ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 384 ปล่อยวาง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 384 ปล่อยวาง

ตอนที่ 384 ปล่อยวาง

“…..” ก่วนฟางอี๋ยังคงมีสีหน้ายากจะเชื่อได้อยู่ดี แต่ในที่สุดก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงได้

ก็อย่างที่นางคาดเดาไปก่อนหน้านี้ เหตุใดคันฉ่องบานเดียวถึงสามารถเรียกร้องเงื่อนไขมากมายขนาดนี้กับหอจันทร์กระจ่างได้เล่า?

และเป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต้าว่ามา หากมิใช่สิ่งนั้นแล้วจะเอาอะไรไปเสนอเงื่อนไขมากมายขนาดนี้ต่อหอจันทร์กระจ่างเล่า?

เพียงแต่สองเหตุผลนี้มันก็เพียงพอจะทำให้นางยอมเชื่อแล้ว นางลองถามหยั่งเชิงดู “เหตุใดเจ้าถึงมีของสิ่งนี้? ตงกัวเฮ่าหรานมอบให้เจ้าจริงๆ น่ะหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ เอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “โชคชะตามักเล่นตลกกับมนุษย์! ปีนั้นตงกัวเฮ่าหรานบาดเจ็บสาหัส มาถึงหมู่บ้านของพวกเราในสภาพร่อแร่ใกล้ตาย เขาไม่มีกำลังจะกลับไปยังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้อีก บังเอิญพบกับข้าเข้าพอดี ที่เขารับข้าเป็นศิษย์ น่าจะเพราะอยากให้ข้านำคันฉ่องบานนี้กลับไปส่งให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์”

ก่วนฟางอี๋ที่ค่อยๆ หายจากอาการตกใจเอ่ยหยอกไปว่า “ใครจะไปรู้ล่ะว่าได้พบกับศิษย์เจ้าเล่ห์เข้าแล้ว ไม่ได้นำของกลับไปมอบให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองนางเอ่ยไปว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นนี้หรือ?”

ก่วนฟางอี๋ย้อนถาม “แล้วมิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า เอ่ยไปว่า “เรื่องราวบางอย่างคนนอกไม่รู้ เจ้าแค่ไม่รู้เรื่องภายในเท่านั้น”

ก่วนฟางอี๋ถามหยั่งเชิงว่า “เป็นเพราะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเลวร้าย เจ้าเลยไม่มอบให้อย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายังคงส่ายหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าที่คล้ายย้อนรำลึกถึงอดีต “ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด อาจเป็นเพราะสิ่งนี้สำคัญมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะตงกัวเฮ่าหรานไม่ไว้ใจคนอื่นๆ ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ก่อนตายตงกัวเฮ่าหรานได้กำชับข้าไว้อย่างเข้มงวด บอกว่าต้องส่งมอบของให้ถังมู่ศิษย์พี่ของเขาเท่านั้น ห้ามปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเด็ดขาด หลังจากข้าไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็คิดจะมอบของให้แก่เขา ผู้ใดจะคาดถึงว่าถังมู่กลับตายไปแล้วเช่นกัน ตอนนั้นข้าตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากมอบของให้ไปก็เท่ากับผิดต่อคำสั่งเสียของตงกัวเฮ่าหราน แต่หากไม่มอบให้ก็ดูไม่เหมาะเช่นกัน รู้สึกลังเลใจมาโดยตลอด จนกระทั่งภายหลังข้าถึงสังเกตเห็นว่าตนถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณเสียแล้ว อยากจะติดต่อกับสมาชิกระดับสูงของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เพื่อพูดคุยก็เป็นเรื่องยาก ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร มืดแปดด้านไปหมด จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรส่งเดช ไม่เพียงแต่จะกักบริเวณข้าไว้ในเรือนดอกท้อห้าปีเต็ม ภายหลังกลับคิดจะสังหารข้าด้วย ฮ่าๆ! เจ้าว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือไม่เล่า?”

“อย่างนี้นี่เอง!” ก่วนฟางอี๋พยักหน้าเล็กน้อย พลางใคร่ครวญตาม แล้วก็พอจะเข้าใจการกระทำของตงกัวเฮ่าหรานได้ น่าจะไม่อยากให้ทุกคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทราบถึงการมีอยู่ของสิ่งนี้ ให้ถังมู่รับรู้แค่คนเดียวมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล นางเอ่ยถามอีกว่า “ด้วยนิสัยของเจ้า อย่าบอกเชียวนะว่าไม่เคยศึกษาดูสิ่งนี้มาก่อน บอกมาซะดีๆ สรุปแล้วสิ่งนี้มีเส้นสนกลในอันใดแฝงอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงถูกยกให้เป็นของวิเศษชิ้นแรกในแปดของวิเศษล่ะ? ข้าดูแล้วก็ว่าธรรมดานัก”

ครั้งนี้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้พูดความจริง “เคยศึกษาดูแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย เอามาศึกษาซ้ำไปซ้ำมา มันก็เป็นแค่เพียงคันฉ่องธรรมดาๆ บานหนึ่ง ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดถึงถูกยกให้เป็นของวิเศษชิ้นแรกในแปดของวิเศษ”

ก่วนฟางอี๋ยิ้มเหยียดหยาม “ด้วยมันสมองของเจ้า ประกอบกับสิ่งนี้อยู่ในมือเจ้ามานานขนาดนี้ เจ้ายังจะขุดค้นหาเบาะแสใดออกมาไม่ได้อีกหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ชมเกินไปแล้ว เจ้าไม่ลองคิดดูหน่อยเล่าหากว่าสิ่งนี้คือของวิเศษคู่แคว้นฉินจริงๆ แคว้นฉินครอบครองไว้นานถึงเพียงนั้น แคว้นฉินจะไม่ระดมกำลังคนกำลังทรัพย์วิเคราะห์ศึกษาสิ่งนี้เลยหรือ? ขนาดของอยู่ในมือแคว้นฉินก็ยังสืบไม่พบประโยชน์ใช้สอยอันใด เช่นนั้นมันก็มีความเป็นไปได้เพียงสองกรณีเท่านั้น กรณีแรกคือไม่พบความลับจากสิ่งนี้เหมือนกับข้า กรณีที่สองคือสืบพบแล้วแต่ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”

ก่วนฟางอี๋เงียบไป คิดๆ ดูก็พบว่าจริงดั่งว่า หนิวโหย่วเต้าคนเดียวไม่มีทางเหนือไปกว่ากำลังของแคว้นฉินทั้งแคว้นในยามนั้นได้ ขนาดแคว้นฉินยังไม่สืบหาอะไรไม่ได้ หนิวโหย่วเต้าก็ยิ่งทำไม่ได้แน่นอน

นางเบะปาก เอ่ยเย้าไปว่า “เจ้าปล่อยให้ข้ารู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ในมือ หรือเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะพูดออกไป”

จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็มองนางด้วยสายตาที่จริงจังขึ้น จ้องมองสบตานาง

ดวงตาสองคู่ประสานกัน มองจนก่วนฟางอี๋ค่อนข้างอึดอัด นางถามออกไปว่า “ไยจึงมองข้าเช่นนี้? ข้างามมากหรือ?”

ทำนองวาจาของหนิวโหย่วเต้าก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน “เพราะข้าจริงใจกับเจ้า”

ก่วนฟางอี๋ผงะไปเล็กน้อย ไม่ทราบว่านึกอะไรขึ้นมาได้ พลันอับอายจนพาลโกรธขึ้นมา เงื้อเท้าหมายจะถีบ “ไปตายซะ!”

หนิวโหย่วเต้าโยกกายหลบ หัวเราะฮ่าๆ หันหลังเดินออกไป

“หยุดนะ!” ก่วนฟางอี๋ตะโกนเรียกเขา เดินเข้าไปถามว่า “หอจันทร์กระจ่างสังหารเฮยหมู่ตาน เจ้าจะมอบของสำคัญเช่นนี้ให้พวกเขาไปจริงๆ น่ะหรือ?”

หัวข้อสนทนานี้ค่อนข้างตึงเครียด ทำให้หนิวโหย่วเต้ายากจะยิ้มต่อได้ในทันใด “หากไม่มอบให้พวกเขา แล้วเจ้ามีกำลังพอจะต่อต้านพวกเขาได้หรือ หรือว่าข้ามีกำลังพอจะต่อต้านพวกเขาได้? เผชิญหน้ากับกองกำลังที่ทรงอิทธิพลระดับนี้ ตัวข้าในขณะนี้มีความสามารถพอจะล้างแค้นให้เฮยหมู่ตานได้หรือ? ปะทะกันในแคว้นฉีครานี้พวกเขาประสบความสูญเสีย ไม่มีทางยอมปล่อยพวกเราไปแน่ ตอนนี้มีแต่ข้าที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ข้ามีแต่ต้องมอบสิ่งตอบแทนที่ทำให้พวกเขาพอใจได้ นั่นถึงสามารถสยบเพลิงพิโรธของพวกเขาลงได้ ที่ข้ายอมมอบของให้แต่โดยดีก็เพราะไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นเฮยหมู่ตานคนที่สอง และไม่อยากให้คนอื่นๆ ที่ติดตามข้าต้องซ้ำรอยเดิมกับเฮยหมู่ตาน ในเมื่อพวกเจ้าติดตามข้าแล้ว ข้าก็ต้องรับผิดชอบตามที่สมควรทำ มิเช่นนั้นจะมีผู้ใดอยากทำงานรับใช้ข้าเล่า?”

ก่วนฟางอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง ถอนใจพลางเอ่ยออกไป “ตอนที่เจ้าจะปะทะกับพวกเขาก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไป หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ไยตอนนั้นยังทำอีกเล่า?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบนาง “พวกเจ้าติดตามข้าเพราะอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น มิใช่ย่ำแย่ลงกว่าเดิม ความปรารถนาของทุกคนก็คือความรับผิดชอบของข้าเช่นกัน หากปล่อยให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไร้ความหวัง ผู้ใดจะยังอยากติดตามข้าเล่า? ข้าไม่อาจพาลใจฝ่อกลัวทุกสิ่งไปเพียงเพราะกริ่งเกรงในเรื่องบางอย่างได้ จะมัวกังวลจนไม่ยอมเดินหน้าต่อเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ จะต้องยอมถอยบ้างเพื่อให้เดินหน้าต่อได้ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีอนาคตให้ก้าวต่อไป บางทีอาจจะไม่เรียกว่ายอมถอยด้วยซ้ำ ข้าเพียงแต่เบี่ยงตัวหลบลงข้างทางเล็กน้อยเพื่อหลบภัยคุกคามชั่วคราวเท่านั้น ”

“เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว หากข้าไม่มอบสิ่งที่มีราคาสมน้ำสมเนื้อให้ไป หากทำให้พวกเขาพอใจไม่ได้ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมรามือ หากว่าต้องสิ้นชีพไป เก็บสิ่งนี้ไว้แล้วจะมีประโยชน์ใดเล่า? ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างล้วนมีความหวัง ในเมื่อพวกเขาหมายหัวข้าแล้ว หากไม่มีกำลังก็ไม่มีทางรักษาสิ่งนี้เอาไว้ได้ เอาไว้พวกเรามีกำลังอำนาจขึ้นมาก็ย่อมมีโอกาสชิงของกลับมาได้ ต้องยอมเสียบางสิ่งไปเพื่อให้ได้บางสิ่งมา หากดึงดันไม่ยอมปล่อยวางก็ไม่มีทางได้ทำอย่างอื่น ต้องปล่อยวางบ้างถึงจะสามารถหยิบมาถืออีกครั้งได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้ข้าครอบครองสิ่งนี้ไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี ทว่าหากส่งมอบออกไปจะสามารถฉกฉวยผลประโยชน์มาได้มหาศาล แล้วไยถึงจะไม่ทำเล่า? โลกนี้อยู่ยาก สถานการณ์ซับซ้อน หากแบกภาระที่หนักอึ้งจนเกินไปไว้ ตัวพวกเราต่างหากที่จะอ่อนแอลงจนแบกรับไม่ไหว เมื่อถึงคราวจำเป็นก็สมควรต้องตัดปัญหาวุ่นวายทิ้งไปเสียก่อน หากคิดแต่จะเก็บผลประโยชน์ทุกอย่างไว้กับตัวก็เท่ากับรนหาที่ตาย”

ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “สิ่งนี้มีค่าอย่างมากจริงๆ ต้องส่งมอบออกไปเช่นนี้มันออกจะ…เมื่อครู่เจ้าก็บอกออกมาเอง ของที่แม้แต่แคว้นฉินก็ยังไม่สามารถไขความลับได้ หรือว่าพวกเราจะทำคันฉ่องปลอมสักบานขึ้นมาแล้วยกให้พวกเขาไปดี?”

หนิวโหย่วเต้าปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้! ไม่มีใครรู้ว่าหอจันทร์กระจ่างจะมีวิธีแยกแยะของสิ่งนี้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอมอยู่หรือไม่ การส่งมอบของปลอมให้อีกฝ่ายอันตรายเกินไป หากอีกฝ่ายจับได้ขึ้นมา ผลลัพธ์ที่จะตามมาคือหายนะ!”

ยังมีเหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำให้เขายอมยกคันฉ่องให้อีกฝ่ายไป แต่เขาไม่ได้บอกให้ก่วนฟางอี๋รู้ เหตุผลนั้นก็คือเจ้าลิง

เขารู้จักเจ้าลิงเป็นอย่างดี เจ้าลิงไม่มีทางทนนิ่งดูดายปล่อยให้เขาเผชิญอันตรายได้ ต้องคิดหาทางเข้าไปใกล้ชิดกับเรือนเมฆาขาวแน่นอน พยายามคิดหาช่องทางอื่นเพื่อนำมาช่วยเหลือเขาเพิ่ม

เจ้าลิงติดตามอยู่ข้างกายเขามานานขนาดนั้น มีคนรู้จักเจ้าลิงอยู่เยอะแยะมากมาย ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ถูกจับได้ก็ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะไม่ถูกจับได้ หากติดต่อใกล้ชิดกับเรือนเมฆาขาวบ่อยครั้งเข้า จะต้องทำให้หอจันทร์กระจ่างนึกสงสัยขึ้นมาจนไปสืบประวัติความเป็นมาของเจ้าลิงแน่นอน ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะถูกจับได้แล้วก็เป็นได้ สถานการณ์สุ่มเสี่ยงเกินไป

ทันทีที่ตัวตนของเจ้าลิงถูกเปิดเผย หอจันทร์กระจ่างย่อมจะทราบว่าเป็นคนของเขา

หากเจ้าลิงตกอยู่ในกำมือของคนอื่น คนอื่นอาจจะไม่สังหารเจ้าลิง แต่ขอเพียงพลาดท่าตกไปอยู่ในมือของเซ่าผิงปอและหอจันทร์กระจ่าง นั่นมันก็ไม่แน่แล้ว บุญคุณความแค้นที่มีกับเซ่าผิงปอนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนเรื่องอื่นที่ล่วงเกินหอจันทร์กระจ่างไปยังพอจะปล่อยผ่านได้ แต่ตอนอยู่ในทะเลเขาสังหารคนของหอจันทร์กระจ่างไปสามร้อยชีวิต

เงื่อนไขสุดท้ายที่เขาเรียกร้องต่อหอจันทร์กระจ่างว่าห้ามแตะต้องคนของเขา ก็เพื่อเตรียมทางรอดไว้ให้เจ้าลิงนั่นเอง!

แน่นอนว่าเจ้าลิงเองก็ไม่ใช่คนโง่ แต่เขาไม่รู้ว่าเจ้าลิงจะเตรียมแผนการป้องกันตัวไว้อย่างไร อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวตนของเจ้าลิงต่อหอจันทร์กระจ่าง

สำหับการตัดสินใจของเจ้าลิง เขาไม่สะดวกจะพูดอะไร เขามอบอิสระให้เจ้าลิงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้เจ้าลิงเผชิญอันตรายได้ เขาจึงต้องแอบสร้างทางรอดให้เจ้าลิงอย่างลับๆ ไม่ว่าเจ้าลิงจะเผชิญอันตรายในรูปแบบไหน เขาล้วนจะคิดหาทางปกป้องชีวิตของเจ้าลิงเอาไว้อย่างสุดกำลัง!

ในเมื่อเขาพูดมาเช่นนี้แล้ว ก่วนฟางอี๋ก็ไม่จู้จี้อีกเช่นกัน แต่ยังคงสงสัยเรื่องหนึ่งอยู่ “เหตุใดเจ้าถึงช่วยให้ลิ่งหูชิวได้รับอิสระ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ข้าเองก็ไม่ได้ปักใจหมายจะสังหารเขาขนาดนั้น ตอนแรกที่ปล่อยให้เขาถูกจับตัวไปก็ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเขาอยู่แล้ว นับเป็นการมอบทางรอดสายหนึ่งให้แก่เขาไปด้วย แล้วก็เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตัวข้าด้วยเช่นกัน เพราะการแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ในฐานะคนที่สังหารพี่น้องร่วมสาบานนั้นฟังดูไม่ดีเลย ในการใช้ชีวิต ใจคนเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ หากสูญเสียความไว้ใจจากคนอื่นไป สิ่งที่รออยู่มีเพียงความตายเท่านั้น! ข้าไม่มีทางทำเรื่องต่ำช้าเหมือนเซ่าผิงปอที่สังหารแม่เลี้ยงและน้องชายของตัวเอง เรื่องราวบางอย่างหากได้รับความอยุติธรรมมาก็ควรจะแบกรับความอยุติธรรมไว้กับตัวเท่านั้น หากข้าสังหารแม้กระทั่งพี่น้องร่วมสาบานของตนได้ง่ายๆ จะไม่ทำให้พวกเจ้าหวาดระแวงไปด้วยหรอกหรือ?”

“อย่ามาหลอกข้าเลย เรื่องเจ้าเล่ห์เพทุบายที่เจ้าเคยทำไว้มีน้อยนักหรือ?” ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ โบกพัดกลมเบาๆ “เกรงว่าเขาคงจะไม่ได้ซาบซึ้งในน้ำใจส่วนนี้ของเจ้าด้วยซ้ำ”

หนิวโหย่วยักไหล่ เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “เดิมทีเขาก็ปองร้ายข้าอยู่แล้ว ข้ายอมปล่อยให้เขามีทางรอดชีวิตก็นับว่าเมตตาอย่างถึงที่สุดแล้ว หากว่าเขาไม่ซาบซึ้งในน้ำใจ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เมื่อออกจากหอจันทร์กระจ่างก็เรียกใช้อิทธิพลของหอจันทร์กระจ่างไม่ได้แล้ว เขาเองก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรข้าได้เช่นกัน หากว่าเขาไม่ยอมเลิกราจริงๆ ตามตอแยไม่เลิก ทุกเรื่องราวล้วนมีขีดจำกัด เขาอย่าได้บีบคั้นจนข้าหมดหนทางเลยจะดีที่สุด”

ขณะที่พูดคุยกันอยู่ ลุงเฉินก็เดินกลับเข้ามา ทั้งสองจึงยุติบทสนทนา

“ตามต่อไปไม่ได้แล้วขอรับ พอเขาเข้าไปถึงในป่าก็มีคนมารับตัวไป ขึ้นวิหคยักษ์ตัวหนึ่งจากไปทันที ไม่สามารถสะกดรอยตามต่อได้ขอรับ” ลุงเฉินเอ่ยรายงาน ท่าทางรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เขาเองก็ทราบเรื่องที่เฮยหมู่ตานถูกหอจันทร์กระจ่างสังหารเพราะช่วยปกป้องให้หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ไปขึ้นเรือได้สะดวก เขาเองก็พยายามอย่างเต็มที่

ก่วนฟางอี๋ไม่พูดอะไร หนิวโหย่วเต้าโบกมือเอ่ยไปว่า “ไม่เป็นไรหรอกลุงเฉิน ในเมื่อคนของหอจันทร์กระจ่างกล้ามาย่อมต้องมีการเตรียมตัวมาแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้ถูกสะกดรอยตามได้ง่ายๆ เรื่องราวไม่ต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”

……

ณ สวนไม้เลื้อย ตู๋กูจิ้งเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง

อวี้ชางที่เดินวนไปวนมาอยู่ด้านในชะงักเท้า เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ “เป็นอย่างไรบ้าง?”

ตู๋กูจิ้งตอบว่า “ได้มาแล้วขอรับ” เขาล้วงกระดาษทั้งสองแผ่นออกมาจากแขนเสื้อแล้วกางส่งให้ เป็นภาพลอกลายทั้งสองด้านจากคันฉ่องแห่งซาง

อวี๋ชางรับไปดู รีบเดินไปนั่งลงบนหน้าโต๊ะที่จัดวางอยู่ด้านข้าง มีตำราคลี่กางเปิดรออยู่บนโต๊ะ

ตำราดูเก่าแก่ แต่ดูเหมือนด้านในจะจารึกเรื่องราวมากมายเอาไว้ ยังมีภาพลอกลายจากสิ่งของมากมายประทับอยู่ด้วย

เขาพลิกเปิดไปที่หน้าหนึ่ง บนหน้ากระดาษเก่าโทรมจนเป็นสีเหลืองมีภาพจำลองลวดลายที่คล้ายลวดลายสองด้านของคันฉ่องแห่งซางอยู่

อวี้ชางถือภาพลอกลายสองแผนที่เพิ่งได้มาเปรียบเทียบกับภาพประทับลวดลายที่อยู่บนหน้าหนังสือเก่าอย่างละเอียด

…………………………………………………………………

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท