ตอนที่ 453 ลุงเฉินมีปัญหา
ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้จะเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง “เจ้าคิดให้ดีเถอะ ตงกัวเฮ่าหรานขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเจ้าอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ตงกัวเฮ่าหรานเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์! ไม่ว่าตงกัวเฮ่าหรานจะได้ถ่ายทอดอันใดให้เจ้าหรือไม่ ถึงอย่างไรตงกัวเฮ่าหรานก็ไม่ได้ทำผิดต่อเจ้า กล่าวเช่นนี้อาจจะดูจอมปลอมไปบ้าง แต่ในชีวิตคนเราก็มีศักดิ์ศรีบางอย่างที่ต้องแบกรับไว้โดยไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ เรื่องของถังอี๋ต่อให้เจ้าจะทะเลาะวุ่นวายอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างหนุ่มสาวของเจ้ากับถังอี๋ แต่หากเจ้าทำลายล้างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ นั่นคือการอกตัญญูล้มล้างบรรพจารย์ นับเป็นสิ่งต้องห้ามร้ายแรงในโลกบำเพ็ญเพียร”
“พวกเขาสามารถสังหารข้าได้ แต่ข้ากลับสังหารพวกเขาไม่ได้ นี่มันเหตุผลใดกัน?” หนิวโหย่วเต้าปรายตามอง
“ถูกต้อง ถึงแม้จะอยุติธรรมต่อเจ้า แต่บนโลกนี้ไหนเลยจะมีความยุติธรรมเสมอภาค ชีวิตคนเราเดิมทีก็มีเรื่องอยุติธรรมมากมายที่จะต้องเผชิญหน้าและต้องทนแบกรับไว้อยู่แล้ว หากเจ้าไม่ยอมรับคุณธรรมอันเป็นข้อผูกมัดของโลกนี้ สนใจแต่บุญคุณความแค้นของตัวเอง เขาก็จะกลายเป็นมารร้ายนอกรีตในสายตาของคนทั้งโลก จะไม่มีผู้ใดยอมคุยเรื่องยุติธรรมไม่ยุติธรรมอันใดกับเจ้าอีก!”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของตัวเองอยู่ ในเมื่อข้ากล้าลงมือทำ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางสืบสาวมาถึงตัวข้าได้!”
สรุปคือไม่ว่าก่วนฟางอี๋จะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่เป็นผล
หลังกินอาหารเสร็จ คนของสวนไม้เลื้อยได้เห็นหยวนกังออกไปจัดการตามความประสงค์ของหนิวโหย่วเต้าด้วยตาตน ไปเอาปีกทองที่อยู่ในการดูแลของเหล่าสือเอ้อร์มาแล้วส่งข่าวออกไป
ไม่นานนัก ตรงมุมกำแพงฝั่งตะวันตกนอกโรงเตี๊ยมได้มีเงาร่างหนึ่งพุ่งผ่านออกไป ขณะที่พุ่งผ่านไปได้ซัดฝ่ามือออกมา ประทับตราแมลงแปลกประหลาดตัวหนึ่งไว้ตรงมุมกำแพงที่เห็นได้ชัดเจน เป็นรูปแมลงสีขาว
แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันแน่ รอยแมลงรูปนี้ก็ได้ถูกใครสักคนที่สัญจรผ่านมาเช็ดออกไป
หลังจากรัตติกาลเข้าครอบคลุม ท่ามกลางผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนน มีใครคนหนึ่งถือพวงโคมเล็กๆ สามดวงห้อยเรียงกันเดินผ่านด้านนอกโรงเตี๊ยมไป ดูเหมือนจะเป็นคนธรรมดาในเมืองวั่นเซี่ยง แต่ในบรรดาโคมไฟสามดวงนั้นมีเพียงโคมตรงกลางที่ไร้แสง
คล้ายว่าคนผู้นั้นจะไม่ทันระวัง บังเอิญเดินชนคนที่กำลังจะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเล็กน้อย คนที่ถูกชนหันมามองด้วยแววตาเย็นชา เป็นลุงเฉินนั่นเอง
คนที่ถือโคมไฟรีบขอโทษขอโพย
ลุงเฉินสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ถือสาเอาความอันใดกับเขา เดินกลับเข้าโรงเตี๊ยมไป
ชายถือโคมเดินมุ่งหน้าตามถนนต่อไป
ภายในรอยแง้มเล็กๆ ของหน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับโรงเตี๊ยม ดวงตาคู่หนึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์การชนกันโดยบังเอิญครั้งนี้อยู่ท่ามกลางความมืด จากนั้นก็คอยสังเกตการณ์ทางฝั่งโรงเตี๊ยม ดูว่าจะมีใครตามคนถือโคมไฟไปหรือไม่
แต่ตรงกำแพงสวนด้านหลังที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมกลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมา กระโจนข้ามกำแพงไปในชั่วพริบตา เป็นหยวนกังที่ผ่านการแปลงโฉมแล้ว
หยวนกังเลี่ยงทิศทางประตูหลักของโรงเตี๊ยม ออกจากโรงเตี๊ยมผ่านทางประตูหลัง เขาเร่งฝีเท้าวิ่งผ่านเข้าไปในตรอกสายหนึ่งอย่างรวดเร็ว ออกไปโผล่ที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งเป็นถนนหลักที่อยู่ทางประตูหลักของโรงเตี๊ยมเส้นนั้น ล่วงหน้ามาดักอยู่ด้านหน้าของชายถือตะเกียงก่อนแล้วค่อยผ่อนฝีเท้าลง สวมผ้าคลุมมีหมวกสีดำคลุมร่างไว้
ไม่นานนัก ชายคนที่ถือโคมไฟก็เดินผ่านหยวนกังไป
ชายถือโคมเดินมุ่งทางทิศตะวันออก สุดท้ายก็หักเลี้ยวเข้าสู่ตรอกเส้นหนึ่ง เข้าไปในเรือนเล็กหลังหนึ่ง
ผ่านไปพักใหญ่ก็มีเงาดำของปีกทองตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากเรือนเล็กบินสู่นภา โฉบหายลับไปในท้องฟ้ายามราตรี
ภายในเรือนเล็กอีกหลังหนึ่งที่อยู่ในละแวกนี้ เด็กน้อยกำลังเล่นกระโดดเชือกกันอยู่ภายใต้โคมไฟที่ส่องสว่างอยู่ใต้ชายคา เงาดำร่างหนึ่งที่หมอบฟุบอยู่บนหลังคาค่อยๆ พลิกตัวไถลลงมาอย่างเงียบเชียบ มือคว้าจับช่องลมบนกำแพงเล็กน้อย ชะลอความเร็วในการร่วงลงสู่ด้านล่าง ร่อนลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา ผ้าคลุมสีดำห่อหุ้มร่างไว้ เร่งฝีเท้าจากไป…
ภายในโรงเตี๊ยม ไม่รู้ว่าหยวนกังกลับมาตั้งแต่ตอนไหน ยามที่เดินผ่านเฉลียงทางเดินได้ช้อนตามองคันฉ่องบานหนึ่งตรงมุมคานหลังคาที่เป็นจุดอับสายตาเล็กน้อย พอเดินผ่านหน้าประตูห้องหยวนฟางก็เคาะประตูเล็กน้อย จากนั้นเดินตรงไปที่ห้องของหนิวโหย่วเต้า
ภายในห้องของหยวนฟาง หยวนฟางนั่งอยู่ริมหน้าต่างท่ามกลางความมืด นั่งเฝ้าคันฉ่องสองบานอยู่ เบิกตากว้างจ้องมองภาพสะท้อนจากการหักเหของแสงบนคันฉ่องทั้งสองบานโดยแทบไม่กล้ากะพริบตา
สุดปลายของชายคาด้านนอกที่แขวนโคมไฟห้อยเรียงไว้ก็มีคันฉ่องบานหนึ่งซ่อนอยู่เช่นกัน ตั้งอยู่ตรงข้ามคันฉ่องบานหนึ่งที่เขาเฝ้าอยู่ ถึงแม้จะมองเห็นอะไรไม่ชัดเจน แต่หากมีคนเดินเข้าออกผ่านแนวหน้าต่างด้านนอกล่ะก็ จะต้องสังเกตเห็นได้แน่นอน
ส่วนคันฉ่องอีกบานหันหน้าเข้าหาเฉลียงทางเดินของโรงเตี๊ยม ถึงแม้จะมองอะไรไม่ชัดเช่นกัน แต่หากห้องใดมีคนเข้าออกก็จะจับสังเกตได้เช่นกัน
คันฉ่องเหล่านี้ถูกติดตั้งโดยหยวนกัง หยวนฟางก็ไม่เข้าใจว่าหนวนกังกำลังทำอะไร แต่คำสั่งของหยวนกังมีเพียงประการเดียว นั่นคือให้จดจำว่ามีใครเข้าออกห้องไหนบ้าง
พอได้รับสัญญาณว่าหยวนกังกลับมาแล้ว หยวนฟางที่นั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกพลันโล่งใจ ยกมือขยี้ตาเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้ามองถั่วที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ
ถั่วพวกนี้ก็เป็นหยวนกังที่ทำขึ้นมา ให้หยวนฟางที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์ใช้การเคลื่อนย้ายถั่วเพื่อนับจำนวนครั้งเข้าออกของคนอื่นๆ
หยวนฟางปล่อยผีเสื้อจันทราออกมา หยิบกระดาษกับพู่กันแล้วเริ่มนับจำนวนถั่วบนโต๊ะอย่างละเอียด จดบันทึกจำนวนครั้งเข้าออกของทุกคนในชั้นนี้ลงบนกระดาษ พร้อมกับนึกทบทวนช่วงเวลาเข้าออกอย่างคร่าวๆ แนบไปด้วย
พอเขียนเสร็จเรียบร้อยก็หยิบกระดาษสอดเข้าแขนเสื้อ เก็บผีเสื้อจันทราเดินออกจากห้อง เดินอาดๆ ไปตามเฉลียงทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องของหนิวโหย่วเต้า
เขาเคาะประตูแล้วเข้าไป ภายใต้แสงนวลอ่อนจากผีเสื้อจันทร์กระจ่าง หนิวโหย่วเต้านอนตะแคงบนเตียง ใช้แขนข้างหนึ่งยันศีรษะไว้ นอนหลับตาอยู่ราวกับกำลังงีบหลัง
หยวนกังยืนอยู่ด้านข้าง
หยวนฟางปิดประตูแล้วเดินเข้ามา ล้วงกระดาษในแขนเสื้อยื่นส่งให้หยวนกัง กระซิบเบาๆ ว่า “หยวนเหยี่ย นี่ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ ไม่วางใจพวกสวนไม้เลื้อยหรือ?”
“เจ้านี่พูดมากจริงๆ!” หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชา สายตามองไปที่กระดาษ
หยวนฟางหัวเราะแหะๆ พอถูกอบรมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากอ่านเนื้อหาในกระดาษอย่างละเอียดแล้ว หยวนกังก็ถามไปอีก “เท่านี้หรือ ไม่มีคนเข้าออกเลยหรือ?”
หยวนฟางรีบเอ่ยรับรองว่า “ไม่มีขอรับ นอกจากการเข้าออกของท่านที่ไม่ได้บันทึกไว้ ส่วนของคนอื่นๆ ล้วนจดเอาไว้หมดแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดไป ดึกดื่นเช่นนี้ คนอย่างพวกเราหากไม่มีธุระใดก็ไม่มีทางออกไปเดินเตร่มั่วซั่ว มีการเข้าออกกี่ครั้งล้วนจดไว้ชัดเจนหมดแล้วขอรับ”
หยวนกังถามต่อ “พบเห็นความผิดปกติใดบ้างหรือไม่?”
หยวนฟางตอบว่า “ไม่มีขอรับ เอ่อ…หงเหนียงใช้เวลาอยู่ในห้องพักของเต้าเหยี่ยค่อนข้างนาน เรื่องนี้นับหรือไม่?” ว่าพลางสังเกตท่าทีของหนิวโหย่วเต้าอย่างระมัดระวังเล็กน้อย
ผลคือหนิวโหย่วเต้าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
หยวนฟางก็พูดหยอกล้อพาดพิงไปเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ใดจะคาดว่าหยวนกังกลับพยักหน้ารับ “นับ! ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผิดปกติใดๆ ก็นับทั้งสิ้น”
หยวนฟางพูดไม่ออก ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ
จากนั้นหยวนกังก็โบกมือไล่เขาออกไป
หยวนฟางเดินออกประตูไปพลางเกาท้ายทอยส่ายหน้านิดๆ ไม่เข้าใจว่าหยวนกังกำลังทำอะไรอยู่
ภายในห้อง หยวนกังวิเคราะห์เนื้อหาบนกระดาษในมืออีกเล็กน้อย จากนั้นก็มองคนที่หลับตางีบพัก “เต้าเหยี่ย ไม่ผิดแน่ครับ ลุงเฉินคนนั้นมีปัญหาจริงๆ”
หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้นมาช้าๆ ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา ราวกับมีประกายแสงเยียบเย็นที่ลุ่มลึกเย็นชาฉายผ่านแววตาเขา
เขาเอื้อมมือไปด้านหลังหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมา บนกระดาษวาดภาพแมลงประหลาดตัวหนึ่งไว้ เป็นภาพแมลงที่เคยปรากฏอยู่ตรงมุมกำแพงทางด้านนอกโรงเตี๊ยมตัวนั้น เขาถือกระดาษมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ทั้งๆ ที่นอนตะแคงอยู่ว่า “มีการใช้รหัสลับเป็นตัวกลาง ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองฝ่ายล้วนใช้รหัสลับติดต่อกัน แปลว่าทั้งสองฝ่ายไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เพียงทิ้งรหัสลับไว้ในสถานที่ใดสักแห่งก็จะมีคนปรากฏตัวออกมาให้ความร่วมมือ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำงานลึกลับรอบคอบ น่าจะมีองค์กรที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่เบื้องหลังเป็นแน่…ตาเฒ่าคนนี้เป็นใครกันแน่? คิดไม่ถึงว่าจะแฝงตัวอยู่ข้างกายหงเหนียงมานานขนาดนี้ ”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชายชรากวาดพื้นในสวนไม้เลื้อย คนสนิทของที่กวนฟางอี๋ไว้ใจ ชายชราผู้เงียบขรึมไม่เคยมีปากมีเสียงใดๆ และไม่เคยก่อปัญหามากเรื่องอันใด คนที่อยู่อย่างสงบเสงี่ยมถึงเพียงนั้นกลับกลายเป็นสายลับไปได้ อยู่เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
หยวนกังเอ่ยถาม “เรื่องที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาที่นี่เกี่ยวข้องกับจ้าวสยงเกอ หรือจะเป็นคนของจ้าวสยงเกอ?”
หนิวโหย่วเต้าหรี่ตาพลางเอ่ยว่า “ฉันเองก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ตามข่าวที่ร่ำลือกัน จ้าวสยงเกอเป็นกลางระหว่างดีชั่ว ไม่มีกองกำลังของตัวเอง แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์การติดต่อในครั้งนี้ มันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่กลุ่มเล็กๆ เลย พวกเราไม่มีเบาะแสอะไรในเรื่องนี้ คาดเดาไปก็ไม่มีประโยชน์ ไปตามหงเหนียงมา ฉันจะสอบถามดูตรงๆ”
หยวนกังจำเป็นต้องเอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย มีความเป็นไปได้สูงที่หงเหนียงจะเป็นพวกเดียวกับเขา แล้วก็มีความเป็นไปได้สูงที่หงเหนียงจะเป็นคนสั่งการเขา”
หนิวโหย่วเต้าส่ายศีรษะที่หนุนอยู่บนมือข้างหนึ่งพลางเอ่ยว่า “หากเป็นแบบนั้นจริงๆ องค์กรนี้ตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมานานขนาดนั้น จะต้องมีประโยชน์ใช้สอยด้านอื่นอยู่ด้วยแน่นอน ไม่มีทางปล่อยให้ฉันขุดรากถอนโคนได้ง่ายๆ ที่ผ่านมาฉันไม่ได้รับรู้ถึงอุปสรรคใดๆ เลย อีกอย่างก็เป็นไปได้ยากที่จะแฝงตัวอยู่ข้างกายฉันมานานขนาดนี้ได้โดยไม่เผยพิรุธอะไรออกมาเลย ฉันใช้ชีวิตคลุกคลีผ่ามรสุมมานานหลายปีก็มองไม่ออกแน่นอน”
จะว่าไปก็ใช่จริงๆ! หยวนกังใคร่ครวญตามคำพูดเขาแล้วพยักหน้ารับนิดๆ สื่อว่าเห็นด้วย
ดวงตาหนิวโหย่วเต้าฉายแววแปลกประหลาด เอ่ยเนิบๆ ต่อไปว่า “อีกอย่าง ต่อให้มีปัญหาแล้วยังไงล่ะ? ฉันไม่ได้คิดจะเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาอยู่แล้ว มีอะไรไม่สู้มาคุยกันตรงๆ ดีกว่า หากว่ายอมอดทนอยู่ใกล้ฉันมานานขนาดนี้เพื่อตัวฉันจริงๆ อย่างน้อยก็แปลว่าฉันมีคุณค่าต่อพวกเขาอยู่ อีกฝ่ายน่าจะยอมเจรจาด้วย ตอนนี้กำลังของพวกเราอ่อนแอเกินไป หงเหนียงยังพอมีคุณค่าอยู่ เก็บพวกเขาไว้คอยช่วยเหลือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในเมื่ออีกฝ่ายมาหาถึงที่ พวกเราเองก็หลบไม่ได้เช่นกัน หากว่าคนรอบตัวของพวกเรามีปัญหากันหมดจริงๆ ล่ะก็ การที่ต้องมานั่งคอยระแวงป้องกันอยู่ตลอดแบบนี้ พวกเราเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน ฉันพอจะรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร ไปเรียกนางมาเถอะ”
หยวนกังไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก หันหลังเดินออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่งมีเสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง ก่วนฟางอี๋เดินบิดเอวเข้ามา หยวนกังเดินตามหลังเข้ามาพลางปิดประตู
พอเห็นว่าตนมาแล้ว แต่หนิวโหย่วเต้ากลับยังนอนตะแคงอยู่บนเตียง ก่วนฟางอี๋พลันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เรียกข้ามาดูเจ้าแกล้งตายหรือไง?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่ได้ลืมตาขึ้น “เจ้าลิง เอารายงานการเข้าออกให้นาง”
หยวนกังยื่นกระดาษให้นางรับไปอ่าน
อะไร? ก่วนฟางอี๋ฉงนในใจ รับกระดาษอ่านเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เหลือบมองไปที่หนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามเสียงคร่ำเคร่ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าจับตาดูพวกเราหรือ?”
จับตาดูเช่นนี้ก็แปลว่าไม่ไว้ใจพวกนางแล้ว
นางทั้งโกรธและค่อนข้างตกใจ ฝั่งนี้มีกันอยู่แค่สองสามคน แต่กลับจับตามองการเข้าออกของทางฝั่งนางที่มีกันสี่คนอย่างละเอียดเช่นนี้ได้ ที่สำคัญคือทางฝั่งนางไม่รู้ตัวกันเลยสักนิด
หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบ แต่ลืมตาขึ้นมายิ้ม จากนั้นหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากทางด้านหลัง ยื่นส่งให้ “ลองดูอันนี้สิ รู้จักหรือ?”
ก่วนฟางอี๋ดึงไปเปิดดูเล็กน้อย มีเพียงภาพวาดแมลงประหลาดตัวหนึ่ง จับพลิกไปพลิกมาอยู่หลายครั้ง ไม่ผิดแน่ บนกระดาษไม่มีอะไรอย่างอื่น มีเพียงภาพวาดแมลงตัวหนึ่ง นางโบกกระดาษพลางเอ่ยโวยวาย “หนิวโหย่วเต้า นี่มันหมายความว่าอย่างไร อย่ามาทำไขสือกับข้านะ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ รีบคายออกมาเดี๋ยวนี้!”
หนิวโหย่วเต้ามองไปที่หยวนกัง จากนั้นส่งสายตาไปทางก่วนฟางอี๋เล็กน้อย สื่อว่าให้เล่าเรื่องราวต่อนาง
…………………………………………………………