จอมบงการเทพยุทธ์ – บทที่ 67 ฉินมู่ปรากฏ ดุจดั่งราชันสวรร

จอมบงการเทพยุทธ์ - บทที่ 67 ฉินมู่ปรากฏ ดุจดั่งราชันสวรร

งจากเย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซีตัดสินใจร่วมมือกัน พวกนางก็ไม่รอช้ารีบออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์

แต่ทว่าพวกนางเพิ่งเริ่มออกเดินทาง ยังไม่ทันออกเมืองเชิงหยางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

“กายาจักรพรรดิ ในเมื่อมาถึงนี้แล้ว ก็อย่าพึ่งไปไหน”

“สังหารทายาทของข้า กลืนกินต้นกําเนิดของพวกเขา อาละวาดเช่นนี้ต้องมีบทลงโทษ”

เสียงต่ําๆ ดังขึ้นทั่วเมืองศักดิ์สิทธิ์

ในขณะเดียวกัน ท้องฟ้าก็มืดลงในทันใด กระแสพลังอันสูงส่งพุ่งสูงขึ้นไม่ไกลจากเย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซีล้อมรอบพวกนางไว้ตรงกลาง !

“ยอดฝีมือระดับราชันศักดิ์สิทธิ์ ! ”

เมื่อรู้สึกถึงพลังงานที่ผันผวนและน่ากลัว เย่หลิงเสวี่ยก็มีแววตาเคร่งขรึม

ยอดฝีมือระดับราชันศักดิ์สิทธิ์ซุ่มโจมตี และดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าหนึ่ง !

กระแสพลังอันยิ่งใหญ่ระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง ราวกับมังกรทะยานขึ้นท้องฟ้าสั่นสะเทือนทั่วทั้งเมืองเชิงหยาง

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในเมือง เบนความสนใจไปยังทิศทางที่กระแสพลังเพิ่มขึ้นพร้อมด้วยความสงสัยในดวงตาของเขา

เกิดอะไรขึ้น ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้เผยกระแสพลังในเมืองเชิงหยางได้อย่างไรกันมันไม่สมควรเลยมิใช่รี?

“กายาจักรพรรดิต้องถูกสังหาร มียอดฝีมือผู้แข็งแกร่งมากมายมารวมตัวกันส่งเจ้าเดินทางเจ้าควรจะภูมิใจด้วย”

“นางแม่มดก็อยู่ด้วย ดีเลย ไม่ต้องเสียแรงตามหา ส่งพวกนางไปพร้อมกันเลย”

เสียงที่เย็นชาและดังมาจากความว่างเปล่า

รอบๆ ตัวเย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซี ทั้งบนท้องฟ้าและผืนดิน มีร่างต่างๆ ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับปีศาจเส้นทางหลบหนีของพวกนางถูกปิดกันทั้งหมด

ร่างทั้งหมดนั้นประกอบด้วยสองราชันศักดิ์สิทธิ์และหกผู้ทรงอานาจปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันปล่อยกระแสพลังอันสูงส่ง สั่นสะท้านทั่วทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์”

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อสังหารพวกนาง คร่าชีวิตของเย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซี

“นั่นกายาจักรพรรดิ ! ”

“แล้วก็ยังมีเทพธิดาแห่งสวรรค์ที่เทียบเท่ากับกายาจักรพรรดิอีกด้วย พวกนางได้ปรากฏตัวในเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันจริงนี่”

“โอ้ทวยเทพ พวกนางแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้เยาว์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์พวกนางคือความหวังและอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ใครกันที่ต้องการสังหารพวกนาง?”

ในเมืองเชิงหยาง ผู้ฝึกยุทธ์ผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ก็อุทานออกมา น้ําเสียงเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจและวิตกกังวล

เย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซีเป็นราชันผู้กําาแหงรุ่นเยาว์ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั่วทั้งแดนางตะวันออกคาดหวังไว้สูง

หลายวันมานี้ ชื่อเสียงของพวกนางยิ่งเลื่องลือมากขึ้นไปอีกในแดนร้างตะวันออกและได้รับการยกย่องว่าเป็นความหวังและอนาคตของมนุษย์

แต่ทว่า กลับมีสองยอดฝีมือระดับราชันศักดิ์สิทธิ์นําพาผู้ทรงอํานาจมาด้วยอีกหกเพื่อสังหารพวกนาง

คาดเดาได้ว่า ถ้าหญิงสาวทั้งสองถูกสังหารจริงๆ จะสร้างความเสียหายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ในแดนร้างตะวันออกอย่างมากแน่นอน

ใครกันที่บังอาจเช่นนี้ กล้าเสี่ยงที่จะโจมตีพวกนางโดยไม่ลังเลภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้?

ไม่กลัวเกรงรีว่าการกระทําเช่นนี้จะสร้างความไม่พอใจในให้กับหมู่ผู้เข้มแข็งเผ่าพันธุ์มนุษย์และจะคิดบัญชีกับคนเหล่านี้

เผ่าพันธุ์มนุษย์จํานวนมากในเมืองต่างพากันสับสนและไม่มีทางที่จะรู้ตัวตนของเหล่ายอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น

เนื่องจากยอดฝีมือที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันเหล่านี้ทุกคนปิดบังตัวตนร่างของเขาถูกซ่อนอยู่ในหมอกอันพร่ามัวไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“พวกเจ้าซ่อนหัวแต่โผล่หาง กล้าที่จะมาสังหารข้าแต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนงั้นรึ ?”

เย่หลิงเสวี่ยเปิดปากของนาง เมื่อมองไปยอดฝีมือระดับราชันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองและรีบมองหาวิธีการรับมืออย่างร้อนรนใจ

นางได้สําเร็จวิชาลับในคัมภีร์มหายุทธ์กลืนสวรรค์ สามารถใช้มันเพื่อเพิ่มความเร็วและขับไล่ศัตรูในทันที

นี่ยังเป็นวิธีที่นางเดินทางในแดนร้างตะวันออก

แต่ตอนนี้ศัตรูมีมากเกินไป

เส้นทางการหนีทั้งหมดถูกปิดกั้น และศัตรูที่อ่อนแอที่สุดก็เป็นถึงเขตแดนผู้ทรงอ่านาจชั้นหนึ่ง

ราวกับตาข่ายตาข่ายสูญญากาศ ยังพวกนางไว้ตรงกลาง แม้จะใช่วิชาลับนั้นก็ไม่อาจหนีได้เลย

“สองราชันศักดิ์สิทธิ์ หกผู้ทรงอํานาจ เป็นค่ายกลที่ยอดเยี่ยม แต่ที่น่าขันที่สุดคือทั้งหมดนั้นเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์”

หยุนรั่วซียิงสายตาเย็นชา ขณะที่เยาะเย้ยที่มุมปากของนาง

ราชันศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งสองนําพาหกผู้ทรงอํานาจมารวมตัวกันในเมืองศักดิ์สิทธิ์และพวกเขาต้องการโจมตีลูกหลานเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเขาเอง

เปรียบเทียบสถานการณ์ในปัจจุบันของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พฤติกรรมของคนเหล่านี้ราวกับเป็นหอกข้างแคร่

“หึหึ ปากดีเช่นนั้นแต่จะมีประโยชน์อะไร ?

ตอนนี้กองกําลังทั้งห้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้ไปแล้วไม่มีใครสามารถต่อกรกับพวกเราได้ ไม่ว่าเจ้าจะยื้อเวลาออกไปอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้ห้อมล้อมไปด้วยหมอกหนาทึบเปิดปากพูด ส่งสายตาที่ไม่แยแสใดๆผ่านหมอกนั้นมาราวกับมองเห็นความคิดของหญิงสาว

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รีบร้อนเหมือนดั่งแมวกําลังเล่นกับหนู

ตามที่เขาพูด ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ไม่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยพวกนางได้

เย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซี แม้หญิงสาวทั้งสองจะติดปีกก็ไม่อาจหนีได้

“เป็นมนุษย์เช่นกันแต่กลับโจมตีพวกเรา เจ้าไม่กลัวโดนคิดบัญชีเมื่อถึงเวลาหรอก?”

เย่หลิงเสวี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจเริ่มก่อความสิ้นหวัง นางไม่กลัวความสิ้นหวังแม้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังนางก็จะพยายามเอาตัวรอดได้

แต่ตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์สิ้นหวัง แต่เป็นภัยถึงชีวิต”

นางได้ลองทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้เลย

“คิดบัญชีงั้นรี ? โอ้ มีคนรู้ตัวตนของพวกเราด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าจะรู้ การล้างแค้นให้กับมนุษย์สองคนที่ตายไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

ราชันศักดิ์สิทธิ์หัวเราะอยู่ในเงามืด เสียงหัวเราะของเขาเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ

ผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์คนอื่นๆ ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ต่างวิตกกังวลว่าเย่หลิงเสวี่ยและหยนรั่วซีจบชีวิตลงที่นี่

ตอนนี้ไม่มีผู้แข็งแกร่งปกป้องเมือง ใครจะสามารถหยุดคนบ้าพวกนี้ได้

“เจ้าต้องการดูพวกนางถูกสังหารจริงๆ งั้นรึ? นั่นคือกายาจักรพรรดิเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นคือความหวังของอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ !”

ผู้ฝึกยุทธ์เผ่ามนุษย์คนหนึ่งพูดอย่างสิ้นหวัง

ในบรรดาผู้เยาว์เผ่าพันธุ์มนุษย์ในแดนร้างตะวันออก ในที่สุดก็มีราชันผู้กําแหงปรากฏขึ้นในหมู่พวกนางก็ยังมีกายาจักรพรรดิเผ่าพันธุ์มนุษย์

หากพวกนางถูกโจมตีและสังหารในเมืองศักดิ์สิทธิ์ จะสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ในแดนร้างตะวันออกอย่างแน่นอน

ราชันผู้กําแหงเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ได้ตายด้วยน้ํามือของเผ่าพันธุ์อื่น แต่ถูกโจมตีจากยอดฝีมือเผ่าพันธุ์เดียวกันช่างน่าขันยิ่งนัก

“มันไม่มีวิธีที่จะช่วยพวกนางได้เลย ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยพวกนางได้นี่คือสถานการณ์ความเป็นตายมากกว่าสถานการณ์ที่สิ้นหวัง”

ยังมีผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์กล่าวอย่างสิ้นหวังอีก

“เจ้าได้ยินรีไม่ ในวันนี้ไม่มีใครคิดว่าเจ้าจะหนีไปได้ ดังนั้นมาทักทายความตายอย่างเชื่อฟังเสียเถอะ”

ราชันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก้าวมาข้างหน้าพร้อมด้วยเสียงเย็นชา

“ลงมือได้ สังหารพวกนางปิดบังฟากฟ้าด้วยมือของเจ้า”

ราชันศักดิ์สิทธิ์นี้ลงมืออย่างเด็ดขาด ฝ่ามือที่ใสราวกับหยกถูกผลักไปยังต่าแหน่งที่หญิงสาวทั้งสองยืนอยู่

ฝ่ามือถูกผลักออก พลังที่เชื่อมโยงกับกฎฟ้าดินส่งผ่านมิติ ผืนดินถูกทําลายโดยพลังอันน่าสะ พรึงกลัวนี้ มีแต่ความสิ้นหวัง

อันที่จริง ราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้คิดว่าเขาเพียงคนเดียวก็สามารถสังหารหญิงสาวทั้งสองคนได้แต่เพื่อความปลอดภัยจึงเตรียมยอดฝีมือมามากมายเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาจริงจังกับเรื่องนี้ มากแค่ไหนจิตสังหารที่เยือกเย็นแช่แข็งมิติให้หยุดนิ่ง

“วันนี้ข้าจะสังหารเจ้า”

หยุนรั่วซียิ้มอย่างขมขื่น แต่แววตาต่อสู้ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง

แม้จะต้องเผชิญกับจุดจบเช่นนี้ นางก็ยังไม่สูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ถึงตายก็ต้องตายระหว่างการต่อสู้ ไม่ให้เสียชื่อกายาจักรพรรดิ

แต่ทว่าเมื่อฝ่ามือที่ส่งออกมาโดยราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกกําลังจะกําจัดหญิงสาวทั้งสองเสียงพูดอันเยือกเย็นก็ดังขึ้นจากความว่างเปล่าในทันใด !

“ซ่อนหัวโผล่แต่หาง โจมตีราชันผู้กําแหง สังหารผู้เยาว์เผ่าพันธุ์มนุษย์ ช่างดีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เสียจริง ! ”

ควบคู่ไปกับเสียงนี้เป็นแรงกดดันอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างหาที่เปรียบมิได้ซึ่งทําให้ทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์สั่นสะท้านสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองสั่นเทา

ร่างในชุดขาวดุจหิมะ ราวกับแสงแห่งสวรรค์ส่องผ่านมิติ ยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวทั้งสองร่างที่สง่าจนผู้คนได้แต่รู้สึกอยากบูชาจนตัวสัน

เขาชนิ้วขึ้น ชี้ไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล เจตนาก้องกังวานกับกฏฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดและพลิกฟ้าผ่าปฐพี !

ฝ่ามือยักษ์ซึ่งขาวดั่งหยกเมื่อถูกกับนิ้วนั้นก็แตกสลายในทันที กระจายหายไปในฟ้าดิน

และราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่โจมตีนั้นตกใจยิ่งกว่า ราวกับถูกสายฟ้าฟาด เขาลอยออกไปข้างหลังพร้อมกับกระอักเลือดออกมา

การาบราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วยเพียงหนึ่งนิ้ว !

ช่วงเวลานี้ ร่างในชุดสีขาวดุจหิมะเหมือนดั่งราชันสวรรค์ พลังอันศักดิ์สิทธิ์นั้นไร้เทียมทานในผืนพิภพและท่าทางก็ไร้ผู้เทียบได้

ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันทีกลายเป็นหนึ่งเดียวในฟ้าดิน

จอมบงการเทพยุทธ์

จอมบงการเทพยุทธ์

Status: Ongoing
ฉินมู่เดินทางเข้าสู่โลกแฟนตาซี และได้รับระบบจอมบงการ ซึ่งสามารถเปิด ดินแดนพิศวงหลากหลายและเปลี่ยนความคิดฝันในใจของเขาให้กลายเป็นความจริงในยุคนี้ ได้มีเผ่าพันธุ์มากมายนับพัน เผ่ามนุษย์นั้นอ่อนแอและไม่เคยได้มีผู้แข็งแกร่งถือกำเนิดขึ้นมาแม้แต่คนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูกรังแกกดขี่ข่มเหงตามอำเภอใจเป็นเพราะว่าโลกอันกว้างใหญ่นี้ได้เปลี่ยนแปลงมาหลายร้อยชั่วอายุคน ทำให้ประวัติศาสตร์เมื่อหลายล้านปีก่อนได้ถูกลืมเลือนไปจากสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ฉินมู่จึงได้กล่าวว่า ข้าจะสร้างประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดขึ้นมาใหม่ และจะสร้างร้อนฝนหนาวอันรุ่งเรืองให้กับมนุษยชาติในประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยหมอกอันพร่าเลือน โดยมีฉินมู่คอยบงการอยู่ด้านหลัง จัดวางดินแดนพิศวงทีละดินแดน และเปิดเผยมุมมืดอันเร้นลับของพวกมันออกมาเมื่อตำนานของเผ่าพันธุ์ได้ก้าวผ่านยุคดึกดำบรรพ์มาสู่โลกนี้ จะมีใครบ้างไหมที่หาญกล้าพอที่จะออกมาต่อสู้กับทุกเผ่าพันธุ์ในโลกนี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท