ตอนที่ 361 วางเพลิงพื้นที่เลี้ยงสัตว์
ก่วนฟางอี๋เข้าใจความคิดของเขา นางถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าล่วงเกินเฮ่าอวงิ๋นถูเข้าแล้ว เจ้าจะออกจากแคว้นฉีไปได้อย่างปลอดภัยหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าย้อนถามเช่นกันว่า “แล้วเจ้าคิดว่าสำนักหยกสวรรค์อันเป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ของแคว้นเยี่ยนจะไร้ประโยชน์หรือ? เข้าคิดว่ากลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ภายในแคว้นเยี่ยนจะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเพียรของแคว้นอื่นเข้ามาทำตามอำเภอใจได้หรือ? อาณาเขตของแต่ละแคว้นคือขอบเขตผลประโยชน์ที่กลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ในโลกบำเพ็ญเพียรขีดเส้นแบ่งแยกไว้!”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “เรื่องที่เจ้าว่ามาข้าเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ด้วยว่าหากเฮ่าอวิ๋นถูต้องการกดดันสำนักหยกสวรรค์ขั้นมาจริงๆ ล่ะก็ มันก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่สำนักหยกสวรรค์จะลงมือกับเจ้า ด้วยอิทธิพลของเฮ่าอวิ๋นถูเขาทำได้แน่นอน!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “เจ้าคิดว่าข้าใช้ชีวิตเที่ยวเล่นชมธรรมชาติอยู่ในจังหวัดชิงซานเฉยๆ หรือไร? เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดข้าถึงเสี่ยงชีวิตมาที่นี่เพื่ออนาคตของสองจังหวัดเล่า? ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ ที่ยึดจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้มาได้ล้วนเป็นเพราะข้า!” เขาชี้เข้าหาจมูกตัวเอง ความหมายในวาจาคือหากสำนักหยกสวรรค์กล้าหาเรื่องข้า สองจังหวัดนี้ก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมของสำนักหยกสวรรค์
ก่วนฟางอี๋ประหลาดใจ นางเอ่ยถามไปว่า “เจ้ามีอิทธิพลต่อซางเฉาจงมากขนาดนี้เชียวหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เจ้าคิดว่าด้วยกำลังของซางเฉาจงในยามนี้จะหลุดพ้นจากการควบคุมของสำนักหยกสวรรค์ได้หรือ?”
“เช่นนั้นความหมายของเจ้าคือ?”
“ข้าหมายความว่าอย่างไรไม่สำคัญ ประเด็นสำคัญคือหากเจ้าไปถึงจังหวัดชิงซาน ข้าก็สามารถรับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้!”
“รับประกันความปลอดภัยของข้าหรือ? เฮ่าอวิ๋นถูมีอิทธิพลต่อราชสำนักแคว้นเยี่ยนแน่นอน ขอเพียงเฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยปาก เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสำคัญมากพอให้ราชสำนักแคว้นเยี่ยนยอมหักหน้าเฮ่าอวิ๋นถูหรือ? หากว่าแคว้นฉีให้การสนับสนุนความมั่นคงของแคว้นอื่นๆ เจ้าคิดว่าราชสำนักแคว้นเยี่ยนจะไม่กล้าเข้าโจมตีจังหวัดชิงซานหรือ?”
“เจ้าไปกันใหญ่แล้ว อีกทั้งออกทะเลไปไกลด้วย เฮ่าอวิ๋นถูไม่ทำอะไรวุ่นวายใหญ่โตขนาดนั้นเพื่อข้าเพียงคนเดียวหรอก สำหรับคนเขาแล้วมันไม่คุ้มค่า! เอาเป็นว่าเจ้าวางใจเถอะ หากข้าไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ข้าก็ไม่มีทางไปซ่อนตัวอยู่ในจังหวัดชิงซานหรอก”
“เหตุผลล่ะ!”
“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ภายหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยบ่ายเบี่ยงอย่างขอไปที
ตอนนี้เขาไม่มีทางบอกนางว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานและไห่หรูเยวี่ยได้ถูกเขาลากเข้ามาเกี่ยวพันโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนนี้เขายังบอกนางไม่ได้ว่าเขามีอิทธิพลต่อมณฑลจินโจวแห่งแคว้นจ้าวอยู่ ไม่ว่าจะราชสำนักแคว้นเยี่ยนหรือว่าสำนักหยกสวรรค์ หากฝ่ายใดกล้าบีบคั้นจนเขาไม่อาจตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดชิงซาน หรือว่าบีบคั้นจนเขาหมดหนทางรอด มณฑลจินโจวก็ทำได้เพียงต้องสู้ตายเพื่อปกป้องชีวิตเขาเอาไว้ เมื่อถึงเวลานั้นกระทั่งแคว้นจ้าวก็จะวุ่นวายขึ้นมาเช่นกัน!
ราชสำนักแคว้นเยี่ยนต้องใคร่ครวญถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหากมณฑลจินโจวส่งกองทัพมารุกราน สำนักหยกสวรรค์ต้องใคร่ครวญถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหากแตกหักกับพันธมิตรทรงอำนาจที่อยู่ติดกับจังหวัดชิงซาน!
แต่แน่นอน ตอนนี้วังสวรรค์หมื่นวิมานและไห่หรูเยวี่ยล้วนยังไม่ทราบเรื่องราว เรื่องนี้หากไม่เข้าตาจนจริงๆ หนิวโหย่วเต้าก็ไม่มีทางเผยออกไป!
ตอนนี้เขาเพียงต้องการปลอบขวัญก่วนฟางอี๋เท่านั้น แม้แต่คำว่าขัดรับสั่งก็ยังเอ่ยออกมา เห็นได้ชัดว่าในใจของก่วนฟางอี๋เต็มไปด้วยความกังวล!
“อีกอย่าง นี่จะนับเป็นการขัดรับสั่งได้อย่างไร? ราชโองการอยู่ที่ไหน?” หนิวโหย่วเต้ายื่นมือออกมากวักขอ
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “เจ้ารู้แก่ใจดี! ในเมื่อรู้ถึงร่องรอยของเจ้า เช่นนั้นก็น่าจะเป็นคนของหน่วยข่าวกรองจริงๆ และคนของหน่วยข่าวกรองก็ไม่มีทางปลอมรับสั่งขึ้นมาได้!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้! จู่ๆ ใครก็ไม่รู้มาบอกว่ามีรับสั่ง ข้าก็ต้องเชื่อหรือ? มีสิทธิ์อะไร? ข้าว่าน่าจะเป็นการแอบอ้างมากกว่า!”
ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ แถกันหน้าด้านๆ แบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องได้หรือ?
“ต้องรีบออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ตัวเขาค่อยๆ หมุนตัวกลับไป มองไปตรงปากทางเข้า จ้องมองคนของหน่วยข่าวกรองที่จับตามองมาทางนี้อยู่เป็นระยะพลางเอ่ยเนิบๆ ว่า “ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนของหอจันทร์กระจ่างแทรกซึมอยู่ในหน่วยข่าวกรองหรือเปล่า! ในเวลานี้นอกจากพวกเราแล้ว ข้าไม่เชื่อใจผู้ใดทั้งสิ้น ข้าไม่มีทางนำชีวิตไปฝากไว้ในมือของผู้อื่น! อย่าว่าแต่ฮ่องเต้แคว้นฉีเลย ต่อให้เป็นบัญชาจากเทพสวรรค์ ข้าก็ไม่มีทางสนใจเขา!”
เรื่องราวที่เกี่ยวพันถึงคันฉ่องแห่งซาง ตอนนี้เขายังไม่สามารถบอกเล่าต่อนางได้ ในที่สุดเรื่องราวเกี่ยวกับลิ่งหูชิวที่คลุมเครือมานานขนาดนี้ก็ถูกเปิดเผยแล้ว ในใจเขาทราบดีว่าครั้งนี้หอจันทร์กระจ่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าต้องจัดการเขาให้ได้ ย้อนกลับไปยังเมืองหลวงแคว้นฉีอย่างนั้นหรือ? น่าขันสิ้นดี! มาแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้เขายิ่งต้องเร่งหลบหนีไปต่างหาก!
ก่วนฟางอี๋เงียบไป จำต้องยอมรับเลยว่าการตัดสินใจของหนิวโหย่วเต้าฟังดูสมเหตุสมผลอยู่
…..
ภายในกระโจม หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่เบื้องหน้าแผนที่ จ้องมองอยู่นาน
ก่วนฟางอี๋เดินกลับไปกลับมาอยู่ด้านข้าง
เสิ่นชิวคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก
ม่านกระโจมเลิกเปิด ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วเดินเข้ามา ก่วนฟางอี๋ถามทันที “สถานการณ์เป็นอย่างไร?”
สวี่เหล่าลิ่วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ไปลองหยั่งเชิงมาแล้ว แล้วก็ตรวจสอบสถานที่แห่งนี้จนทั่วแล้ว ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่เลย!”
ก่วนฟางอี๋มองไปที่หนิวโหย่วเต้าทันที เอ่ยถามเขา “จะเอาอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยโดยไม่หันกลับไป “เสิ่นชิว! ”
เสิ่นชิวเปิดกระโจมมุดเข้ามา เดินมาหยุดตรงหน้า “ขอรับเต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้าสอบถาม “รู้หรือไม่ว่าเรือจะไปรอพวกเราที่ใด?”
เสินชิวส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ เจ้าสำนักบอกเพียงว่าเรือจะคอยพวกเราอยู่ที่จุดนัดพบ”
เขาไม่ทราบจริงๆ จุดนับพบที่ว่าเป็นสถานที่รวมตัวที่เฮยหมู่ตาน กงซุนปู้และหนิวโหย่วเต้าตกลงกันเอาไว้ ในจดหมายก็เอ่ยเพียงว่า ‘จุดนัดพบ’ ไม่ได้บอกรายละเอียดอื่นใดให้ทราบว่าเป็นที่ไหน
ตอนนี้หลังจากขบวนเรือแล่นย้อนกลับมา เรือส่วนใหญ่ก็ได้พ้นจากน่านน้ำแคว้นฉีไปแล้ว เหลือเรือเพียงลำเดียวที่ไปรอรับพวกหนิวโหย่วเต้าที่จุดนัดพบลับตามที่ตกลงกันไว้
“ลุงเฉิน สวี่เหล่าลิ่ว” หนิวโหย่วเต้าเรียกทั้งสองคนเข้ามา ชี้ไปยังตำแหน่งที่ทุกคนอยู่ในขณะนี้บนแผนที่อย่างคร่าวๆ ลากนิ้วอ้อมวนพลางเอ่ยว่า “พวกเราอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวพวกเจ้าสองคนกับเสิ่นชิวไปด้วยกัน เปลี่ยนเส้นทาง ให้เดินทางอ้อมไป อ้อมไปจนเข้าเขตแคว้นจิ้น แล้วไปเจอพวกเราที่เกาะที่อยู่ในน่านน้ำแคว้นจิ้นเกาะนี้”
ทั้งสามคนสบตากันเล็กน้อย ก่วนฟางอี๋ถามทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ในเวลานี้ ต้องคิดเสียว่าเราถูกจับได้แล้ว จำเป็นต้องเตรียมตัวเผื่อไว้สำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากมีคนคิดจะจัดการพวกเรา พวกเขาก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเรามีกันกี่คน หากไปพร้อมกันห้าคนจะสะดุดตาเกินไป จำเป็นต้องแยกทางกันไป หากเกิดเรื่องขึ้นจะมีโอกาสรอดมากกว่า ไม่ถึงกับตายพร้อมกันหมด!”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้าคิดจะใช้พวกเขาเป็นเหยื่อล่อหรือ? ข้าไม่เห็นด้วย!”
หนิวโหย่วเต้าหันขวับกลับมา จ้องนางพลางเอ่ยเสียงเข้ม “แยกกันเดินทางสองกลุ่ม ไม่มีผู้ใดเป็นเหยื่อล่อทั้งนั้น หากจะบอกว่าเป็นเหยื่อล่อ เช่นนั้นก็เป็นเหยื่อล่อกันทั้งสองกลุ่ม หากมีคนประสงค์ร้ายต่อพวกเราจริง ขอเพียงมิใช่คนโง่ก็ย่อมต้องรู้ว่าพวกเราคิดจะออกทะเล การมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งทะเลเลยกลับเป็นวิธีที่อันตรายที่สุด ต้องเดินทางอ้อมไปถึงจะปลอดภัยกว่า! หากว่าเจ้าไม่เห็นด้วย อย่างนั้นพวกเราสองคนก็อ้อมไป แล้วให้พวกเขามุ่งหน้าไปยังชายฝั่งเลย!”
ก่วนฟางอี๋เบะปากเล็กน้อย เบือนหน้าหนีไม่เถียงต่อ แปลว่านางเชื่อคำพูดของหนิวโหย่วเต้าแล้ว
ประการแรกเป็นเพราะคำพูดของหนิวโหย่วเต้าค่อนข้างมีเหตุผล ประการที่สองเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้าเคยทำเช่นนี้มาก่อน เขาเคยให้คนใกล้ตัวหนีรอดจากอันตรายไป แต่ตนกลับอยู่เผชิญอันตรายเอง
สวี่เหล่าลิ่วสอดปากเอ่ยขึ้นมา “พี่ใหญ่ เต้าเหยี่ยพูดมีเหตุผล เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกข้าจะมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งทะเล ส่วนท่านกับเต้าเหยี่ยอ้อมไป!”
“ไม่ได้!” ก่วนฟางอี๋นึกเสียใจขึ้นมาแล้ว นางเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “ทำตามที่เขาบอก!”
ลุงเฉินเอ่ยว่า “นายหญิง ให้พวกเรามุ่งหน้าไปยังชายฝั่งทะเลเถอะขอรับ!”
“พวกเจ้าเชื่อคำพูดเหลวไหลของเขาจริงๆ หรือ? พวกเจ้าคิดว่าเขาดูเหมือนคนหน่ายจะมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ? เส้นทางที่เขาเลือกย่อมต้องปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว!” ก่วนฟางอี๋ถลึงตาใส่ จากนั้นตัดสินใจเด็ดขาดในทันที “เอาล่ะ ตกลงกันตามนี้”
หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้เถียงกับพวกเขาอีก เอ่ยกับเสิ่นชิวไปว่า “ส่งข่าวออกไปทันที บอกอาจารย์ของเจ้าว่าพอรุ่งเช้าให้เคลื่อนเรือออกจากจุดนัดพบทันที เดินเรือไปตามเส้นทางเดิมที่กำหนดไว้!”
เสิ่นชิวผงะไปเล็กน้อย “ไม่ต้องคอยพวกเราแล้วหรือขอรับ?”
การจะไปยึดเรือมาสักลำ ฟังดูเหมือนง่าย แต่ในรายละเอียดขั้นตอนกลับมีความเสี่ยงที่จะทำให้ร่องรอยถูกเปิดเผยออกไป
เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะไปสกัดเรือสักลำแล้วให้เรือแล่นไปยังจังหวัดชิงซานที่อยู่ห่างไกลขนาดนั้นได้ เรือเล็กไม่สามารถออกเรือไปไกลได้ ส่วนเรือใหญ่โดยมากจะเป็นเรือของคนมั่งมีทั้งสิ้น ปกติแล้วจะมีการสื่อสารผ่านทางปีกทองอยู่ตลอด หากเจ้าของเรือขาดการติดต่อกับเรือของตัวเองไป พวกเขาก็จะทำการสืบหาข่าวคราวทันที คนส่วนใหญ่ที่เดินเรืออยู่ในท้องทะเลแค่เห็นเรือของอีกฝ่ายแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าเป็นเรือของใคร แต่หากจะไปนั่งหาเรือลำใหม่ล่ะก็ นั่นก็เท่ากับว่าต้องเสียเวลาอยู่บนบกนานขึ้นกว่าเดิม เต้าเหยี่ยบอกเองว่าบนบกอันตราย ต้องรีบออกไปจากเส้นทางบกมิใช่หรือ?
หนิวโหย่วเต้าสั่งว่า “ไม่ต้องถามมาก ไปจัดการตามที่บอก!”
สำหรับเขาแล้ว หากว่าเช้าวันรุ่งขึ้นเขายังไปไม่ถึงจุดนัดพบล่ะก็ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้เรือรอพวกเขาอีกต่อไป
“ขอรับ!” เสิ่นชิวรับคำสั่ง
หนิวโหย่วเต้าหันไปสั่งการต่อว่า “วางเพลิงพื้นที่เลี้ยงสัตว์แห่งนี้ซะ ก่อความวุ่นวายขึ้น…”
คนชุดดำโพกหน้ากลุ่มหนึ่งกำลังเหินทะยานอยู่ในม่านราตรี หลังจากผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเหินลงบนเนินเขาสูงลูกหนึ่ง เขาก็ผงะไปเล็กน้อย มองเห็นว่าสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง
พรรคพวกที่เหลือทยอยร่อนลงบนเนินเขาสูง ต่างผงะไปเช่นกัน
“ใช่ตำแหน่งที่อยู่ของเป้าหมายหรือเปล่า?”
“เหตุใดถึงเกิดไฟไหม้?”
คนกลุ่มนี้คือยอดฝีมือของหอจันทร์กระจ่างในเขตพื้นที่นี้ ได้รับคำสั่งให้ตามมาปิดล้อมจัดการหนิวโหย่วเต้า
เดิมทีเตรียมการไว้ว่าหลังมาถึงตำแหน่งที่อยู่ของเป้าหมายแล้วจะดำเนินการปิดล้อมจัดการอย่างลับๆ ผู้ใดจะคิดถึงว่าหลังจากมาถึงกลับได้พบเห็นภาพเหตุการณ์นี้…
“ไฟไหม้!”
“ไฟไหม้แล้ว!”
“รั้วล่ะ! วัวกับแกะ!”
“ม้า! ม้าหนีไปแล้ว!”
ม่านรัตติกาลเพิ่งเข้าปกคลุมทุ่งกว้าง กองฟางในพื้นที่เลี้ยงสัตว์ก็มีเพลิงลุกไหม้ควันโขมง กระโจมส่วนใหญ่ก็ติดไฟเช่นกัน เหล่าคนเลี้ยงสัตว์ร้องไห้ตะโกนโวยวาย กรีดร้องโหยหวนพลางช่วยกันดับไฟ!
ไม่รู้ว่ารั้วที่กั้นอยู่รอบด้านพังลงได้อย่างไร กองฟางที่ถูกมัดเป็นมัดๆ ติดไฟลุกไหม้ ร่วงตกลงมาจากฟ้า หล่นลงในฝูงสัตว์ แพะม้าวัวควายตกใจจนวิ่งเตลิดไปทั่ว
ชายจากหน่วยข่าวกรองรีบพุ่งไปทางกระโจมที่พักของพวกหนิวโหย่วเต้าทันที ผลคือพบว่ากระโจมได้ถูกเปลวเพลิงกลืนกินไปเสียแล้ว
เขาวิ่งขึ้นไปบนแท่นสูงที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ในพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ไหนเลยจะมองเห็นว่าพวกหนิวโหย่วเต้าหนีไปทางไหนแล้ว มองเห็นเพียงเงาของม้า วัวและแกะที่วิ่งอุตลุดวุ่นวายไปทั่ว
แต่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เขากลับมองเห็นเงาม้าตัวหนึ่งควบเข้ามารางๆ หลังจากเข้ามาใกล้ก็เห็นว่าบนหลังม้านั่งไว้ด้วยชายหนุ่มชุดดำที่ดูคล้ายบัณฑิตทรงปัญญาคนหนึ่ง
ชายจากหน่วยข่าวกรองกระโดดลงมาทันที ชักดาบโค้งเล่มหนึ่งออกมาถือ กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วพุ่งเข้าไปขวางอีกฝ่ายไว้ ชี้ดาบใส่พลางตะโกนถาม “ผู้ใดกัน?”
ชายหนุ่มงามสง่าประสานมือเอ่ยขึ้นว่า “ขอบังอาจเรียนถามว่าสวีเต๋อไห่อยู่ที่ใดหรือ?”
ชายจากหน่วยข่าวกรองเพ่งพินิจเขาขึ้นๆ ลงๆ เล็กน้อย เอ่ยถามออกไปว่า “มาหาสวีเต๋อไห่ด้วยธุระใด?”
ชายหนุ่มงามสง่ากล่าวว่า “ผู้น้อยนามว่าสวียง เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์อวี้ชาง กำลังออกท่องเที่ยวในแถบนี้ได้รับแจ้งข่าวจากท่านอาจารย์กะทันหัน สั่งให้ข้ามารับอาจารย์หนิวโหย่วเต้ากลับเมืองหลวง ในจดหมายอาจารย์กล่าวว่าจะมีคนของทางราชสำนักรอรับข้าอยู่ที่นี่ เขามีแซ่เดียวกับข้า นามว่าสวีเต๋อไห่ ไม่ทราบว่าพอจะช่วยสอบถามให้สักหน่อยได้หรือไม่?”
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายสวียง ข้าน้อยคือสวีเต๋อไห่ขอรับ!” ชายของหน่วยข่าวกรองประสานมือคำนับกลับ “ผู้ที่มารอรับคุณชายก็คือผู้น้อยเอง เพียงแต่ตอนนี้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น อารมณ์ไม่สู้ดี ถึงได้เสียมารยาทกับคุณชายไป ขอคุณชายให้อภัยด้วย!”
“ไม่เป็นไรๆ!” สวียงโบกมือเล็กน้อย จ้องมองเพลิงที่กำลังลุกไหม้พลางขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงเกิดเพลิงไหม้ได้?”
สวีเต๋อไห่เหลียวมองเล็กน้อย เอ่ยเสียงเข้ม “น่าจะมีคนจงใจวางเพลิงขอรับ!”
สวียงสอบถามทันที “หนิวโหย่วเต้าล่ะ?”
“หายไปแล้วขอรับ มีความเป็นไปได้สูงว่าเพลิงไหม้จะเป็นฝีมือของพวกเขา ช่างเหลวไหลสิ้นดี!” สวีเต๋อไห่เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง เขาเฝ้าอยู่ที่นี่มานานหลายปี มีความผูกพันกับที่นี่อยู่บ้างไม่มากก็น้อย มาถูกคนวางเพลิงเช่นนี้ หากเขาอารมณ์ดีได้ก็แปลกแล้ว
พอได้ยินเช่นนี้ สวียงพลันควบม้าวิ่งวนสองสามรอบ สอดส่ายสายตาค้นหาไปทั่ว…
……………………………………………..