ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 441 ปลิดชีพด้วยศรเดียว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 441 ปลิดชีพด้วยศรเดียว

ตอนที่ 441 ปลิดชีพด้วยศรเดียว

เขาไม่ได้ฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปต่อสู้กับเผิงอวี้หลาน หากแต่ฉวยโอกาสช่วงที่เผิงอวี้หลานถูกลูกศรถ่วงเวลาไว้ ตั้งท่าป้องกันพร้อมกับยื่นมืออีกข้างไปด้านหลัง ลากตัวซางเฉาจงออกไป พุ่งตัวออกไปด้านข้าง ร่างกายบึกบึนกระแทกตัวเข้าใส่ผนังด้านข้างเต็มแรง

เกิดเสียงดังครืน อิฐผนังแตกกระจาย

หยวนกังพาซางเฉาจงมุดผ่านผนังออกไปจากห้องโถง ไม่สนใจความเป็นความตายของคนอื่นๆ

ในใจเขาทราบชัดเจนดี หากปะทะกับผู้บำเพ็ญเพียรที่ทรงพลังอย่างเผิงอวี้หลาน ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายแน่นอน

บางทีตนอาจจะอาศัยพละกำลังสกัดไว้ได้สักพัก แต่หากว่าต่อสู้พัวพันกันต่อไปจริงๆ มีความเป็นไปได้สูงที่ตนจะพลาดท่าด้วยน้ำมืออีกฝ่าย

แต่นั่นเป็นเพียงสถานการณ์ที่ตนฝืนต้านเอาไว้เพียงคนเดียว บางทีอาจจะยื้อไว้ได้อีกเล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่เขานำกำลังคนเสี่ยงบุกเข้ามา แลกชีวิตไปมากมายขนาดนี้ การช่วยซางเฉาจงต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุด จะปล่อยให้เกิดเหตุร้ายกับซางเฉาจงไม่ได้ มิเช่นนั้นความพยายามของเต้าเหยี่ยจะสูญเปล่า การตายของพวกพ้องเหล่านั้นก็จะสูญเปล่าเช่นกัน

ขอเพียงซางเฉาจงรอด คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงจะมีโอกาสรอดไปด้วย หากซางเฉาจงตาย เกรงว่าคนอื่นๆ ก็อย่าหมายจะรอดชีวิตออกไปจากวงล้อมกองทัพใหญ่ได้

ว่ากันตามตรง หากเผิงอวี้หลานไม่ได้เข้ามาพัวพันกับเขา หากแต่ทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อสังหารซางเฉาจงล่ะก็ ด้วยกำลังของหยวนกังแล้ว เขาไม่มีทางปกป้องซางเฉาจงไว้ได้เลย

พอเห็นว่าทั้งสองคนหลบหนีไป เผิงอวี้หลานไหนเลยจะยอมปล่อยให้ซางเฉาจงหนีไปได้ นางพุ่งตัวผ่านช่องบนผนังไล่ตามไปทันที

คนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้องรอดพ้นจากการคุกคามของเผิงอวี้หลานทันที

“ยิงธนู!”

พอเห็นหยวนกังพาซางเฉาจงหนีออกมา หนงฉางกว่างตวาดสั่งการทันที

ธนูน้าวสายขึ้นศรในทันใด ลูกศรพุ่งออกไปดั่งห่าฝน

หยวนกังรู้แต่แรกแล้วว่ามีพลธนูกลุ่มหนึ่งคอยจ้องจะลงมืออยู่ เขาเตรียมใจมาแต่แรกแล้ว พอได้ยินเสียงก็พาซางเฉาจงกระโจนพื้น จากนั้นกลิ้งตัวใช้ซากศพที่กองอยู่บนพื้นเป็นเครื่องกำบัง พยายามปกป้องซางเฉาจงให้ปลอดภัย

เผิงอวี้หลานที่พุ่งตามออกมากลับไม่ทันเตรียมตัว คิดไม่ถึงว่าคนฝั่งตนจะยิงธนูเข้าใส่ตน พอพุ่งพ้นช่องผนังมาก็สะดุ้งโหยง โคจรพลังยกแขนสองข้างผลักออกไป ลูกศรจำนวนมากลอยค้างอยู่กลางอากาศ

โชคดีที่รถหน้าไม้อืดอาด กว่าจะยิงได้จำเป็นต้องใช้เวลาเล็กน้อย艾琳小說

เฟิ่งรั่วอี้เองก็ตกใจเช่นกัน รีบตวาดด้วยความโกรธ “หยุดมือ!”

พลธนูหยุดทันที หยวนกังลากซางเฉาจงกระเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งตรงขึ้นสู่หลังคา

“ข้างบน…” เฟิ่งรั่วอี้ชี้มือขึ้นไป กล่าวไปได้เพียงครึ่งเดียวก็เงียบลง จ้องมองขึ้นไปบนหลังคาด้วยสีหน้าตระหนกลนลาน

เผิงอวี้หลานสะบัดแขนทั้งสองข้าง ปัดลูกศรที่ลอยอยู่กลางอากาศจนกระเด็นออกไป นางทะยานร่างเหินสู่อากาศ พอร่อนลงบนหลังคาก็ชะงักค้างไปเช่นกัน สีหน้าเคร่งเครียด

ไป๋เหยาปรากฏตัวขึ้นบนหลังคา หยวนกังลากซางเฉาจงไปยืนอยู่ด้านหลังไป๋เหยา ผู้บำเพ็ญเพียรสำนักหยกสวรรค์ที่ติดตามมาก็ร่อนตามลงมาคุ้มกันคนทั้งสอง

นี่คือเป้าหมายที่หยวนกังพยายามทุกวิถีทางเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้

ไป๋เหยาได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในอากาศ เขากวาดสายตาเย็นชามองห้องโถงที่พังพินาศ ซ้ำยังมีซากศพกองเต็มไปหมด สายตาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเผิงอวี้หลานที่สีหน้าหมองคล้ำ เอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เผิงอวี้หลานตอบว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าเรื่องครั้งนี้สำคัญต่อข้าและทั้งครอบครัวของข้า อย่ามาขวางข้า หลีกไป!”

ไป๋เหยาถาม “เจ้ายังใช่ศิษย์สำนักหยกสวรรค์อยู่หรือไม่? คำสั่งของสำนักยังอยู่ในสายตาของเจ้าหรือไม่?”

เผิงอวี้หลานตวาดใส่ “อย่าบังคับข้า!”

ไป๋เหยากล่าวว่า “เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน หากกล้าลงมือกับศิษย์ร่วมสำนัก แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้”

เผิงอวี้หลานพุ่งตัวร่อนลงไปในลานเรือน ร่อนลงข้างกายบุตรชาย ชี้กระบี่ขึ้นไปทางหลังคา “รถหน้าไม้!”

หนงฉางกว่างสั่งการทันที “เล็งไปที่หลังคา เร็วเข้า!”

รถหน้าไม้ขนาดใหญ่จ่อยิงขึ้นมาจากด้านล่างทันที

ไป๋เหยาไม่ขยับเขยื้อน เพียงจ้องมองเผิงอวี้หลานด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งแว่วดังมาจากด้านหลังของเผิงอวี้หลาน มาจากหลังคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ทางด้านหลังจุดที่เหล่าทหารมารวมตัวกัน “อวี้หลาน แม้แต่ข้าเจ้าก็จะสังหารด้วยกระมัง?”

เผิงอวี้หลานได้ยินก็ตัวสั่นขึ้นมา ค่อยๆ หันกลับไป มองเห็นเฟิงเอินไท่ที่หน้าดำคร่ำเครียดยืนอยู่บนหลังคา

“อาจารย์อา!” เผิงอวี้หลานเอ่ยเสียงเศร้า กระบี่ในมือร่วงลงพื้นดังเคร้ง นางค่อยๆ หลับตาลง

นางไม่มีความสามารถพอจะลงมือกับเฟิงเอินไท่ได้ หรือต่อให้มีความสามารถขนาดนั้นนางก็ไม่กล้าอยู่ดี ต่อให้สังหารซางเฉาจงและไป๋เหยาไปด้วยกัน เพื่อผลประโยชน์ของตนแล้ว สำนักหยกสวรรค์อาจจะพอยอมให้โอกาสทางนี้ได้บ้าง แต่ถ้าลงมือกับเฟิงเอินไท่ หากกล้าแตะต้องแม้กระทั่งผู้อาวุโสของสำนักหยกสวรรค์ เช่นนั้นจะกระทบต่อประโยชน์ของสมาชิกระดับสูงทั้งหมดในสำนักหยกสวรรค์ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว

เฟิ่งรั่วอี้ที่อยู่ด้านข้างกัดฟันแน่น สีหน้าซีดเซียว กระบี่ที่ถืออยู่ในมือยันพื้นไว้ รู้ดีว่าจบสิ้นแล้ว รู้สึกเกลียดชังตนเองที่ไร้ความสามารถ

เฟิงเอินไท่ตวาดด้วยความโกรธ “ยังไม่สั่งให้คนสลายตัวออกไปอีก?”

เหล่าทหารมองกันไปมองกันมา

หนงฉางกว่างพลันตวัดแขนร้องสั่ง “ทุกคนวางอาวุธ ถอนกำลังเดี๋ยวนี้!”

เฟิ่งรั่วอี้ไม่ได้ขัดขวาง จากนั้นไม่นานเหล่าทหารก็สลายตัวไป เหลือเพียงซากศพที่นอนจมกองเลือดเกลื่อนพื้น

เฟิงเอินไท่ทะยานลงมาบนพื้น เดินย่ำพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยโลหิต เฉียดผ่านข้างกายเผิงอวี้หลานไป ยามที่เดินผ่านเขาโบกมือเล็กน้อย ศิษย์หลายคนที่ตามหลังมาลงมืออย่างรวดเร็ว คุมตัวเผิงอวี้หลานเอาไว้ทันที

เผิงอวี้หลานสีหน้าเผือดซีด ไม่ได้ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น

เฟิ่งรั่วอี้ผู้เป็นบุตรชายอึกอักคล้ายอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

ภายในห้องโถง พวกหลานรั่วถิงมองออกไปด้านนอก

หยวนกังพาซางเฉาจงลงมาด้านล่าง ไป๋เหยาที่อยู่ด้านข้างประสานมือคำนับเฟิงเอินไท่ที่เดินเข้ามาหา

เฟิงเอินไท่มองไป๋เหยาด้วยแววตาโกรธเคือง “เจ้ารับผิดชอบดูแลทางนี้ ไยจึงปล่อยให้เกิดเรื่องจนเป็นเช่นนี้ได้”

“อาจารย์อา ศิษย์พี่หญิงนำป้ายคำสั่งของท่านมา…” ไป๋เหยาเล่าสถานการณ์ทั้งหมดออกมา

หยวนกังที่อยู่ข้างๆ ได้ฟังก็เข้าใจขึ้นมาแล้วว่าทางเฟิ่งหลิงปอใช้ลูกไม้อันใด

สีหน้าซางเฉาจงดูแย่เป็นอย่างมาก นับว่ายืนยันได้แล้วว่าตระกูลเฟิ่งตั้งใจจะสังหารตนทิ้งที่นี่จริงๆ ความรู้สึกเช่นนี้มีเพียงคนที่ประสบเรื่องราวอย่างเขาเท่านั้นถึงจะรู้แจ้งแก่ใจดีที่สุด

เฟิงเอินไท่ที่ใบหน้ากระตุกขึ้นมาเล็กน้อยหันกลับไปด้วยความโกรธ เดินสาวเท้าเข้าไปหาเผิงอวี้หลาน ยื่นมือออกไปทวงถาม “ป้ายคำสั่งล่ะ?”

เผิงอวี้หลานค่อยๆ ล้วงป้ายคำสั่งออกมาจากแขนเสื้อ

เฟิงเอินไท่คว้าป้ายคำสั่งไปพลางโบกไปมา ถามเสียงกร้าว “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”

เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเผิงอวี้หลานจะกล้าหลอกเขาได้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ หากไม่เรียกว่าบ้าแล้วจะเรียกอะไร?

เขาไม่เชื่อว่าเฟิ่งหลิงปอจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากเฟิ่งหลิงปอ ไหนเลยจะสามารถเคลื่อนกำลังพลมาทำเรื่องนี้อย่างไร้ความกริ่งเกรงได้ เขาเพิ่งจะได้รู้ซึ้งก็วันนี้ว่าความโลภของคนน่ากลัวจริงๆ ไม่ว่าเจ้าจะใช่สำนักบำเพ็ญเพียรอันใดหรือไม่ แม้แต่คนธรรมดาก็ยังหาญกล้ามาท้าทายสวรรค์!

จู่ๆ เผิงอวี้หลานก็ระเบิดอารมณ์โวยวายขึ้นมา “ใช่ ข้าบ้าไปแล้ว ข้าบ้าก็เพราะพวกท่านบีบคั้น! ปีนั้นเพื่อเข้ายึดจังหวัดกว่างอี้ ครอบครัวของข้าทุ่มเทกำลังเพื่อสำนักหยกสวรรค์ บุตรธิดาของข้าแต่ละคนเสี่ยงชีวิตออกไปต่อสู้ในสนามรบ มีครั้งใดบ้างที่ไม่นำหัวศัตรูกลับมา มีคนใดบ้างที่ไร้บาดแผลบนร่าง? ไม่ง่ายเลยว่าจะตั้งตัวในจังหวัดกว่างอี้ได้อย่างมั่นคง ไม่ง่ายเลยกว่าจะดูแลจังหวัดกว่างอี้ให้ดีได้ แต่พวกท่านบอกจะยกให้คนอื่นก็ยกให้เลย ตอนนี้ก็จะทำแบบนั้นอีกมิใช่หรือ? พวกเราเพียงต้องการสิ่งที่พวกเราสมควรได้ ผิดตรงไหนกัน?”

ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่ขนาบอยู่สองด้านลงมือทันที เข้ายึดแขนซ้ายขวาของนาง กดตัวนางเอาไว้ เพื่อไม่ให้นางกระทำเรื่องเสียมารยาทอันใดต่อเฟิงเอินไท่ไปมากกว่านี้

เฟิงเอินไท่ชี้หน้านาง “คำพูดของเจ้าเหล่านี้ รอให้บิดาของเจ้ากลับมาแล้วค่อยไปพูดกับเขาแล้วกัน!” ว่าจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

ในเวลานี้เอง ผึ่ง! จู่ๆ ก็มีเสียงธนูดังขึ้น! มีเสียงลูกศรพุ่งแหวกอากาศ

ร่างกายของเฟิ่งรั่วอี้ที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ด้านข้างพลันกระตุกขึ้นมา สองตาเบิกกว้าง ธนูดอกหนึ่งพุ่งตรงปักเข้าที่ข้างขมับเขา ร่างเขาส่ายโงนเงนไปมา ล้มหงายหลังดังตึง ตัวกระตุกบิดเกร็ง

เฟิงเอินไท่ที่เดินไปถึงประตูพลันหันกลับมาทันที

ทุกคนล้วนมองไปที่ใต้ชายคาห้องโถงที่พังเสียหาย มองเห็นซางเฉาจงที่มีสีหน้าเย็นชาถือธนูคันหนึ่งไว้ในมือ

เป็นเขาที่ยิงธนูออกไป เขาอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ เดินออกไปด้านข้างอย่างเงียบเชียบ หยิบธนูคันหนึ่งขึ้นมาแล้วหันกลับไปยิงใส่เฟิ่งรั่วอี้อย่างกะทันหัน

เขาเคยบอกไปแล้วว่าจะฆ่าเฟิ่งรั่วอี้ให้ได้!

เขารู้ดีว่าหากปล่อยให้สำนักหยกสวรรค์เข้ามาจัดการเฟิ่งรั่วอี้ ถึงอย่างไรเฟิ่งรั่วอี้ก็เป็นหลานชายของเผิงโย่วไจ้ หากพลาดโอกาสนี้ไป วันหน้าก็ยากจะหาโอกาสลงมือได้อีก ต้องฉวยโอกาสนี้ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจ ลงมือสังหารอย่างเด็ดขาด ปลิดชีพเฟิ่งรั่วอี้ด้วยธนูดอกเดียว!

ไป๋เหยาพุ่งเข้ามายึดคันธนูในมือซางเฉาจงไป

สีหน้าของไป๋เหยาเรียกได้ว่าโกรธเกรี้ยวนัก นี่คือความเลินเล่อของเขาที่ปล่อยให้ซางเฉาจงฉวยโอกาสลงมือภายใต้จมูกเขาได้

แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้ ใครมันจะไปคิดถึงกันเล่า เมื่อครู่ความสนใจของทุกคนล้วนอยู่ที่เฟิงเอินไท่กับเผิงอวี้หลานทั้งสิ้น

ซางเฉาจงไร้ซึ่งความกริ่งเกรง ไป๋เหยาเองก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ ไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไร จึงหันกลับไปมองเฟิงเอินไท่

เฟิงเอินไท่ตะลึงงันไปแล้ว หลานชายของศิษย์พี่เจ้าสำนักสิ้นชีพลงต่อหน้าของเขา!

ซางซูชิงที่อยู่ในห้องโถงอุดปากตัวเองไว้ คิดไม่ถึงว่าพี่ชายจะลงมือสังหารพี่ภรรยาของตัวเองอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!

หยวนกังหันไปมองซางเฉาจงอย่างเงียบเชียบไร้วาจา

เหมิงซานหมิงและหลานรั่วถิงสบตากันเล็กน้อย ถอนหายใจดัง “เฮ้อ!” ออกมาเบาๆ

เผิงอวี้หลานเบิกตากว้าง มองเห็นบุตรชายล้มลงต่อหน้าตน พลันหวีดร้องเสียงแหลม “อี้เอ๋อร์!” นางสะบัดแขน พยายามดิ้นรนให้พ้นจากการควบคุม

ศิษย์ร่วมสำนักสองคนที่คุมตัวนางก็ตะลึงงันไปแล้วเช่นกัน ทำให้นางดิ้นหลุดออกไปได้ง่ายๆ แล้วก็ไม่ได้ไล่ตามไปควบคุมอีก

เผิงอวี้หลานพุ่งเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต แม้จะสะดุดกองซากศพใต้เท้าก็ยังวิ่งล้มลุกคลุมคลานเข้าไปหา คุกเข่าลงบนพื้น โอบกอดบุตรชายแล้วเขย่าตัว เปล่งเสียงคร่ำครวญน่าเวทนา “ช่วยเขาด้วย อาจารย์อา ช่วยอี้เอ๋อร์ด้วย!”

เฟิงเอินไท่รีบพุ่งตัวเข้าไปทันที คุกเข่าลงตรวจอาการเล็กน้อย ทราบทันทีว่าหมดทางช่วยแล้ว อีกฝ่ายสิ้นใจไปแล้ว หนึ่งศรจากซางเฉาจงโจมตีเข้าที่จุดตาย ปลิดชีพเฟิ่งรั่วอี้ได้ในคราวเดียว ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยไม่ได้!

“อ๊า!” เผิงอวี้หลานโอบกอดบุตรชายที่แน่นิ่งไป เงยหน้าร้องไห้คร่ำครวญอย่างโศกเศร้า เสียงร้องไห้ชวนขนหัวลุก

เฟิงเอินไท่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องมองซางเฉาจงด้วยสายตาเย็นชา

จู่ๆ เผิงอวี้หลานก็ปล่อยบุตรชายลง หยิบดาบที่อยู่บนพื้นขึ้นมา พุ่งเข้าหาซางเฉาจงอย่างไม่คำนึงถึงชีวิต ประหนึ่งสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง แผดร้องพลางพุ่งเข้าใส่ “ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ซางเฉาจงที่มีโลหิตเปรอะร่างยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน รอให้นางพุ่งเข้ามาหา

จนใจที่เพิ่งจะพุ่งเข้าใกล้ ไป๋เหยาก็ทะยานไปปรากฏตัวทางด้านหลังเผิงอวี้หลานแล้วจี้จุดลงที่ท้ายทอยนาง เผิงอวี้หลานตัวอ่อนยวบล้มลงในวงแขนเขาทันที สลบไสลไป

เฟิงเอินไท่เดินกลับไปกลับมาในลานเรือน ได้กลิ่นคาวโลหิต มองเห็นซากศพเกลื่อนพื้น มองเผิงอวี้หลานที่สลบอยู่ในวงแขนไป๋เหยา จากนั้นก็มองซางเฉาจงที่เปรอะเปื้อนเลือดไปทั้งตัว สุดท้ายก็หยุดเท้าลงตรงหน้าศพเฟิ่งรั่วอี้ ยกมือไพล่หลังจ้องมองแล้วถอนหายใจคราหนึ่ง “ไยต้องหาเรื่องใส่ตัวกันด้วย! คุมตัวไว้ให้หมด รอเจ้าสำนักกลับมาตัดสิน!”

ณ ประตูเมืองทิศเหนือ หนงฉางกว่างที่ควบม้าเข้ามารั้งเบียนเหียนหยุดม้า ตะโกนสั่งว่า “มีคำสั่งด่วนของกองทัพ รีบเปิดประตูเมืองซะ!”

ประตูใหญ่เปิดออก หนงฉางกว่างพาลูกน้องคนสนิทหลายคนควบม้าจากไป

พอออกห่างจากเมืองมาแล้ว ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว ม้าถูกรั้งให้หยุด หนงฉางกว่างหันกลับไป ทอดสายตามองเมืองซั่งผิงที่อยู่ไกลออกไป ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “พวกเราไร้ที่ยืนในหนานโจวแล้ว ไปเถอะ! ยิ่งเร็วยิ่งดี ยิ่งไกลยิ่งดี!” ว่าจบก็ลงแส้เร่งม้า

เขารู้ดีว่าเฟิ่งหลิงปอสิ้นอำนาจแล้ว ต่อให้รอดชีวิตก็คงไม่มีจุดจบที่ดี ซางเฉาจงไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่ ดังนั้นหลังจากถอนกำลังออกมาจากเรือนที่ถูกจู่โจม เขาก็ไม่ได้กลับไปรายงานเฟิ่งหลิงปอที่ศาลาว่าการ หากแต่ฉวยโอกาสที่ป้ายสั่งการทัพของตนยังใช้การได้อยู่ ตัดสินใจหนีออกจากเมือง

เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่น ขบวนม้าหายลับไปที่ปลายถนนอย่างรวดเร็ว หนีไปหาทางรอดอื่น…

…………………………………………………………………….

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท