ตอนที่ 385 ซีย่วนต้าอ๋อง
หลังจากวิเคราะห์เปรียบเทียบอยู่ครึ่งชั่วยามเต็ม อวี้ชางถึงจะเงยหน้าขึ้นแล้วพรูลมหายใจออกมา “รายละเอียดตรงกันทุกอย่าง ไม่ผิดแน่ น่าจะใช่สิ่งนั้นจริงๆ”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยถาม “คนผู้นั้นเจ้าเล่ห์ จะเป็นของปลอมหรือไม่ขอรับ?”
อวี้ชางส่ายหน้า “คนที่เคยเห็นสิ่งนี้มีอยู่ไม่มาก หากไม่มีของจริงอยู่ก็ทำเลียนแบบได้ยาก น่าจะเป็นของจริง”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยพลางใช้ความคิด “อาจารย์ ตามความเห็นของข้า มันก็ใช่ว่าจะทำเลียนแบบขึ้นมาไม่ได้นะขอรับ”
อวี้ชางถาม “เพราะอะไร”
ตู๋กูจิ้งตอบว่า “ซางเฉาจงขอรับ! สิ่งนี้เดิมทีก็ถูกสร้างขึ้นโดยต้นตระกูลซาง ซางเฉาจงเป็นทายาทรุ่นหลังของซางซ่ง อาจจะมีภาพจำลองของสิ่งนี้อยู่ก็ได้ขอรับ”
อวี้ชางส่ายหน้า “สายตระกูลของซางเฉาจงสืบทอดสายเลือดจากทายาทสายรองของซางซ่งเท่านั้น ทายาทสายตรงล้วนถูกไล่ล่ากวาดล้างหมดสิ้นไปแล้ว ภายหลังบรรพบุรุษของเขาได้สถาปนาแคว้นเยี่ยนขึ้นภายใต้นามของตระกูลซาง ถึงผงาดรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ แต่สิ่งนี้ในอดีตเคยถูกเก็บรักษาไว้ในสถานที่สำคัญของวังหลวงราชวงศ์ซาง มีเพียงทายาทสายตรงที่รับสืบทอดอำนาจจากราชวงศ์ซางเท่านั้นที่มิสิทธิ์ได้เห็น บรรพบุรุษของซางเฉาจงก็ยากจะมีโอกาสได้เห็น บอกได้เพียงว่ามีโอกาส แต่ความเป็นไปได้มันก็น้อยอย่างมาก อีกอย่าง ในตำราได้บันทึกวิธีแยะแยะว่าเป็นของจริงหรือปลอมอยู่ ขอเพียงสิ่งที่ได้มาเป็นของจริง ข้าก็มีวิธีแยกแยะอยู่ แล้วการเจรจาเป็นอย่างไร มีเงื่อนไขอะไรบ้าง?”
ตู๋กูจิ้งกล่าวว่า “เงื่อนไขแรกคือต้องการยุติความขัดแย้งกับพวกเรา ไม่ให้ไปหาเรื่องเขาอีกขอรับ”
อวี้ชางพยักหน้ารับ “ตอนที่เขายื่นจดหมายขอเจรจาก็เดาไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องนี้ สิ่งนี้มีความสำคัญสำหรับพวกเราอย่างยิ่ง ขอเพียงเขายอมมอบให้ ต้องสูญเสียอะไรไปบ้างก็ไม่เป็นไร ปล่อยเขาไปก่อนชั่วคราวได้”
ตู๋กูจิ้งกล่าวต่อว่า “เงื่อนไขที่สอง เขาต้องการให้พวกลิ่งหูชิวสามนายบ่าวเป็นอิสระจากพวกเรานับแต่นี้เป็นต้นไปขอรับ วันหน้าห้ามพวกเราไปสร้างปัญหาให้พวกเขานายบ่าวเช่นกัน”
อวี้ชางเงียบไปครู่หนึ่ง ถามไปว่า “ลิ่งหูชิวรับสารภาพหรือยัง?”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “เป็นไปตามเดิมขอรับ หากไม่ได้พบหนิวโหย่วเต้าจะไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น แต่มีการเฝ้ายามอย่างเข้มงวด คนของเขาก็หาโอกาสลงมือไม่ได้เช่นกัน”
อวี้ชางถาม “จัดการทุกคนและทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลิ่งหูชิวอย่างหมดจดหรือยัง?”
ตู๋กูจิ้งกล่าวว่า “ในส่วนที่จัดการได้ล้วนจัดการอย่างหมดจดแล้วขอรับ แต่ปัญหาในตอนนี้คือลิ่งหูชิวอาจจะรู้แล้วว่าซูจ้าวเป็นคนของพวกเรา ส่วนซูจ้าวแม้จะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสไป๋ แต่ก็เป็นหลานสาวของผู้อาวุโสไป๋เช่นกัน ตระกูลไป๋ทำงานรับใช้อย่างภักดีมาหลายชั่วอายุคน หากแตะต้องเข้าอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้อาวุโสที่เหลืออย่างใหญ่หลวงได้ ประกอบกับเกี่ยวพันกับทางมณฑลเป่ยโจวด้วย ทำให้แตะต้องซูจ้าวไม่ได้ขอรับ อีกอย่างลิ่งหูชิวที่เป็นคนปฏิบัติภารกิจรู้แล้วว่าพวกเราตามหาสิ่งใดอยู่”
อวี้ชางเอ่ยว่า “ขอเพียงไม่รู้ว่าของมาอยู่ในมือพวกเราแล้ว และไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีประโยชน์กับพวกเราอย่างไรก็พอ เรื่องที่รู้ว่าพวกเราต้องการตามหาสิ่งใดนั้นไม่สำคัญเลย มีคนอีกมากมายที่ตามหาอยู่เช่นกัน เพียงแต่เรื่องที่รับรู้ถึงฐานะซูจ้าวแล้วค่อนข้างยุ่งยาก เรื่องนี้ต้องรออีกสักพักถึงจะตัดสินใจได้ เจ้านำเรื่องนี้กลับไปบอกผู้อาวุโสไป๋ซะ ให้เขาไปหาทางจัดการเอาเอง”
“ขอรับ” ตู๋กูจิ้งตอบรับแล้วเอ่ยว่า “เงื่อนไขที่สาม เขาต้องการเงินสิบล้านเหรียญทองขอรับ!”
“ฮ่าๆ ละโมบไม่เบาเลย!” อวี้ชางแค่นหัวเราะ ถามต่อว่า “ยังมีเงื่อนไขอีกหรือไม่?”
ตู๋กูจิ้งตอบว่า “ยังมีอีกเงื่อนไขขอรับ นั่นก็คือนับจากนี้ไปห้ามลงมือกับคนของเขา อย่างน้อยๆ หากเป็นคนที่ทราบกันดีว่าเป็นคนของเขาก็ห้ามแตะต้อง มีสี่เงื่อนไขเท่านี้ขอรับ หากว่าเจรจาตกลงแล้วและพวกเรากล้าทำผิดข้อตกลง เขาจะทำให้ทุกคนรู้ว่าของอยู่ในการครอบครองของพวกเราขอรับ นี่คือแต้มต่อที่ใช้ในการเจรจาครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังใช้เรื่องนี้มาเตือนไม่ให้พวกเราบุ่มบ่ามทำอะไรส่งเดช”
อวี้ชางเอ่ยว่า “เรื่องนี้ยังมีช่องให้จัดการได้อยู่ ตอบรับเงื่อนไขเขาได้เลย”
ตู๋กูจิ้งถาม “จะมอบเงินสิบล้านเหรียญทองให้เขาจริงๆ หรือขอรับ?”
ตู๋กูจิ้งปิดตำราบนโต๊ะ เอ่ยไปว่า “ต่อรองราคาหน่อยสิ เขาเรียกราคาสูงมา พวกเราก็ต้องต่อรองราคาหน่อย จะไปตกลงตามที่เขาว่ามาง่ายๆ ไม่ได้”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยถาม “เช่นนั้นให้ส่งคนไปเจรจาเลยหรือไม่ขอรับ?”
อวี้ชางส่ายหน้า “ไม่ต้องรีบ รอดูก่อนว่าทางผู้อาวุโสไป๋มีความเห็นอย่างไร ต้องทำความเข้าใจไพ่ตายในมือตนให้ดีก่อนถึงจะไปเจรจาได้”
“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งตอบรับ
“เฮ้อ!” อวี้ชางมองภาพประทับในมือพลางถอนหายใจออกมา “เขาสามารถสร้างปัญหาลำบากให้พวกเราได้ เจ้าว่าข้าควรสังหารทิ้งดีหรือไม่? เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย อายุยังน้อยก็มีฝีมือระดับนี้แล้ว ทำให้พวกเราตกเป็นรองได้ หากเก็บไว้จะกลายเป็นตัวปัญหาใหญ่ในไม่ช้าก็เร็ว”
ตู๋กูจิ้งเข้าใจความคิดของผู้เป็นอาจารย์ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะทำเช่นนี้ ยินดีหักใจส่งมอบสมบัติล้ำค่า เป็นฝ่ายแจ้งให้ทราบเองว่าของอยู่ในมือตน ซ้ำยังเป็นฝ่ายเสนอตัวมอบให้ทางนี้ก่อนด้วย ยอมถอยเพื่อรุก ตอนนี้กลับทำให้ทางนี้ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากสังหารเขา ของก็จะกลายเป็นเผือกร้อนลวกมือทันที ยากจะรักษาเอาไว้ได้ แต่หากไม่สังหารเขา ได้ของมาก็ยังถูกเขากุมจุดอ่อนเอาไว้
วันต่อมา เสียงพิณแว่วกังวานจากแท่นพิณในศาลา
ตู๋กูจิ้งเดินเข้ามา รายงานอีกครั้งว่า “อาจารย์ ผู้อาวุโสไป๋บอกว่ายกให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านขอรับ แต่เขาก็เข้าใจความหมายในวาจาเช่นกัน ยังคงหวังว่าท่านจะยอมเมตตาไว้ไมตรี ให้โอกาสซูจ้าวสักครั้ง”
เสียงพิณหยุดลงทันที อวี้ชางละมือออก เอ่ยอย่างเฉยชา “ใช่ว่าเขาจะไม่รู้กฎเกณฑ์ การตัดสินใจของข้าย่อมเป็นการตัดปัญหาที่จะตามมาให้สิ้นซาก เขาว่าอย่างไรเล่า?”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “เขาบอกว่าลิ่งหูชิวมิใช่คนโง่ อาจจะไม่กล้าแพร่งพรายความลับนี้ออกไป อีกอย่างเขาจะควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อจัดการไม่ให้ซูจ้าวสร้างปัญหาใดที่จะลุกลามเดือดร้อนไปถึงฝ่ายอื่นๆ หากเกิดปัญหาใดขึ้นมาจริงๆ เขาจะตัดปัญหาทุกอย่างทันที หากว่าจำเป็นจริงๆ เขาจะลงมือกำจัดซูจ้าวด้วยตัวเองขอรับ!”
อวี้ชางเอ่ยว่า “เช่นนั้นเขาก็ต้องรู้ไว้ด้วยว่าถ้าซูจ้าวมีราคีแล้วล่ะก็ นั่นเท่ากับว่าอนาคตได้พังทลายลงแล้ว ภายในองค์กรของพวกเราไม่กล้าปล่อยให้คนมีปัญหาส่วนตัวดำรงตำแหน่งระดับสูงได้”
ตู๋กูจิ้งกล่าวว่า “เขาเพียงอยากรักษาชีวิตของซูจ้าวเอาไว้เท่านั้น เขาบอกว่าซูจ้าวเป็นสตรีคนหนึ่ง เขาไม่หวังให้นางมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่อันใด ความหมายในวาจานี้คือขอเพียงรักษาชีวิตซูจ้าวไว้ได้ อนาคตของซูจ้าวก็ไม่สำคัญแล้วขอรับ”
อวี้ชางเอ่ยว่า “เจ้าไปบอกเขาเถอะ เมื่อเขากล้ารับประกันก็ต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมาด้วย แล้วรีบไปจัดการเรื่องเจรจาโดยเร็วที่สุด! เอาของมาก่อน สร้างความมั่นใจให้หนิวโหย่วเต้าไปก่อน วันหน้าค่อยคิดหาทางจัดการเขาทีหลัง”
“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งรับคำสั่งไป
….
ดวงตะวันสาดส่องถนนสายเก่า ทหารม้าหลายสิบนายเฝ้าคุ้มกันอยู่รอบรถม้าสองคัน
เซ่าผิงปอเลิกม่านรถม้า โผล่หน้าออกมาจากห้องโดยสาร ทอดสายตามองขุนเขาเขียวขจีแรกอรุณที่ทาบทาไปด้วยแสงทองจากตะวันรุ่ง
ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงวัยหนุ่มแน่น ทว่ากลับมีผมหงอกปรากฏเด่นชัดไปครึ่งหัว สีหน้าใคร่ครวญใช้ความคิด คอยยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากไออยู่เป็นครั้งคราว
ครั้งนี้เขาเดินทางออกมาอย่างลับๆ
ฝ่ายสำนักเขามหายานก็ส่งยอดฝีมือระดับหัวกะทิกลุ่มใหญ่มาคุ้มกันเขาเช่นกัน ถึงขนาดเรียกใช้งานยอดฝีมือชั้นเลิศของสำนักเขามหายานที่ไม่ค่อยเผยตัวมาเป็นผู้คุ้มกันให้สองคนด้วย เพราะเรื่องที่เซ่าผิงปอจะไปจัดการในครานี้เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์มหาศาลของทั้งมณฑลเป่ยโจวและทั้งสำนักเขามหายาน
เขาเปิดเผยถึงความยากลำบากและสถานการณ์คับขันต่อหน้าสำนักเขามหายาน สำนักเขามหายานก็มีทางเลือกไม่มากเช่นกัน หากอยากปกป้องผลประโยชน์ของสำนักเขามหายานไว้ก็ทำได้เพียงต้องให้ความร่วมมือกับเขาและฝากความหวังเอาไว้ที่เขา หวังว่าเขาจะสามารถคลี่คลายวิกฤตที่กำลังคืบคลานมาสู่มณฑลเป่ยโจวได้ เพราะอย่างน้อยตัวสำนักเขามหายานเองก็ไม่มีกำลังพอจะจัดการได้
พอเห็นเขาไอขึ้นมาอีกครั้ง เซ่าซานเสิ่งที่อยู่ในรถม้าด้วยก็ขยับเข้ามาหาช่วยลูบหลังให้เขา กระซิบขึ้นมาว่า “คุณชายใหญ่ คุณหนูซูยังไม่ทราบว่าท่านกำลังเดินทางไป ต้องการแจ้งให้คุณหนูซูทราบก่อนหรือไม่ขอรับ?”
เซ่าผิงปอโบกมือเล็กน้อย “ไม่ต้อง ข้าไม่ไว้ใจคนทางฝั่งของนาง ตอนนี้จะปล่อยให้เบาะแสการเดินทางของข้าหลุดออกไปไม่ได้ แล้วนางให้คำตอบเรื่องนั้นหรือยัง?”
เซ่าซานเสิ่งตอบว่า “ตอบแล้วขอรับ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการขอรับ”
….
ทุ่งหญ้ากว้างไพศาล กระโจมใหญ่หลายหลังกางอยู่ริมทะเลสาบ มีฝูงแกะฝูงวัววนเวียนอยู่ในละแวกใกล้เคียง
อิงอ๋องเฮ่าเจินนั่งตกปลาอยู่ริมทะเลสาบอย่างเงียบๆ มือหนึ่งถือคันเบ็ด อีกมือหนึ่งคลึงหินก้อนหนึ่งเล่น ดูคล้ายกำลังตกปลา ทว่าความสนใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับคันเบ็ดเลย
มีขบวนม้าหลายร้อยตัวควบมุ่งเข้ามาจนเกิดเสียงดังครืนๆ ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง
ขบวนม้ากลุ่มใหญ่ถูกองครักษ์ของทางนี้ขวางไว้ มีคนผ่านเข้ามาได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ผู้นำกลุ่มสวมอาภรณ์สีม่วง ร่างกายกำยำ โครงหน้าคมชัดมีเหลี่ยมมุมชัดเจน เรือนผมยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง คาดแถบแพรทองเส้นหนึ่งไว้บนหน้าผากส่องประกายเลื่อมระยับแยงตาอยู่ภายใต้แสงตะวัน
พอเห็นคนผู้นี้ เฮ่าเจินก็ลุกขึ้นมา ประสานมือคำนับชายฉกรรจ์ที่ควบม้านำเข้ามาใกล้พลางเอ่ยว่า “เสด็จอา ท่านมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ผู้ที่มาเยือนคือซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง
“หลานข้าช่างมีอารมณ์สุนทรีย์นัก!” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเอ่ยเยาะหยัน พลิกตัวลงจากหลังม้า ขาข้างหนึ่งมีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ส่วนเท้าขึ้นไปถึงข้อเข่ามีโครงโลหะคอยค้ำยันไว้ ยามเดินจึงกะโผลกกะเผลกไปมา
“ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฮ่าเจินหัวเราะแล้วตอบไป
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเดินเข้าไปชำเลืองมองข้างถัง มีน้ำอยู่เพียงครึ่งถังเท่านั้น ด้านในไม่มีปลาอยู่เลยสักตัว
เขาเบนสายตากวาดมองผิวทะเลสาบ พลันโน้มตัวลงไปอีกครั้ง คว้าคันเบ็ดที่อยู่บนพื้น ออกแรงดึงเล็กน้อย ปลาตัวหนึ่งที่มีขนาวยาวครึ่งท่อนแขนถูกลากขึ้นมาจากน้ำ หลุดร่วงจากกลางอากาศ ลงไปดิ้นไปมาอยู่บนพื้น
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งโยนคันเบ็ดออกไปแล้วเอ่ยว่า “หลานข้าปลาไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
เฮ่าเจินประสานมือกล่าวยอมรับอย่างจริงใจว่า “สู้เสด็จอาไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นหันไปชี้ปลาตัวนั้นพลางเอ่ยสั่งลูกน้องว่า “จัดการแล้วเอาไปทำอาหารเสีย เอามารับรองเสด็จอาได้พอดี”
เขาหันกลับมาหาผายมือเชิญเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง “เสด็จอาเดินทางมาไกล คาดว่าคงเหนื่อยล้า ไปพักผ่อนในกระโจมก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งกวาดตามองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง หันหลังเดินกะเผลกๆ ออกไป เฮ่าเจินติดตามไป
ทั้งสองเข้าไปในกระโจม เฮ่าอวิ๋นเซิ่งโบกมือสั่งให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป จากนั้นเดินเข้าไปนั่งในตำแหน่งประธาน
เฮ่าเจินยิ้มน้อยๆ รินน้ำชาส่งให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง เอ่ยถามว่า “ครานี้เสด็จอามาด้วยราชกิจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งถาม “จางสิงรุ่ยจากจวนประจิมของข้าล่ะ?”
เฮ่าเจินตอบว่า “เขาหรือ ไม่ได้ติดตามหลานแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไปตรวจสอบทรัพย์สินของเสด็จอาหกที่อยู่ทางตะวันตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าเฮ่าอวิ๋นเซิ่งคร่ำเคร่งขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขาล่ะ?”
เฮ่าเจินแปลกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าอย่ามาทำไขสือกับข้า ข้าไปสอบถามมาแล้ว เขาไม่ได้อยู่กับทางเจ้าหกเลย เอาตัวเขามาให้ข้าซะ” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งตบโต๊ะคราหนึ่ง
เฮ่าเจินเอ่ยด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “เสด็จอา จะไม่อยู่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งลุกขึ้นมา เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ทำงานอยู่ใต้บัญชาเจ้า พวกเจ้าไม่ได้ส่งจดหมายติดต่อกันบ้างเลยหรือ? อยู่หรือไม่อยู่เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?”
เฮ่าเจินรีบโบกมือเอ่ยไปว่า “เสด็จอาใจเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ หลานไม่ทราบสถานการณ์ของเขาจริงๆ ภารกิจที่ได้รับมาครานี้ท่านเองก็ทราบดีว่าเป็นภารกิจที่เสี่ยงจะล่วงเกินคนอื่น วาจาที่ก่อนหน้านี้ที่เสด็จอาเคยกล่าวไว้ตอนมาส่งหลานออกเดินทาง หลานยังคงจดจำได้อย่างชัดเจน เสด็จอาบอกให้หลานทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง หลานเองก็ทำตามที่เสด็จอาเคยบอกไว้จริงๆ จางสิงรุ่ยเป็นคนของเสด็จอา เขาไม่เคยส่งข่าวมาหาหลานเลย หลานหลงนึกว่าเป็นความประสงค์ของเสด็จอาจึงไม่ได้สอบถามซักไซ้และไม่ได้เข้าไปยุ่มย่าม ขอเพียงเขามอบคำอธิบายให้หลานหลังจากกลับมาแล้วก็พอ หลานไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะว่าตอนนี้สถานการณ์ของเขาเป็นอย่างไร”
“…..” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งอึกอักพูดไม่ออก ถูกตอกหน้าจนโต้ตอบไม่ได้
จวนประจิมรับผิดชอบดูแลเรื่องราวของราชวงศ์ พวกทรัพย์สินของราชวงศ์ล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของเขา ในบรรดาทรัพย์สินเหล่านั้นจะไม่มีปัญหาอยู่เลยได้อย่างไร หากตรวจสอบพบปัญหาขึ้นมา คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือเขา เขาจึงบอกใบ้ให้อีกฝ่ายทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งไปจริงๆ
ก่อนหน้านี้หลงนึกว่าเฮ่าเจินจงใจเรียกคนของเขามาใช้งานเพื่อเล่นลูกไม้อะไร แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว มันมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะเข้าใจผิดไปจริงๆ ที่สำคัญคือเด็กคนนี้ไม่เคยเข้ามายุ่งกับเรื่องวุ่นวายใดๆ เลย
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?” เฮ่าอวิ๋นเชิ่งถามด้วยความฉงน
เฮ่าเจินกล่าวอย่างจนปัญญา “เสด็จอา หลานไม่รู้เรื่องจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ! คนจะหายไปได้อย่างไรกัน เมื่อวานหลานยังได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทอยู่เลย เป็นรับสั่งที่พูดถึงเรื่องของจางสิงรุ่ยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งตกใจเล็กน้อย ถามไปว่า “ฝ่าบาทมีพระบัญชาถึงจางสิงรุ่ยหรือ? ทรงว่าอย่างไรบ้าง?”
…………………………………………………………