ตอนที่ 421 ลักพาตัว
ในหุบเขาลึกที่อยู่ห่างไกล ป่าเขาเขียวชอุ่ม แสงตะวันสาดส่องลงบนหน้าผาแห่งหนึ่ง ใต้ต้นสนเก่าแก่มีชิงช้าอันหนึ่งถูกผูกไว้ ก่วนฟางอี๋นั่งแกว่งไกวบนชิงช้า ชายกระโปรงพลิ้วตามสายลม ดูอิสระและผ่อนคลาย
หนิวโหย่วเต้าอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย นั่งสมาธิหันรับแสงตะวัน
กงซุนปู้ทะยานขึ้นเขามา เอียเรียกอยู่ห่างๆ “เต้าเหยี่ยขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าได้ยินจึงเก็บลมปราณแล้วค่อยๆ ลืมตาลุกขึ้นมา กงซุนปู้ถึงได้เดินเข้ามาหา เอ่ยรายงานว่า “ศึกทางมณฑลหนานโจวใกล้จบแล้วขอรับ กำลังเตรียมปิดฉากแล้ว หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรขึ้น มณฑลหนานโจวจะต้องตกอยู่ในมือของสำนักหยกสวรรค์แน่นอนขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “นึกว่าคงจะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าจะจบลงเร็วถึงเพียงนี้ ดูเหมือนแผนการเดิมก่อนหน้านี้คงใช้การไม่ได้แล้ว แจ้งทางเจ้าลิงให้ลงมือเถอะ!”
“ขอรับ!” กงซุนปู้ตอบรับแล้วทะยานลงเขาไปอีกครั้ง
ก่วนฟางอี๋ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนชิงช้าพลันเหินออกมาขณะที่ชิงช้าแกว่งอยู่ ร่อนลงข้างกายหนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามออกไป “เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องถามมาก ถามไปข้าก็ไม่มีทางบอกอยู่ดี เมื่อถึงเวลาที่สมควรรู้เจ้าย่อมได้รู้เอง อย่าปล่อยให้คนของทางเจ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็พอ”
ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “วางใจเถอะ ลุงเฉินพาคนไปด้วยตัวเอง จะปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าแดงคนนั้นของเจ้าแน่นอน”
….
ณ มณฑลจินโจว ภายในรถม้าคันหนึ่ง มีผู้ติดตามมาด้วยสิบกว่าคน แต่งกายธรรมเรียบง่าย เคลื่อนตัวผ่านออกมาจากประตูเมืองทิศตะวันออก
เซียวเทียนเจิ้นที่อยู่ในรถม้าคล้ายจะตัวสูงใหญ่ขึ้นไม่น้อย บนใบหน้าเองก็มีเลือดฝาดแล้ว เห็นได้ชัดว่าแข็งแรงขึ้นมาก เพียงแต่สีหน้าแววตากลับมีความรู้สึกหม่นหมองปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว คอยเหลือบมองหยวนกังที่นั่งข้างกันในรถม้าเป็นระยะๆ
หยวนกังหลับตาพักผ่อน สีหน้าไร้อารมณ์ เขารู้ดีว่าเซียวเทียนเจิ้นกำลังพิจารณาเขาอยู่
เนื่องจากทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างหยวนกังและไห่หรูเยวี่ย หนิวโหย่วเต้าจึงให้เขามาหาทางไห่หรูเยวี่ยอย่างเงียบๆ
ผลคือหลังจากมาถึงทางนี้แล้ว หยวนกังค่อนข้างแปลกใจเมื่อพบว่าเซียวเทียนเจิ้นลอบแสดงเจตนาอยากติดต่อกับเขาเป็นการส่วนตัวออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่ผ่านมาหยวนกังไม่เคยแยแสเลย แต่ครั้งนี้หลังจากได้รับข้อความจากทางหนิวโหย่วเต้า ในที่สุดเขาก็ตอบรับอีกฝ่าย ยอมออกมาล่าสัตว์กับเซียวเทียนเจิ้น
ทั้งคณะเดินทางออกจากตัวเมืองมาหลายสิบลี้ มายังแถบป่าเขาแห่งหนึ่ง รถม้าไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้ผู้โดยสารจึงต้องลงมาจากรถม้า เซียวเทียนเจิ้นและหยวนกังเปลี่ยนมาขี่ม้าสะพายธนูไว้บนหลัง ควบม้าเข้าสู่ป่าเขาอันกว้างใหญ่
หยวนกังสะพายธนูไว้ ไม่มีทีท่าว่าจะล่าสัตว์แม้แต่น้อย กลับเป็นเซียวเทียนเจิ้นที่น้าวธนูอยู่หลายครั้ง ยิงศรออกไปหลายดอกแล้ว แต่กลับยิงโดนกระต่ายเพียงตัวเดียวเท่านั้น ทักษะธนูของเขาเป็นอย่างไรนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่สุขภาพของเซียวเทียนเจิ้นในปัจจุบันนี้หากนำไปเทียบกับในอดีตที่มีสภาพอมโรคไม่สามารถออกกำลังกายหนักๆ ได้ก็นับว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่รู้ตั้งกี่เท่าแล้ว
แม้จะล่ากระต่ายมาได้เพียงตัวเดียว แต่เซียวเทียนเจิ้นกลับดีใจนัก ขอให้หยวนกังช่วยชำแหละทำความสะอาดให้ ส่วนตัวเขาไปก่อไฟบนเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เมื่อหยวนกังกลับจากนำกระต่ายไปล้างชำแหละที่ลำธาร ก็นำมาย่างบนกองไฟตามความประสงค์ของเซียวเทียนเจิ้น
หยวนกังนั่งย่างกระต่ายอยู่ข้างกองไฟพลางเหลือบมองไปรอบๆ สังเกตเห็นว่าเหล่าองครักษ์ถูกเซียวเทียนเจิ้นไล่ออกไปอยู่ห่างๆ คอยเฝ้าระวังอยู่รอบๆ เนินเขาเล็กๆ ไม่ทราบเช่นกันว่าเจ้าหนูเซียวเทียนเจิ้นคนนี้อยากนัดพบตนไปเพื่ออะไรกันแน่
พอเหลือบตามองไปที่เซียวเทียนเจิ้น เขาก็พบว่าเซียวเทียนเจิ้นกำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน จ้องมองตนด้วยสายตาที่ลุ่มลึกมีนัย
“ท่านผู้ว่าการมีธุระใดหรือ?” หยวนกังถาม
เซียวเทียนเจิ้นเอ่ยว่า “ผู้ว่าการอย่างนั้นหรือ? พี่หยวนคิดว่าข้ามีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้ว่าการมณฑลจินโจวได้หรือ?”
หยวนกังไม่ทราบว่าวาจานี้ของเขามีความหมายว่าอย่างไร “หรือว่าคุณชายมิใช่ผู้ว่าการมณฑล?”
เซียวเทียนเจิ้นเอ่ยโดยไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด “ข้าเป็นเพียงหุ่นเชิดแต่ในนามเท่านั้น ผู้มีอำนาจควบคุมมณฑลจินโจวอย่างแท้จริงคือท่านแม่ข้า”
หยวนกังเอ่ยว่า “แต่ก็อยู่ในมือของพวกท่านแม่ลูกอยู่ดี”
เซียวเทียนเจิ้นเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตามหลักแล้วสมควรเข้ารับหน้าที่ดูแลด้านการทหารและการปกครองได้แล้ว แต่ท่านแม่ไม่ยอมมอบอำนาจให้ บางทีอาจจะมีคนที่ไม่ต้องการให้ข้าได้รับอำนาจก็เป็นได้”
หัวข้อสนทนาค่อยๆ อ่อนไหวมากขึ้น หยวนกังไม่คิดเลยว่าเขาจะเอาเรื่องเช่นนี้มาพูดกับคนนอก พอได้ฟังก็เลิกคิ้วนิดๆ พลางพลิกกระต่ายที่อยู่ในมือย่างไปมา “ผู้ใดเล่าที่ไม่ต้องการให้คุณชายได้อำนาจ?”
ดวงตาเซียวเทียนเจิ้นฉายแววหม่นหมอง ฉากเหตุการณ์มากมายระหว่างหลีอู๋ฮวาแห่งวังสวรรค์หมื่นวิมานและไห่หรูเยวี่ยผุดขึ้นมาในสมอง เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วเปลี่ยนประเด็นไปว่า “ได้ยินว่ายงผิงจวิ้นอ๋องเข้าโจมตีมณฑลหนานโจวแล้ว รุกคืบดุดันรวดเร็ว มั่นใจว่าจะต้องยึดมณฑลหนานโจวมาได้แน่”
หยวนกังเหลือบมองเขา ไม่รู้ว่าเขาพูดเช่นนี้มีเจตนาใดอยู่อีก
เซียวเทียนเจิ้นกล่าวว่า “ถ้าสำนักบำเพ็ญเพียรมีอำนาจควบคุมโลกมนุษย์ธรรมดามากเกินไปล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ปกครองมณฑลหนานโจว หรือว่าคนที่ปกครองมณฑลจินโจว คาดว่าคงไม่มีทางได้อยู่ดีอย่างแน่นอน หากว่าทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันคงทำการใหญ่ได้สำเร็จ เท่าที่ข้าทราบมา หนิวโหย่วเต้ามีอิทธิพลต่อซางเฉาจงไม่น้อยเลย แล้วก็คอยช่วยแบ่งเบาภาระให้ซางเฉาจงเสมอมา ข้าหวังว่าพี่หยวนจะช่วยนำคำพูดของข้าไปถ่ายทอดให้หนิวโหย่วเต้า หวังว่าจะได้พบหน้ากันเพื่อเจรจา”
ในที่สุดหยวนกังก็เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว ตอนนี้เขาถูกจำกัดอำนาจในมณฑลจินโจวเอาไว้ จึงต้องการแรงสนับสนุนจากภายนอกเพื่อช่วงชิงอำนาจ
“ได้!” หยวนกังตอบรับ จากนั้นก็ชักดาบสามคำรามที่เหน็บอยู่ทางด้านหลังออกมา ตวัดดาบวาดมือออกไป คมดาบจ่อทาบเข้าที่ลำคอของเซียวเทียนเจิ้น
เซียวเทียนเจิ้นค่อนข้างมึนงง เอ่ยถามตะกุกตะกัก “ท่าน…ท่านคิดจะทำอะไร?”
หยวนกังใช้ดาบดันคางของเขา ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเขา
“บังอาจ!” องครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างเนินสังเกตเห็นแล้ว พลันตวาดกร้าวพลางพุ่งเข้ามา
หยวนกังขว้างกระต่ายย่างในมือออกไป จากนั้นลากตัวเซียวเทียนเจิ้นเข้ามา ใช้สันมือทุบเข้าที่ท้ายทอยของเซียวเทียนเจิ้น เซียวเทียนเจิ้นตาเหลือกแล้วสลบไปทันที
จากนั้นหยวนกังก็ล็อกตัวเซียวเทียนเจิ้นไว้ พาดคมดาบจ่อบนลำคอของเซียวเทียนเจิ้นด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่โอบล้อมเข้ามาจากทั่วสารทิศไม่กล้าโจมตีด้วยกลัวเซียวเทียนเจิ้นจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย
“ปล่อยคุณชายเดี๋ยวนี้!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งตวาดเสียงดัง “หากกล้าแตะต้องคุณชายแม้แต่ปลายเส้นผม เจ้าได้ตายอย่างไร้หลุมฝังกลบแน่นอน!”
ทันทีที่พูดจบ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรโพกหน้ากลุ่มหนึ่งทะยานออกมาจากในป่าที่อยู่ไกลออกไป มุ่งเข้ามาประจันหน้ากับทางนี้
หยวนกังตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลีกไป!”
เขามีตัวประกันอยู่ในมือ ทั้งยังตอบสนองว่องไวยิ่ง ตั้งท่าพร้อมป้องกันการโจมตีที่อาจจู่โจมเข้ามาจากทุกทิศทางอยู่ตลอดเวลา ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรของวังสวรรค์หมื่นวิมานไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ พวกเขายังไม่มีอำนาจพอจะตัดสินความเป็นความตายของเซียวเทียนเจิ้นได้ สุดท้ายเมื่อลำคอของเซียวเทียนเจิ้นถูกคมดาบบาดจนมีโลหิตซึมออกมา พวกเขาก็จำเป็นต้องยอมเปิดทางให้
เมื่อไปรวมตัวกับกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรโพกหน้าแล้ว หยวนกังโยนเซียวเทียนเจิ้นที่สลบอยู่ให้คนผู้หนึ่งไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นกลุ่มโจรลักพาตัวก็ล่าถอยหายลับเข้าไปในป่าลึกอย่างว่องไว
ผู้บำเพ็ญเพียรจากวังสวรรค์หมื่นวิมานรีบไล่ตามไปติดๆ ระหว่างที่ไล่ตามไปก็รีบปล่อยปีกทองให้กลับไปแจ้งข่าวต่อทางมณฑลจินโจว
……
ปีกทองเหินบินข้ามขุนเขาสายธารจนมาถึงตัวเมืองจินโจว ร่อนตรงเข้าไปในจวนผู้ว่าการมณฑล
ผ่านไปสักพัก ภายในจวนผู้ว่าการมณฑลพลันเกิดความโกลาหลขึ้น หลีอู๋ฮวาผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์หมื่นวิมานพาผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งทะยานออกจากจวนผู้ว่าการมณฑลไปอย่างเร่งร้อน ไม่คำนึงแล้วว่าจะทำให้ประชาชนตกใจ เหินร่อนเหยียบผ่านหลังคาบ้านเรือนในตัวเมืองไปอย่างรวดเร็ว เร่งเดินทางออกจากเมือง
เมื่อคนกลุ่มนี้จากไปได้ไม่นาน จดหมายฉบับหนึ่งก็ถูกส่งเข้าไปในจวนผู้ว่าการมณฑล
จดหมายถูกส่งต่อไปถึงมือของไห่หรูเยวี่ยที่ยังคงมีรูปโฉมงามพิลาส
ไห่หรูเยวี่ยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจกำลังเรียกระดมกำลังพลอยู่ เตรียมจะส่งไปสกัดกั้นตามเส้นทางต่างๆ เพื่อช่วยเหลือบุตรชาย ไหนเลยจะมีแก่ใจอ่านจดหมายอันใดอีก จึงยกมือสั่งการพ่อบ้านจูซุ่นว่า “เอาไว้ก่อน!”
นางโมโหจนแทบบ้าแล้วจริงๆ หยวนกังใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของนางเพื่อลักพาตัวบุตรชายของนางไป มิเช่นนั้นแล้วคนธรรมดาไม่มีทางเข้าถึงตัวบุตรชายตนได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องลักพาตัวอันใดเลย ตอนนี้กลับถูกคนในฉวยโอกาสเล่นงานเสียแล้ว
จูซุ่นกลับมีสีหน้าร้อนใจเช่นกัน แสดงข้อความบนซองจดหมายให้ดู “ฮูหยิน อ่านดูเถิดขอรับ”
ไห่หรูเยวี่ยเพ่งสายตามอง เห็นว่าบนซองจดหมายเขียนข้อความไว้สองวรรค คุณชายปลอดภัยดี องค์หญิงใหญ่โปรดเปิดอ่านด้วยตัวเอง!
ไห่หรูเยวี่ยพลันคว้าจดหมายไปทันใด แกะเอาจดหมายด้านในออกมาเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว
เนื้อความในจดหมายมีเพียงไม่กี่วรรคเท่านั้น รู้สึกถูกชะตากับคุณชายแต่แรกพบ เรียกได้ว่าคิดถึง จึงเชิญตัวมาพบกันสักระยะ วันหน้าจะส่งตัวกลับไปอย่างปลอดภัย ห้ามเรียกระดมพล ห้ามแพร่งพรายออกไป อย่าได้ทำลายสันติไมตรี!
ชื่อที่แนบท้ายเอาไว้คือ ‘หมอหมิงศิษย์หมอผี ขอแสดงความนับถือเป็นอย่างสูง!’
พอเห็นนามนี้ ไห่หรูเยวี่ยรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า สีหน้าซีดเซียวลงทันที ซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว นึกถึงวิธีการบำรุงรักษาที่หมอหมิงคนนั้นทิ้งไว้ให้ในครานั้นขึ้นมาทันที
ยามนั้นพอเห็นวิธีการบำรุงรักษาแผ่นนั้น นางเรียกได้ว่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง นางยังคงจดจำเหตุการณ์ที่ทางหอหิมะเหมันต์เดินทางมาเยือนได้
เวลาล่วงเลยมาสองสามปีแล้ว ถึงแม้เรื่องราวจะติดอยู่ในใจมาตลอด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยเกิดปัญหาใดขึ้น แล้วก็หวังว่าจะไม่เกิดปัญหาใดขึ้นตลอดไป แต่ใครจะไปคิดล่ะว่ากลัวสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ในที่สุดปัญหาที่เคยหวาดกลัวก็ปรากฏขึ้นแล้ว
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ไห่หรูเยวี่ยกัดฟันกรอดด้วยความคับแค้น เค้นเสียงลอดผ่านไรฟันออกมา “หนิวโหย่วเต้า! ไอ้สารเลว ต่ำช้าไร้ยางอาย ไอ้คนถ่อย…”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากนางยังไม่รู้อีกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นศิษย์หมอผีคือผู้ใด เช่นนั้นนางก็โง่เต็มทีแล้ว ตอนนั้นนางก็นึกสงสัยอยู่แล้วว่าเป็นหนิวโหย่วเต้า แต่จนปัญญาที่ว่าถึงตายอย่างไรหนิวโหย่วเต้าก็ไม่ยอมรับ อีกทั้งตัวนางเองก็ไม่มีหลักฐาน แล้วก็ไม่กล้าแพร่งพรายอะไรออกไป จึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป
ตอนนี้หยวนกังที่เป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต้าลงมือลักพาตัวบุตรชายนางไปด้วยตัวเอง จากนั้นก็มีจดหมายจากศิษย์หมอผีส่งตามมาติดๆ หากไม่ใช่ฝีมือของหนิวโหย่วเต้าแล้วจะเป็นผู้ใด
จูซุ่นถามด้วยสีหน้าหนักใจ “ฮูหยิน เหตุใดหนิวโหย่วเต้าต้องลักพาตัวคุณไปขอรับ?”
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต้า พ่อบ้านอย่างเขากลับไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่หยวนกังลักพาตัวเซียวเจิ้นไปแม้แต่น้อย แต่เขาไม่ทราบว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้พัวพันไปถึงเรื่องราวที่ใหญ่โตมากแค่ไหน เรื่องการรักษาด้วยผลตะวันชาดมีเพียงไห่หรูเยวี่ยคนเดียวที่รับรู้
ไห่หรูเยวี่ยไม่ได้เอ่ยตอบเขาว่าเพราะอะไร หากแต่เลือกทำตามคำเตือนในจดหมาย ระงับคำสั่งเคลื่อนพลที่เพิ่งถ่ายทอดลงไป
…..
ลึกเข้าไปในป่าเขากว้างไพศาล เหล่าบุรุษเหินทะยานไป พวกหยวนกังเร่งหนีเข้าสู่ป่า ผู้บำเพ็ญเพียรจากวังสวรรค์หมื่นวิมานไล่ตามหลังมาไม่ยอมปล่อย
แม้ว่าการที่เซียวเทียนเจิ้นตกอยู่ในมืออีกฝ่ายจะทำให้วังสวรรค์หมื่นวิมานไม่กล้าวู่วามลงมือ แต่มันกลับไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ง่ายๆ
บริเวณป่าเขาด้านหน้าค่อยๆ ปรากฏไอหมอกอบอวลล่องลอยหนาแน่น
พอเข้าไปใกล้ๆ พวกหยวนกังที่หลบหนีอยู่รีบยัดใบไม้สีเขียวมรกตใบเล็กใส่ปากไปหนึ่งใบ แม้แต่เซียวเทียนเจิ้นที่สลบอยู่ก็ถูกยัดใส่ปากไปใบหนึ่งเช่นกัน
ใบไม้นี้คือผลผลิตที่เก็บมาจากหมู่บ้านเร้นลับของพวกเหมิงซานหมิง คนในหมู่บ้านเรียกขานกันเองว่า ‘ใจกระจ่าง’ ส่วนทิศทางที่พวกหยวนกังมุ่งหน้าไปก็คือหมู่บ้านเร้นลับที่ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางหุบเขากว้างใหญ่ไพศาล
จะลักพาตัวเซียวเทียนเจิ้นกันอย่างไร จะหลบหนีกันอย่างไร ทุกอย่างล้วนถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี
คนกลุ่มนี้ถึงได้เร่งหลบหนีเข้าสู่หุบเขาที่มีหมอกอบอวลหนาทึบเช่นนี้
“เขตอากาศพิษ!” ใครคนหนึ่งในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไล่ตามมาตะโกนเสียงดังด้วยความร้อนใจ ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนหนึ่งจากวังสวรรค์หมื่นวิมานทยอยร่อนดิ่งลงสู่พื้น หยุดอยู่ด้านนอกไอหมอกที่ล่องลอยอบอวล ไม่กล้าตามเข้าไปลึกกว่านี้ ได้แต่เบิกตามองกลุ่มโจรลักพาตัวของหยวนกังหายลับเข้าไปในส่วนลึกของหมอกอันหนาทึบ
……………………………………………………………………