดหัวเราะออกมา
………………………………………………………………