ตอนที่ 358 ดั้นด้นเดินทางมาเพื่อกราบอาจารย์
ภายในวังหลวง เฮ่าอวิ๋นถูกตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ
ปู้สวินถือกล่องอาหารใบหนึ่งเดินเข้ามา เดินมาหยุดด้านข้าง จากนั้นยกของว่างในกล่องอาหารมาจัดวางบนโต๊ะเล็กด้านข้าง เอ่ยแจ้งเล็กน้อย “ฮองเฮาทรงลงมือทำด้วยตัวเองเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูตอบรับคำหนึ่ง หันไปมองของว่างนั้นพลางยื่นมือไปหยิบชิ้นหนึ่งใส่ปาก
กระทั่งเขากลืนลงไปแล้ว ปู้สวินก็ยกน้ำชาส่งให้เขาพลางรอรับถ้วยกลับมา จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์อวี้ชางใกล้จะมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพฮูเหยียนออกไปรอต้อนรับที่ประตูเมืองทักษิณด้วยตัวเองแล้ว”
เฮ่าอวิ๋นถูพยักหน้ารับนิดๆ “ฮูเหยียนเคยได้รับคำชี้แนะจากเขา อวี้ชางก็ถือได้ว่าเป็นกึ่งอาจารย์ของฮูเหยียน ศิษย์ไปรอรับที่ประตูเมืองก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว…” พอพูดมาถึงตรงนี้ก็คล้ายจะนึกอะไรได้ ค่อยๆ หันไปมอง “ชิงชิงทำอะไรอยู่?”
ปู้สวินไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ เขาถึงนึกถึงเฮ่าชิงชิงขึ้นมา แต่ก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ฮองเฮาทรงให้องค์หญิงใหญ่ปักผ้าอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ปักผ้า? นางปักผ้า?” เห็นได้ชัดว่าเฮ่าอวิ๋นถูรู้จักธิดาของตนคนนี้ดี จึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เข็มจะปักนางมากกว่าน่ะสิ!”
ปู้สวินกล่าวว่า “เช้านี้องค์หญิงใหญ่คิดจะหนีออกจากวังไปหาหนิวโหย่วเต้าอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ถูกฮองเฮาจับตัวกลับไปทำโทษ”
“ที่แท้ก็เป็นการทำโทษ สาวน้อยคนนี้ถูกเราตามใจจนเสียนิสัย ไม่รู้ว่าสามีในอนาคตของนางจะรักถนอมนางได้เท่าเราหรือไม่ เฮ่าอวิ๋นถูกส่ายหน้า จากนั้นถามขึ้นมาอีกครั้ง” ตรวจสอบทิศทางของหนิวโหย่วเต้าได้หรือยัง?
ปู้สวินตอบว่า “ตรวจสอบได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ มีการผลัดเปลี่ยนพาหนะจากลานม้าหลายแห่ง คนของหน่วยข่าวกรองที่อยู่ในลานม้าสังเกตการณ์อย่างละเอียดแล้ว น่าจะเป็นพวกหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ที่ปลอมตัวมา ทั้งกลุ่มมีห้าคนมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกตลอดทางพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูถาม “ลิ่งหูชิวคนนั้นยังไม่ยอมสารภาพหรือ?”
ปู้สวินตอบว่า “กัดหนิวโหย่วเต้าไม่ยอมปล่อยเลยพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าต้องให้หนิวโหย่วเต้าไปพบเขาเท่านั้น เขาถึงจะยอมพูด ดูเหมือนจะแค้นใจหนิวโหย่วเต้าอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮ่าๆ พี่น้องร่วมสาบาน!” เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยด้วยสีหน้าถากถาง “ไม่ต้องรีบ ค่อยเป็นค่อยไป ข้าก็อยากจะเห็นเช่นกันว่ามีคนของหอจันทร์กระจ่างอยู่ใกล้ตัวหรือไม่”
ปู้สวินเอ่ยว่า “บ่าววางกับดักไว้คอยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าจะมาเพื่อฆ่าปิดปากหรือว่ามาเพื่อช่วยเหลือเขา ขอเพียงปรากฏตัวออกมาก็ไม่มีทางหนีรอดพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าหวังให้ข้างัดข้อกับหอจันทร์กระจ่างกันนะ?”
ปู้สวินตอบว่า “เกรงว่าคงคิดเช่นนี้จริงๆ คนผู้นี้เจ้าเล่ห์มากพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเล่ห์หน่อยก็ดี หากว่าข้างกายซางเฉาจงมีแต่พวกคนไร้ความสามารถ ม้าศึกของข้าคงเสียเปล่าแล้ว…”
….
ณ ประตูเมืองทิศใต้ บนกำแพงเมือง ฉาหู่ทอดสายตามองออกไป หลังจากมองเห็นรถม้าขบวนหนึ่งปรากฏขึ้นไกลๆ เขาก็ส่งสัญญาณมือให้ท่านแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างทันที
พอได้รับคำสั่ง ทหารม้าก็พุ่งออกมาจากเมือง เข้าควบคุมการเข้าออกของประตูเมืองทิศใต้ทันที ห้ามมิให้ผู้ใดผ่านเข้าออก
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเดินลงมาจากปราการ มีฉาหู่เป็นผู้ติดตาม รวมถึงมียอดฝีมือจากสามสำนักคอยให้การคุ้มกัน เขาลงจากกำแพงเมืองแล้วเดินออกไปนอกเมือง คอยขบวนม้าที่เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาอย่างสงบ
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงก็หยุดนิ่งลง ม่านของรถม้าคันแรกถูกเลิกเปิดไว้ เผยให้เห็นอาจารย์อวี้ชางที่นั่งอยู่ด้านใน
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นประสานมือคำนับ “คารวะอาจารย์อวี้ชาง”
อาจารย์อวี้ชางที่อยู่ในรถม้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพเกรงใจกันเกินไปแล้ว มิสู้ขึ้นมาคุยกันบนรถม้าเถิด!”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นขึ้นรถม้าไปทันที ฝ่ายฉาหู่โบกมือเล็กน้อย ทั้งกลุ่มปีนขึ้นหลังม้า คนที่มากับอาจารย์อวี้ชางถอยลงไปอยู่ด้านหลัง ส่วนคนทางนี้ก็เข้ารับหน้าที่คุ้มกันรถม้าคันนี้แทน
ขบวนรถม้าเคลื่อนที่อีกครั้ง ค่อยๆ เข้าเมืองไป
ภายในรถม้า อวี้ชางและฮูเหยียนอู๋เฮิ่นนั่งข้างกัน มองสภาพในตัวเมืองนอกหน้าต่าง หลังจากพูดคุยกันตามมารยาทเล็กน้อย ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก็ถามขึ้นมาว่า “ท่านอาจารย์มีที่พักในเมืองหรือไม่? ศิษย์ได้จัดเตรียมโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลวงไว้ให้แล้ว หากว่าท่านอาจารย์ไม่รังเกียจ…”
อวี้ชางยกมือปรามพลางเอ่ยขัดว่า “ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านแม่ทัพเลย ข้าซื้อที่พักแห่งหนึ่งในเมืองนี้ไว้แล้ว”
ทั้งสองพูดคุยรำลึกความหลัง ยามที่ขบวนรถม้าเคลื่อนมาจอดนอกสวนไม้เลื้อย ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นถึงได้ทราบว่าที่พักที่อาจารย์อวี้ชางซื้อไว้ก็คือสวนไม้เลื้อย อวี้ชางส่งคนมาเก็บกวาดไว้เรียบร้อยล่วงหน้าแล้ว สามารถเข้าพักได้ทันที
“เข้าไปนั่งเล่นสักหน่อยหรือไม่?” อวี้ชางเชิญชวนเล็กน้อย
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยังคงปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ลงจากรถม้าคันนี้ไป
อวี้ชางเพียงยิ้มให้ ไม่พูดอะไร และไม่ฝืนบังคับ ทราบดีว่าทุกคนล้วนมีความลำบากใจส่วนตัว ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นไปต้อนรับเขาอย่างเปิดเผยได้ และสามารถสนทนากันอย่างเปิดเผยได้ แต่ไม่มีทางพบหน้าพูดคุยกับเขาแบบส่วนตัว ถึงอย่างไรฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก็เป็นแม่ทัพบัญชาการที่กุมอำนาจทหารแคว้นฉีไว้ แต่ศิษย์บางส่วนของอวี้ชางกลับเป็นศัตรูของแคว้นฉี
กระทั่งฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจากไป ขบวนม้าก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ด้านในของสวนไม้เลื้อย
หลังจากเข้ามาในสวน รถม้าคันแรกจอดแอบด้านข้าง อวี้ชางลงจากรถม้า ยืนอยู่ริมทางประสานมือค้อมตัว สายตามองตามรถม้าอีกสี่คันเคลื่อนตัวเข้าสู่เรือนหลัก หรือก็ที่พักเก่าของก่วนฟางอี๋นายหญิงคนก่อนหน้าของสวนแห่งนี้
กระทั่งรถม้าทั้งสี่คันออกห่างไปแล้ว อวี้ชางจึงยืดตัวขึ้นมา เดินเล่นอยู่ภายในสวนไม้เลื้อยรอบหนึ่ง ชื่นชมสภาพแวดล้อมสงบงดงามภายในสวน อดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “เป็นสถานที่ที่ดี สิ้นเปลืองความคิดไปไม่น้อยเลยทีเดียว หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีคนนี้นับว่าเป็นคนที่รู้จักเสพสุขคนหนึ่ง ขายสถานที่เช่นนี้ไปค่อนข้างน่าเสียดายจริงๆ”
กัวสิงซานศิษย์ของเขาที่ติดตามอยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คาดว่านางก็คงไม่เต็มใจขายเช่นกันขอรับ”
ขณะที่ทางนี้กำลังเดินเล่นชมสวนอยู่ พลันมีคนจากด้านนอกเข้ามารายงาน บอกว่าทางวังหลวงส่งคนมา องค์ฮ่องเต่เฮ่าอวิ๋นถูจะจัดงานเลี้ยงขึ้นในวัง ซานเชียนหลี่เจ้าสำนักมหาบรรพต เป่ยเสวียนเจ้าสำนักศาสตราลึกล้ำและอวี่เหวินเยียนเจ้าสำนักเพลิงนภาก็อยู่ในวังด้วย
สถานการณ์เช่นนี้อวี้ชางไม่อาจปฏิเสธได้ หากไม่ไปก็เท่ากับไม่ไว้หน้า ดังนั้นจึงพาศิษย์สองคนออกจากสวนไม้เลื้อย มุ่งหน้าไปยังวังหลวง
มีคนมารอต้อนรับอยู่หน้าประตูวังนานแล้ว ผู้ดูแลหลวงปู้สวินมารอรับแขกที่ประตูหน้าด้วยตัวเอง ย่อมต้องผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่นตลอดทาง
องค์ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงขึ้นภายในอุทยานหลวง ศิษย์ของอวี้ชางหยุดรออยู่ใต้หอที่งามวิจิตร มีเพียงอวี้ชางที่เดินตามปู้สวินขึ้นไปด้านบน
บนหอสูงมีศิษย์จากสามสำนักใหญ่คุ้มกันหนาแน่นชั้นแล้วชั้นเล่า
ณ ชั้นบนสุดซึ่งสามารถชื่นชมบรรยากาศและทิวทัศน์ของเมืองหลวงได้ทั่ว แขกและเจ้าบ้านได้พบหน้ากัน
“ฝ่าบาท เชียนหลี่ซยง เป่ยเสวียนซยง อวี่เหวินซยง!”
“อาจารย์อวี้ชาง อวี้ชางซยง อวี้ชางซยง อวี้ชางซยง!”
ทั้งสองฝ่ายทักทายกันแล้วนั่งลง มีเบาะจัดวางบนพื้น โต๊ะยาวห้าตัวเรียงล้อมกันเป็นวงกลมเสมอกัน ไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำ เฮ่าอวิ๋นถูในชุดลำลองโบกมือสั่งให้คนยกสุราอาหารขึ้นโต๊ะ
จากนั้นคนที่ไม่มีหน้าที่อันใดก็ถอยออกไป เหลือเพียงปู้สวินที่คอยดูแลเรื่องสุราอาหารเพียงคนเดียว หากต้องการสิ่งใดปู้สวินก็จะเรียกให้ข้ารับใช้ไปยกเข้ามาให้
หลังจากพูดจาตามพิธีรีตองไปเล็กน้อย ซานเชียนหลี่เจ้าสำนักมหาบรรพตเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าอวี้ชางซยงซื้อสวนไม้เลื้อยไว้อย่างนั้นหรือ?”
อวี้ชางกล่าวว่า “ได้ยินว่าสวนแห่งนั้นไม่เลวเลย บังเอิญปล่อยขายพอดี ข้าจึงซื้อเอาไว้ ก่อนที่จะเดินทางมา เดิมทีก็คิดอยากไปพบคนที่สวนไม้เลื้อยอยู่เช่นกัน ใครจะไปคิดว่าจะพบแต่ความว่างเปล่า น่าเสียดายจริงๆ!”
สี่คนที่เหลือสบตากันเล็กน้อย ล้วนรู้สึกแปลกใจ ซานเชียนหลี่เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “อวี้ชางซยงต้องการพบผู้ใดหรือ?”
อวี้ชางตอบว่า “หนิวโหย่วเต้า! ขอกล่าวกับทุกท่านตามตรง ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็เพราะหนิวโหย่วเต้า ไม่คิดเลยว่าพอข้ามาถึง เขาก็ไปเสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆ”
อีกสี่คนแปลกใจยิ่งกว่าเดิม อวี่เหวินเยียนเอ่ยว่า “ถึงแม้หนิวโหย่วเต้าจะโด่งดัง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นที่ทำให้พี่อวี้ชางต้องดั้นด้นมาพบหน้ากระมัง?”
อวี้ชางถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ก็ไม่ใช่ข้าที่อยากพบหรอก แต่เป็นน้องสะใภ้ของบ้านข้าที่อยากพบเขา ต้องการให้หลานชายคนนั้นของข้ากราบหนิวโหย่วเต้าเป็นอาจารย์!”
ทั้งสี่นึกแปลกใจอีกครั้ง ย่อมทราบเช่นกันว่าน้องสะใภ้ที่เขาเอ่ยถึงคือผู้ใด
เฮ่าอวิ๋นถูหันกลับไปมองปู้สวิน เห็นปู้สวินส่ายหน้านิดๆ สื่อว่าไม่ทราบเรื่อง เขาจึงถามด้วยความฉงน “ท่านอาจารย์นับเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ ใต้หล้านี้มีคนมากมายที่อยากกราบท่านเป็นอาจารย์ มีความรู้ใดบ้างที่ท่านจะไม่สามารถประสิทธิ์ประสาทให้หลานชายได้ จำเป็นต้องกราบหนิวโหย่วเต้าเป็นอาจารย์ด้วยหรือ?”
อวี้ชางโยกมือพลางเอ่ยว่า “วาจานี้ของฝ่าบาทกล่าวผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ภาษิตกล่าวไว้ว่าสามคนดินผ่านมาย่อมมีสักคนที่สั่งสอนเราได้ หนิวโหย่วเต้าเชี่ยวชาญด้านกาพย์กลอน น้องสะใภ้ของบ้านกระหม่อมชื่นชมบทกลอนของเขาอย่างยิ่ง กระหม่อมเองก็รู้ว่าตนสู้ไม่ได้เช่นกัน ในด้านกาพย์กลอนหนิวโหย่วเต้ามีความสามารถเพียงพอจะเป็นอาจารย์ให้หลานชายกระหม่อมได้ ในฐานะมารดาย่อมปรารถนาให้บุตรได้พบอาจารย์ดี ความรู้สึกนี้พอจะเข้าใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสี่คนราวกับได้ฟังนิทานอภินิหารก็มิปาน เป่ยเสวียนเอ่ยด้วยความสงสัย “หนิวโหย่วเต้าอายุยังน้อย บอกว่าเชี่ยวชาญกาพย์กลอนเกรงว่าจะกล่าวเกินจริงหรือเปล่า โปรดอภัยให้ความโลกแคบไม่รู้ความของข้าด้วย เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินผลงานการประพันธ์ของเขาเลย?”
“ฮ่าๆ!” อวี้ชางเชิดหน้าหัวเราะออกมา ยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้นมาเอ่ยพึมพำกับจอกสุรา “อารามท้องามงดในดงท้อ เซียนดอกท้อพักกายมิใฝ่ฝัน หวังเพียงได้เร้นกายใต้แสงจันทร์ ทุกคืนวันเก็บดอกท้อแลกสุรา ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา ประเดี๋ยวเมาประเดี๋ยวสร่างลืมเวลา ผกาผลิร่วงโรยราไปตามปี ใจเฝ้าหวังเมาสิ้นกลางหมู่ไม้ มิขอโค้งโน้มกายหน้าเสฎฐี…”
เขาร่ายกลอนดอกท้อบทนั้นของหนิวโหย่วเต้าออกมาต่อหน้าทุกคน
หลังจากท่องจบก็ถามทุกคนไปว่า “ทุกท่านรู้สึกว่ากลอนบทนี้เป็นเช่นใดเล่า?”
ทุกคนจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด
เฮ่าอวิ๋นถูได้สติกลับมาเป็นคนแรก เอ่ยถามออกไป “หนิวโหย่วเต้าแต่งกลอนบทนี้หรือ?”
อวี้ชางยิ้มแต่ไม่ตอบ ยกสุราดื่มรวดเดียวหมดจอก หยิบกามารินเติมสุรา จากนั้นก็ร่ายกลอนอีกบทออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบๆ “ธาราไหลเชี่ยวสู่บูรพา เสมือนดั่งเหล่าผู้กล้าลาจากหาย เฝ้าถกเถียงชอบชั่วมิวางวาย สุดท้ายล้วนว่างเปล่าไม่จีรัง มีเพียงขุนเขาคีรียังคงอยู่ สุริยงคอยเปล่งแสงมิแปรผัน คงโดดเดี่ยวอยู่ริมน้ำทุกคืนวัน เฝ้ามองดูกาลผันเปลี่ยนจนชาชิน ได้พบเจอเพื่อนยากยากพานพบ มือยกจอกร่ำสุราใจสุขสันต์ ทุกเรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบัน ล้วนฝังตรึงอยู่ในใจของผู้คน!”
พอกลอนบทนี้ขับขานออกมา ทุกคนในงานเลี้ยงล้วนรู้สึกชื่นชม
ซานเชียนหลี่ตบโต๊ะร้องขึ้นว่า “เยี่ยม! ธาราไหลเชี่ยวสู่บูรพา เสมือนดั่งเหล่าผู้กล้าลาจากหาย!”
เป่ยเสวียนส่ายหน้าโคลงศีรษะเล็กน้อย “มีเพียงขุนเขาคีรียังคงอยู่ สุริยงคอยเปล่งแสงมิแปรผัน…”
อวี่เหวินเยียนหรี่ตาท่องต่อว่า “คงโดดเดี่ยวอยู่ริมน้ำทุกคืนวัน เฝ้ามองดูกาลผันเปลี่ยนจนชาชิน ยอดเยี่ยม นี่คือความเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรา!”
“ธาราไหลเชี่ยวสู่บูรพา…” เฮ่าอวิ๋นถูพึมพำอย่างดื่มด่ำ
อวี้ชางยกจอกขึ้นมาเชิญทุกคนร่วมดื่มด้วยกัน
ทุกคนยกจอกขึ้นชนเล็กน้อย จากนั้นวางจอกสุราลง เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “เป็นกลอนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เพียงแต่ฟังดูเศร้าสร้อยเกินไปหน่อย อาจารย์อวี้ นี่คือบทประพันธ์ของหนิวโหย่วเต้าทั้งหมดหรือ?”
อวี้ชางพยักหน้ารับ “ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบมาเพียงสองบทนี้ ส่วนเขายังมีผลงานอื่นอีกหรือไม่ กระหม่อมก็ไม่อาจทราบได้ แต่เพียงแค่นี้ก็รู้ได้ถึงความสามารถของเขาแล้ว มีพื้นฐานเช่นนี้ ความสามารถยอดไม่ธรรมดาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
ซานเชียนหลี่จุ๊ปากพลางเอ่ยไปว่า “มิน่าเล่าจงฮูหยินถึงยอมดั้นด้นเดินทางไกลโดยไม่เสียดายเวลาเพื่อให้บุตรชายมากราบเขาเป็นอาจารย์ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าคนนี้จะเก็บงำความสามารถเอาไว้ไม่เผยออกมา หากรู้แต่แรก คงจะเรียกมาทำความรู้จักสักหน่อย!”
เฮ่าอวิ๋นถูลูบเคราตรงปลายคาง เกิดความคิดขึ้นมาในใจเช่นกัน หรือจะเชิญมาเป็นอาจารย์ให้ลูกหลานของตนดี?
“น้องสะใภ้ของข้าเดินทางรอนแรมมาไกล แต่ครั้งนี้กลับพลาดไปเสียแล้ว หากอยากพบอีกเกรงว่าไม่รู้ต้องรอไปถึงเมื่อไร” อวี้ชางถอนหายใจ พลันมองไปที่เฮ่าอวิ๋นถูแล้วเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้าไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ สามารถบอกจุดหมายปลายทางแก่กระหม่อมได้หรือไม่?”
เฮ่าอวิ๋นถูหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยตอบว่า “ได้ยินว่าพาหงเหนียงคนนั้นหนีตามกันไปแล้ว ส่วนจะไปที่ใด ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน คาดว่าคงกลับไปยังแคว้นเยี่ยนแล้วกระมัง”
อวี้ชางมองไปที่ปู้สวิน เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม “วาจานี้ของฝ่าบาทเกรงว่าคงไม่ได้มาจากใจจริงนะพ่ะย่ะค่ะ! ในเขตพื้นที่แคว้นฉีแห่งนี้ ขอเพียงเป็นเป้าหมายที่หน่วยข่าวกรองต้องการตัว เกรงว่าคงตามหาได้ไม่ยากเย็น ขึ้นอยู่กับว่าฝ่าบาทจะทรงมีพระประสงค์เช่นนั้นหรือไม่”
ความหมายในวาจาคล้ายกำลังบอกว่าท่านจะไว้หน้าข้าหรือไม่
ปู้สวินก้มหน้าไม่ปริปาก เฮ่าอวิ๋นถูหัวเราะฮ่าๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นไป เอ่ยถามว่า “ได้ยินว่าตอนท่านอาจารย์เข้าเมืองมา แม่ทัพฮูเหยียนไปต้อนรับด้วยตัวเองเลยหรือ”
อวี้ชางตอบว่า “ท่านแม่ทัพให้เกียรติเกินไปแล้ว”
“เฮ้อ!” เฮ่าอวิ๋นถูโบกมือเอ่ยไปว่า “อาจารย์เคยชี้แนะแม่ทัพฮูเหยียน แม่ทัพไปต้อนรับตามมารยาทในฐานะผู้เป็นศิษย์ก็สมควรแล้ว พอเอ่ยถึงแม่ทัพฮูเหยียน ข้าก็ปวดหัวกับเรื่องของเด็กน้อยสองบ้านเหลือเกิน อาจารย์มาได้จังหวะพอดี ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง”
………………………………………………………………