ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 356 ข้ายินยอมเอง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 356 ข้ายินยอมเอง

ตอนที่ 356 ข้ายินยอมเอง

ฉินเหมียนเดินออกจากสถานที่ขายความสำราญกลับไปยังเรือนด้านหลังอันเงียบสงบ

นอกจากดูแลแขกสูงศักดิ์บางส่วนแล้ว นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องเฝ้าอยู่ในโถงด้านหน้าตลอด แขกทั่วไปจะมีพนักงานคอยให้บริการ

“พี่ฉิน!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่คอยเฝ้าเรือนด้านหลังเอ่ยทักทาย

ฉินเหมียนยืนอยู่ในลานเรือนพลางมองไปรอบๆ ถามขึ้นว่า “นายหญิงล่ะ”

“กลับห้องไปแล้ว!” ชายฉกรรจ์ตอบ จากนั้นเอ่ยแจ้งอีกครั้ง “อันไท่ผิงจากร้านเต้าหูมาหา ไปที่ห้องของนายหญิงแล้วเช่นกัน”

บุรุษที่เป็นคนนอกผู้หนึ่งเข้าไปในห้องส่วนตัวของซูจ้าวอย่างนั้นหรือ? ฉินเหมียนตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นหันหลังเดินออกไป

นางเดาว่าทั้งสองคงอยากคุยเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยได้ จึงอยากไปดูว่ามีอะไรกันแน่

พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องส่วนตัวของซูจ้าว ขณะที่กำลังจะยกมือเคาะประตูห้อง ภายในห้องกลับมาเสียงดังลอดออกมา ทำให้มือของนางที่เตรียมจะเคาะประตูชะงักไปทันที

ฉินเหมียนนึกว่าตนคงฟังอันใดผิดไป ถึงขนาดที่เหลียวมองรอบข้าง ด้วยหลงนึกว่าตนมาผิดห้อง

เพราะเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านในทำให้นางรู้สึกไม่กล้าจะเชื่อจริงๆ

แต่ความจริงมันก็ได้พิสูจน์แล้วว่านางไม่ได้มาผิดที่ นางคุ้นเคยกับเสียงที่ไม่เหมาะสมที่แว่วออกมาจากในห้องเป็นอย่างดี อยู่ในเรือนเมฆาขาวมานานหลายปีขนาดนี้ นางคุ้นเคยเป็นอย่างมากจริงๆ นางฟังเพียงเล็กน้อยก็ทราบแล้วว่าด้านในกำลังทำอะไร ทั้งยังร้อนแรงมากด้วย!

สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกยากจะเชื่อได้ยิ่งกว่านั้นคือมีเสียงครวญครางเคลิบเคลิ้มของซูจ้าวแว่วออกมาเป็นครั้งคราว บทสนทนาประโยคสองประโยคที่แว่วออกมาเป็นครั้งคราวดูไม่คล้ายว่าจะถูกบังคับขืนใจ แต่เหมือนหฤหรรษ์เคลิบเคลิ้มเสียมากกว่า ทำให้ใบหน้าของฉินเหมียนกระตุกขึ้นมา

มือของฉินเหมียนที่ยกค้างอยู่คิดจะผลักประตูเปิดเข้าไป แต่สุดท้ายก็ยังคงลดมือลง ค่อยๆ หมุนตัว ยืนอยู่ใต้ชายคา

นางมองความมืดมิดยามราตรี ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากภายในห้องดังอยู่เป็นเวลานาน สีหน้านางดูหนักใจเป็นอย่างยิ่ง

…..

เมื่อเสร็จสมอารมณ์หมาย ภายในห้องก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม

คนสองคนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง ฝ่านชายนอนหงาย ส่วนฝ่ายหญิงผมรุ่ยร่ายยุ่งเหยิงนอนตะแคงหันหลังให้

หยวนกังเหม่อมองเพดาน สับสนเลื่อนลอย แต่ที่มากกว่านั้นคือหงุดหงิดและนึกเสียใจ เขาไม่คิดเลยว่าตนจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้

ด้วยความหุนหันพลันแล่นจากความรู้สึกว้าวุ่นยุ่งเหยิง เขามาเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างจริงๆ แต่หลังจากใจเย็นลงและมีสติขึ้นมา เขานึกเสียใจอย่างแท้จริง เหตุใดตนถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้?

ซูจ้าวนอนตะแคงขดตัวหันหลังให้ เรือนร่างโค้งเว้าอรชร ผิวกายขาวผ่องดั่งหิมะ เส้นผมรุ่ยร่ายยุ่งเหยิงแผ่ปรกหน้า ฟันขาวขบริมฝีปากแน่นไม่ยอมคลาย

เมื่อครู่นี้ราวกับวิญญาณกระเจิดกระเจิงออกไป

ตอนนี้พอได้สติขึ้นมา ก็ตระหนักได้ชัดเจนว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งพบเจอเรื่องใดไป

นางเองก็สับสนเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตนมีกำลังพอจะปฏิเสธได้ กลิ่นอายความเป็นชายที่แสนแกร่งกล้านั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนตนกลายเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ไปในชั่วพริบตา รู้สึกว่าตนถูกพิชิตได้ในทันใด สติปัญญาและอารมณ์ว้าวุ่นพัวพันกันยุ่งเหยิง สุดท้ายสติก็พ่ายแพ้ให้แก่อารมณ์อันว้าวุ่น สุดท้ายก็ตกเป็นทาสอย่างสิ้นเชิง!

ตอนนี้สมองของนางเดี๋ยวกระจ่าง เดี๋ยวสับสนยุ่งเหยิง

กระจ่างเพราะนางรู้ตัวแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สับสนเพราะมีภาพของเซ่าผิงปอผุดขึ้นมาในหัวเป็นระยะ รู้สึกว่าตนทำผิดต่อเซ่าผิงปอไปเสียแล้ว

นางและเซ่าผิงปอต่างสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต นางคิดว่าสุดท้ายตนจะได้อยู่ครองคู่กับเซ่าผิงปออย่างแน่นอน

แต่หลังผ่านประสบการณ์ดั่งความฝันครั้งนี้ ดูเหมือนนางจะเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาในทันใด เรื่องระหว่างเซ่าผิงปอที่ว่าเป็นเรื่องแน่นอนนั้นเป็นความแน่นอนที่ตัวนางคิดเองเออเองมาโดยตลอด ทว่าชายที่ทำให้ตนหวั่นไหวได้อย่างแท้ก็คือชายที่อยู่ข้างกายคนนี้ เพียงแต่ถูกความแน่นอนที่ตนเองคิดเอาเองบดบังไว้เท่านั้น จนทำให้ตัวนางแยกแยะไม่ได้มาโดยตลอด

ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว นางยืนยันได้ชัดเจนแล้วว่านับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบชายคนนี้ นางก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ภายหลังถึงได้จงใจไปลองหยั่งเชิง ถึงได้จงใจเข้าไปใกล้ชิด ตอนนี้นางทราบความคิดของตนในช่วงนั้นอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แต่นางแค่ถูกความคิดของตนหลอกตัวเองเท่านั้น

หลังผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้มา ความสับสันที่นางถักทอขึ้นมาด้วยตัวเองถึงได้คลี่คลายกระจ่างชัด

อันที่จริงจิตใต้สำนึกของนางรู้ดีมาตลอด นางเคยใกล้ชิดและทำความรู้จักเซ่าผิงปอ รู้ดีว่าเซ่าผิงปอเป็นคนเช่นไร เซ่าผิงปอคนนั้นเห็นบ้านเมืองสำคัญกว่าทุกสิ่ง หลังจากประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง เขาก็ไม่มีทางแต่งสตรีชื่อเสียงเสื่อมเสียอย่างตนเป็นภรรยาแน่นอน

ความจริงแล้วนางเข้าใจถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด รู้ซึ้งแก่ใจดีเสมอมา แต่กลับยังคงโอบอุ้มความหวังอันน้อยนิดเอาไว้ตลอดมา

ตอนนี้บุรุษที่อยู่ด้านข้างทำให้นางตัดเศษเสี้ยวความหวังนี้ลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว แล้วก็ทำให้นางมีเหตุผลและการตัดสินใจที่ชัดเจน

นางไม่รู้ว่าการโอนอ่อนยอมคล้อยตามเขาเมื่อครู่นี้ มันเป็นการแสดงถึงความคิดบางอย่างในจิตใต้สำนึกของตนหรือไม่

“ขออภัยด้วย!” หยวนกังเอ่ยเบาๆ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรดี จึงทำได้เพียงเอ่ยขออภัยออกไป

อีกทั้งไม่กล้ามองนางด้วย ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ควรมอง

ซูจ้าวขยับตัวเล็กน้อย เอ่ยถามทั้งที่หันหลังให้ “เหตุใดถึงต้องขออภัย?”

หยวนกังไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร เขาดันตัวลุกขึ้นนั่ง

ซูจ้าวที่หันหลังอยู่ยื่นแขนมาด้านหลัง วางลงบนแผงอกที่แข็งแกร่งของเขา “ไม่จำเป็นต้องขออภัย เป็นข้าที่ยินยอมเอง”

ในแง่หนึ่งแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นความยินยอมของตัวนางจริงๆ มิเช่นนั้นหยวนกังไม่มีทางบังคับนางได้

หยวนกังค่อยๆ หันไปมองนาง

ซูจ้าวพลิกตัวกลับมาช้าๆ การที่ต้องเผยร่างต่อสายตาเขาทำให้นางเขินอายเป็นอย่างยิ่ง นางโผตัวเข้าไปโอบกอดหยวนกังไว้ กดให้เขานอนเอนลงไปแล้วทับอยู่บนร่างเขา สายตาของทั้งสองคนประสานกัน

“ตอนนี้ท่านคงรู้แล้วกระมังว่าข้ามิใช่สตรีของซีย่วนต้าอ๋อง” ซูจ้าวเอ่ยเตือนเขาประโยคหนึ่ง คล้ายจะสื่อความหมายว่าเจ้าต้องรับผิดชอบข้า!

หยวนกังเงียบไป ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

ซูจ้าวเอ่ยว่า “เรื่องราวบางอย่างตอนนี้ข้ายังอธิบายกับท่านไม่ได้ ไม่สามารถชี้แจงให้กระจ่างได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ท่านไม่ควรอยู่ในห้องข้านานเกินไป ไปเถอะ รีบออกไปเสีย ออกจากที่นี่ในทันที และห้ามเอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใด เดี๋ยวข้าจะไปหาท่านทีหลัง แล้วค่อยอธิบายให้ท่านฟัง”

ดวงหน้างามดั่งวาดขึ้น พวงแก้มแดงเรื่อ นางที่อยู่ในท่วงท่างามเย้ายวนค่อยๆ ก้มหน้าลงมาพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร ข้าก็ไม่เสียใจเลย!”

กล่าวจบก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดึงผ้าห่มบนเตียงมาห่อร่างตนไว้ เบือนหน้าไปด้านข้างไม่กล้ามองเรือนกายแกร่งกำยำดั่งประติมากรรมหินของเขา คิดไปคิดมาก็หน้าแดง เอ่ยเร่งอีกครั้ง “ไป รีบไปเสีย!”

หยวนกังลุกขึ้นมาทันที หยิบเสื้อผ้าตนขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว เปิดประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมา ราวกับกำลังหลบหนีอยู่

ยามที่เดินออกมาถึงประตูท้ายเรือน คนงานผู้หนึ่งยื่นมือออกมาขวางได้ “เถ้าแก่อัน ช้าก่อน!”

ทว่าในขณะที่หยวนกังเดินผ่านเขาไป คนงานผู้นั้นพลันลงมือสกัดจุดที่ช่วงเอวของหยวนกัง

หยวนกังกำลังสับสนว้าวุ่น เป็นช่วงที่การระวังตัวลดต่ำลงที่สุด

ใครอีกคนโผล่ออกมาจากด้านข้าง ทำงานประสานกัน เข้าควบคุมตัวหยวนกังอย่างเงียบเชียบ

ไม่นานนัก หยวนกังที่สลบไปแล้วถูกทั้งสองคนลากกลับมา คนงานทั้งสองมองไปยังฉินเหมียนที่ยืนอยู่ในศาลาด้วยสีหน้าเย็นชา

ฉินเหมียนสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง คนงานทั้งสองลากหยวนกังเดินออกไปทันที

ฉินเหมียนหันหลังเดินไปยังหน้าห้องของซูจ้าว

ครั้งนี้นางไม่ได้เคาะประตู หากแต่ผลักเปิดเข้าไปทันที

ภายในห้อง ซูจ้าวกำลังสวมเสื้อผ้าอยู่ นางถูกหยวนกังเคี่ยวกรำมากพอดู จึงขยับไม่ค่อยสะดวกเท่าไร จู่ๆ ก็มีคนโผล่พรวดเข้ามา ตัวนางที่เหมือนเป็นวัวสันหลังหวะพลันสะดุ้งโหยง

พอเห็นว่าเป็นฉินเหมียน ซูจ้าวที่ยกมือกุมอกอยู่ก็กล่าวอย่างโมโหว่า “ยังรู้จักกฎเกณฑ์อยู่หรือไม่ ไม่รู้จักเคาะประตูหรือไร?”

พอพูดจบนางก็จับสังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติไปของฉินเหมียนได้ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง พลันลนลานขึ้นมาทันที ถึงขนาดเกิดความคิดจะสังหารคนปิดปากด้วย ทว่าไม่สะดวกจะลงมือ!

ฉินเหมียนก้มตัวลงเก็บอาภรณ์ขาดวิ่นที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ค่อยๆ เดินเข้าไปยังข้างเตียง มองรอยเปื้อนแดงเป็นดวงๆ บนเตียง กัดฟันเอ่ยถามออกไป “เขาบังคับขืนใจท่านหรือเจ้าคะ?”

ซูจ้าวเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “เขาจะบังคับขืนใจข้าได้อย่างไร? เป็นข้ายินยอมเอง!”

ฉินเหมียนพลันเอ่ยด้วยความโมโหคับข้อง “เหลวไหล! ช่างเหลวไหลนัก!”

ซูจ้าวพยายามสงบอารมณ์ลง สวมเสื้อผ้าต่อไปพลางเอ่ยช้าๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่มีทางกระทบถึงองค์กร เรื่องหลังจากนี้ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล! จำไว้ เรื่องใดที่เจ้าไม่ควรก้าวก่ายก็อย่าได้เข้ามาก้าวก่าย!”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ท่านไป๋ส่งข้ามาดูแลท่าน หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับท่านจะให้ข้าไปอธิบายกับท่านไป๋อย่างไรล่ะเจ้าคะ?”

ซูจ้าวกล่าวว่า “ทางท่านอาจารย์ข้าจะอธิบายด้วยตัวเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย!”

ฉินเหมียนโยนอาภรณ์ขาดวิ่นในมือทิ้ง ชี้คราบแดงเป็นดวงๆ บนเตียง “ท่านจะอธิบายอย่างนั้นหรือ? ผู้คนต่างทราบกันทั่วว่าท่านเป็นสตรีของซีย่วนต้าอ๋อง แล้วท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร? เบื้องหลังของอันไท่ผิงคือตระกูลฮูเหยียน นี่ต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่! ตัวท่านเดิมทีก็อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ร่างกายอันผุดผ่องถือเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด แต่หากร่างกายมัวหมองแล้วท่านจะอธิบายต่อเซ่าผิงปออย่างไรเล่า? การกระทำนี้ของท่านทำลายอนาคตตัวเองไปแล้ว!”

ซูจ้าวหันมามอง “แล้วเหตุใดข้าต้องอธิบายกับเขาด้วย? ข้าไม่มีสถานะอะไรกับเขาด้วยซ้ำ อีกทั้งมิได้หมั้นหมายกัน แล้วเหตุใดต้องอธิบายกับเขาด้วย?”

ฉินเหมียนกล่าวออกไป “ท่านเคยบอกกับท่านไป๋เอาไว้เอง ท่านลืมแล้วหรือ?”

ซูจ้าวตอบว่า “เรื่องงานคือเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว ไม่มีผู้ใดกำหนดไว้เสียหน่วยว่าข้าต้องอุทิศตัวให้เซ่าผิงปอเท่านั้น เรื่องใดที่สมควรทำข้าก็จะทำต่อไปให้ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล! ข้าขอยืนยันคำเดิม เรื่องใดที่เจ้าไม่ควรก้าวก่ายก็อย่าได้เข้ามาก้าวก่าย!” นางปรายตามองมาอย่างเย็นชา

“ท่าน…”

“พอได้แล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว”

สองมือของฉินเหมียนกำแน่น ขบกรามจนแก้มตึง หันหลังเดินออกมา

ซูจ้าวที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วค่อยๆ นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองเงาตนในคันฉ่อง นั่งทื่อนิ่งเงียบอยู่นานพักใหญ่ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้นางเขินอายที่จะนึกถึง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังสลักลึกอยู่ในสมองไม่อาจลบเลือนได้ ทุกฉากดั่งภาพฝัน

ทว่าหลังตื่นจากฝันก็ยังต้องเผชิญกับโลกความเป็นจริง ฉินเหมียนรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว เกรงว่าคงต้องเผชิญปัญหาวุ่นวายแน่

ทันใดนั้นเอง ซูจ้าวพลันมีสีหน้าตื่นตะลึง คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ในเมื่อฉินเหมียนทราบเรื่องแล้วยังจะปล่อยอันไท่ผิงจากไปอย่างนั้นหรือ?

ดวงตานางฉายแววหวาดหวั่นเล็กน้อย รีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป

นางวิ่งออกมาด้วยสภาพปล่อยผมยาวสยาย พอพบตัวลูกน้องคนหนึ่งก็รีบเอ่ยถาม “ฉินเหมียนไปไหนแล้ว?”

ลูกน้องค่อนข้างแปลกใจที่นางอยู่ในสภาพแต่งตัวไม่เรียบร้อย ทว่าชี้ยังไปทิศทางหนึ่ง “ไปทางห้องมืดขอรับ!”

พอได้ยินคำว่าห้องมืด ซูจ้าวก็ยิ่งหวั่นวิตก รีบมุ่งหน้าไปด้วยความร้อนใจ

ภายในห้องมืด แสงตะเกียงหรี่สลัว หยวนกังที่สลบอยู่ถูกมัดไว้บนแท่นทรมาน

ฉินเหมียนเดินออกมาจากเงามืด ยืนอยู่เบื้องหน้าหยวนกัง จ้องมองหยวนกังที่อยู่ในสภาพหมดสติอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นมือไปบีบปลายคางหยวนกัง ง้างเปิดปากของหยวนกัง มืออีกข้างที่ถือยาสีแดงเม็ดหนึ่งไว้ดีดมันเข้าไปในปากหยวนกัง จากนั้นใช้พลังส่งยาลงไปยังกระเพาะของหยวนกัง อีกทั้งใช้พลังช่วยละลายยาภายในร่างเขา…

ปัง! ซูจ้าวผลักเปิดประตูบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว เห็นหยวนกังถูกมัดไว้โดยที่สลบอยู่ แล้วก็มองเห็นการกระทำของฉินเหมียน

ฉินเหมียนหันกลับมามองนาง ฝ่ามือข้างนั้นยังคงทาบอยู่บนร่างหยวนกัง

“ปล่อยเขาซะ!” ซูจ้าวพุ่งเข้ามา ผลักฉินเหมียนออกไป จากนั้นก็ตรวจสอบร่างกายของหยวนกังอย่างรวดเร็ว แต่ไม่พบจุดผิดปกติใด นางหันขวับไปจ้องมองฉินเหมียนอย่างเยียบเย็น “เจ้าทำอะไรกับเขา?”

ฉินเหมียนตอบว่า “โอสถเทพระทมที่ท่านไป๋มอบให้เม็ดนั้น ข้าป้อนให้เขาไปแล้ว!”

“นังแพศยาสมควรตาย!” ซูจ้าวตวาดด่าเสียงกร้าว ตอนนี้ไม่มีเวลามาเอาความกับนางแล้ว นางทาบฝ่ามือลงบนหน้าท้องหยวนกัง เตรียมจะโคจรลมปราณกระตุ้นให้หยวนกังสำรอกออกมา

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ท่านมาช้าไปเสียแล้ว ข้าช่วยละลายยาให้เขาไปแล้ว!”

………………………………………………………………

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท