“ท่านแม่!” จิ่นเกอที่กำลังคุยกับสวีลิ่งอี๋ กางแขนแล้ววิ่งเข้ามากอดสืออีเหนียงอย่างแนบแน่น “ท่านคิดถึงข้าหรือไม่” จากนั้นก็วางหัวลงบนไหล่ของสืออีเหนียงเหมือนตอนเด็กๆ โดยที่ไม่สนใจเลยว่าเขาสูงกว่ามารดาของตัวเองเสียอีก
“คิดถึงสิ!” สืออีเหนียงหอมแก้มเขา “มา! ให้ข้าดูว่าเจ้าอ้วนขึ้นหรือผอมลง!” นางผลักเขาออกเบาๆ จากนั้นก็สำรวจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
จิ่นเกอที่อายุสิบสองปีรูปร่างได้สัดส่วน อกผายไหล่ผึ่ง ผิวขาวเนียนละเอียด แววตาเป็นประกาย รอยยิ้มสดใสราวกับแสงพระอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ร่วง ดูสะอาดสะอ้านและอบอุ่น
สืออีเหนียงยิ้มพลางเลิกคิ้ว
“ท่านแม่” จิ่นเกอสัมผัสได้ถึงความยินดีของนาง เขายิ้มสดใสยิ่งขึ้นกว่าเดิม “ข้าสบายดี ท่านวางใจได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า นางบีบแก้มเขาเบาๆ “ข้าได้ยินว่าแสงอาทิตย์ที่ด่านหุบเขาจยาอวี้แรงมาก แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่ดำเลย หรือว่าเจ้าแอบอู้ไม่ไปหน่วยทหาร”
“ไม่ใช่นะขอรับ!” จิ่นเกอเอ่ยคันค้าน “ข้าตากแดดแต่ไม่ดำเอง ช่วยไม่ได้” พูดด้วยท่าทีน้อยใจ
สืออีเหนียงหัวเราะเสียงเบา
จิ่นเกอกอดนางอีกครั้ง “ท่านแม่ ข้าอยากทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวกับขนมถั่ั่วเขียวกวนที่ท่านทำขอรับ”
หัวใจของสืออีเหนียงราวกับกำลังละลาย “รู้ว่าเจ้าจะกลับมา ข้าเลยบอกให้คนจัดการเตรียมเอาไว้แล้ว!”
สวีลิ่งอี๋ที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว “โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็ก รีบยืนตัวตรงเร็วเข้า!”
จิ่นเกอทำหน้ามุ่ยส่งให้สืออีเหนียงก่อนจะยืนตัวตรง
สืออีเหนียงยังคงอาลัยอาวรณ์บุตรชาย นางจับมือจิ่นเกอ “มีเรื่องอันใดประเดี๋ยวค่อยคุยเถิด ให้เขาไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปคารวะท่านแม่ก่อน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
สองแม่ลูกเดินออกมาจากห้องหนังสือ พวกเขาพูดคุยกันเบาๆ
“ท่านแม่ขอรับ ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งยศให้ข้าเป็นผู้บัญชาการฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์จริงหรือขอรับ” เขายังเด็ก ทันทีที่กลับมาเลยใจร้อนเอ่ยปากถามเรื่องนี้ทันที
“ตามเจ้ากลับมาเช่นนี้จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไรกัน” สืออีเหนียงหัวเราะ “ข้าพึ่งกลับมาจากพระราชวัง ฮองเฮายังทรงถามว่าเจ้าจะกลับมาเมื่อไร ต้องการให้เจ้าไปเข้าเฝ้าเพราะนางมีของจะมอบให้ แล้วยังมีองค์หญิงใหญ่ที่เรียกเจ้าให้เข้าไปเตะลูกหนังกับนางช่วงปีใหม่”
จิ่นเกอเบะปาก “องค์หญิงใหญ่ช่างมีอำนาจบารมีเสียจริง” เขาพูดขึ้นอีกว่า “ท่านแม่ ข้าได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการเพราะว่าข้าเตะลูกหนังกับองค์หญิงใหญ่อย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่าจะมีคนแอบเรียกข้าว่าผู้บัญชาการเตะลูกหนังหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็คงฟังดูไม่ดี” “เขาพูดด้วยท่าทีเป็นกังวล
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ นางหยอกล้อบุตรชาย “เป็นไปได้จริงๆ!”
“ท่านแม่ขอรับ!” เขาเบิกตากว้างมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เป็นประกาย “ท่าน…เหตุใดท่านถึงหัวเราะเยาะข้าเล่า!”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่หัวเราะเยาะเจ้าแล้ว” สืออีเหนียงจับไหล่บุตรชายตัวเอง
จิ่นเกอไม่ยอม
“ข้าผิดเอง” สืออีเหนียงเอ่ยขอโทษเขา “ต่อไปข้าจะไม่พูดเช่นนี้อีกแล้ว”
จิ่นเกอยังคงมีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋ที่เดินอยู่ข้างหลังพวกเขา ตอนแรกยังฟังพวกเขาพูดคุยกันด้วยความอดทน เมื่อเห็นจิ่นเกอทำกิริยาเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็เริ่มไม่สบอารมณ์ ตอนที่สืออีเหนียงเอ่ยขอโทษจิ่นเกอ สีหน้าของเขาก็อึมครึมยิ่งกว่าเดิม
“พูดกับท่านแม่ของตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาตำหนิจิ่นเกอ “เจ้าเอาแต่ใจมากเกินไปแล้ว!”
“ขอรับ!” จิ่นเกอรีบก้มหน้าลง “ข้าผิดเอง ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว” เขากอดแขนสืออีเหนียงอย่างรู้ความ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
สืออีเหนียงทั้งโมโหทั้งขบขันในเวลาเดียวกัน
พวกเขาทั้งสามคนเดินไปเงียบๆ จิ่นเกออดพูดกับสืออีเหนียงเสียงเบาไม่ได้ว่า “ท่านแม่ขอรับ ชุดของชาวหูที่ข้าส่งมาให้ท่าน ท่านลองสวมแล้วหรือยัง นั่นคือชุดของชนเผ่าหุยหุย ที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ยังมีชุดของชนเผ่ามองโกเลีย ชุดของชนเผ่าเหวยเหวยอีกด้วย…ล้วนแต่แตกต่างกัน ตอนที่ข้าไปถึงข้านั้นไม่รู้จักเลยซื้อชุดที่สวยที่สุดในร้าน กลับมาครั้งนี้ข้านำชุดชาวหูกลับมาให้ท่านตั้งหลายชุด แล้วยังมีผ้าคลุมหน้าที่สวยงาม… “
“แล้วยังมีผ้าคลุมหน้าที่สวยงาม!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ข้าได้ยินว่าหมวกของพวกเขาสวยงามอย่างมาก เจ้าซื้อหมวกกลับมาด้วยหรือไม่”
“ท่านแม่ความรู้กว้างขวางยิ่งนัก ยังรู้ด้วยว่าหมวกของพวกเขานั้นสวยงาม” จิ่นเกอพูดต่ออีก “ข้าก็คิดว่าหมวกของพวกเขาสวยที่สุดจึงซื้อกลับมาเยอะมากขอรับ…”
พวกเขาสองคนพูดคุยกันเบาๆ ส่วนสวีลิ่งอี๋ที่เดินอยู่ข้างหลังส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่เอือมระอา
*****
ไท่ฮูหยินให้จิ่นเกออยู่คุยเป็นเพื่อน ทุกคนในจวนล้วนรู้แล้วว่าจิ่นเกอกลับมาแล้ว ไม่เพียงแต่ฮูหยินห้า เซินเกอ เฉิงเกอ สวีซื่อจุนสองสามีภรรยากับถิงเกอ สวีซื่อเจี้ยและอิงเหนียงต่างก็มาที่เรือนของไท่ฮูหยิน แม้แต่ผู้ดูแลหญิงที่มีหน้ามีตาของจวนยังพากันมาก้มหัวให้จิ่นเกอ ไท่ฮูหยินยิ้มไม่หุบ ซ้ำยังบอกฮูหยินสองตกรางวัลให้พวกนาง ฮูหยินสองไม่อยากทำให้ไท่ฮูหยินอารมณ์เสียจึงบอกให้เจี๋ยเซียงและอวี้ป่านนำตะกร้าที่บรรจุเงินรางวัลมาไว้ใต้ชายคา
เหรียญสีเงินส่องแสงแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับน้ำที่หยดลงไปบนกระทะน้ำมัน ทำให้ทุกคนอารมณ์ดีกันถ้วนหน้า
เสียงก้มหัว เสียงขอบพระคุณ เสียงมอบรางวัลเต็มไปหมด คึกคักยิ่งกว่าวันส่งท้ายปีเก่าเสียอีก
ไท่ฮูหยินหัวเราะพลางพูดกับสวีลิ่งอี๋ “ประเดี๋ยวเราจุดประทัดกันเถิด”
สวีลิ่งอี๋พลันปวดหัวขึ้นมาทันที กำลังคิดหาวิธีโน้มน้าวไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่เจ้าค่ะ จิ่นเกอพึ่งจะกลับมา พระราชโองการก็ยังมาไม่ถึง จุดประทัดตอนนี้ เมื่อถึงวันรับพระราชโองการจริงๆ อาจจะทำให้ดูเงียบสงัดเกินไป”
“ก็จริง” ไท่ฮูหยินฟังคำพูดของฮูหยินสองมาตลอด นางยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถึงวันนั้นเราค่อยจุดประทัดดีกว่า”
เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ จิ่นเกอรับพระราชโองการ เข้าไปขอบพระทัยในพระราชวังกับสวีลิ่งอี๋ ไปคารวะฮองเฮา ฮองเฮาทรงมอบหยกขาวหรูอี้ที่ทำจากหยกเหอเถียนให้เขา องค์หญิงใหญ่ส่งคนไปสืบข่าวจิ่นเกอตั้งแต่เช้า ทันทีที่ฮองเฮาคุยกับจิ่นเกอเสร็จแล้วนางก็มาถึงทันที สวีลิ่งอี๋เอ่ยขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ “…ล้วนแต่เป็นเพราะวาสนาของท่านพ่ะย่ะค่ะ มิฉะนั้นจิ่นเกอก็คงไม่โชคดีแบบนี้”
เมื่อเทียบกับความจริงจังและความเคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ จิ่นเกอดูร่าเริงและดูเป็นกันเองมากกว่า “ขอบพระทัยในความเมตตาขององค์หญิงใหญ่ ต่อไปมีเรื่องอันใดองค์หญิงใหญ่ก็บอกกระหม่อมมาได้เลย กระหม่อมจะลงน้ำเดือด ลุยกองเพลิงเพื่อองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” พูดจบก็ตบแผ่นอกตัวเอง ทำเอาทุกคนในห้องโถงข้างพระตำหนักพากันหัวเราะ องค์หญิงใหญ่เองก็หัวเราะเช่นกัน “ข้าจะให้เจ้าลงน้ำเดือด ลุยกองเพลิงทำไมกัน” พูดจบรอยยิ้มของนางก็พลันแข็งทื่อ “วันที่หนึ่งเจ้าจะเข้ามาแสดงความยินดีในพระราชวังหรือไม่”
“เมื่อก่อนตอนที่กระหม่อมยังไม่มีตำแหน่ง กระหม่อมมักจะแอบเข้ามากับท่านพ่ออยู่แล้ว ตอนนี้กระหม่อมเป็นถึงผู้บัญชาการขุนนางระดับสี่” จิ่นเกอพูดต่ออีกว่า “มีตำแหน่งเช่นนี้แล้วจะไม่เข้ามาแสดงความยินดีในพระราชวังได้อย่างไรกัน”
องค์หญิงใหญ่หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าอย่ามาทำตัวเย่อหยิ่ง ขุนนางระดับสี่อย่างนั้นหรือ ใช่ว่าขุนนางระดับสี่ทุกคนจะได้เข้ามาแสดงความยินดีในพระราชวัง”
พวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น ฮองเฮาและสวีลิ่งอี๋ต่างก็ขมวดคิ้ว เมื่อตระหนักขึ้นได้ว่าประเดี๋ยวบุตรสาวตัวเองก็ต้องแต่งงานแล้ว ต่อไปนางคงไม่ได้มีความสุขเช่นนี้บ่อยๆ สีหน้าของฮองเฮาจึงผ่อนคลายลง นางยกยิ้มอย่างแผ่วเบา แต่สวีลิ่งอี๋กลับคิดว่าที่นี่คือพระราชวัง บุตรชายของตัวเองกำลังทำตัวไร้มารยาท แต่เมื่อเห็นท่าทีขององค์หญิงใหญ่ที่ราวกับโปรดปรานจิ่นเกอเป็นอย่างมาก เขาเลยไม่ปริปากพูดอะไรออกมา
เมื่อกลับมาถึงจวน เวทีถูกตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว นักแสดงงิ้วทั้งสามคณะแต่งตัวอยู่ที่เรือนปีก เหลียงเก๋อเหล่า โต้วเก๋อเหล่าและคนอื่นๆ ส่งผู้ดูแลนำของขวัญแสดงความยินดีมามอบให้ ซุ่นอ๋อง เวยเป่ยโหวและหวังลี่มาแสดงความยินดีที่จวนสกุลสวีด้วยตัวเอง จัดโต๊ะลานนอกห้าโต๊ะ สวีลิ่งอี๋พาจิ่นเกอไปดื่มสุราคารวะ ขอบคุณทุกโต๊ะ สวีซื่อจุนสั่งงานบ่าวรับใช้อยู่ข้างๆ บรรดาสาวใช้เดินเข้ามารินสุรา ลานในมีหลินฮูหยิน คุณนายสามสกุลหวง กานฮูหยินและคนอื่นๆ จัดโต๊ะสิบสองโต๊ะ สืออีเหนียง ฮูหยินห้าและฮูหยินสามคอยต้อนรับแขก เจียงซื่อไปโถงเตี่ยนชุนเพื่อสั่งงานให้บรรดาป้ารับใช้นำโคมไฟที่ใช้เมื่อขึ้นปีใหม่ออกมาแขวน เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ทุกคนก็ไปนั่งดูงิ้วที่โถงเตี่ยนชุนกันอย่างครื้นเครง
เสียงฆ้อง เสียงกลอง แสงไฟสลัวและเสียเพลง พลอยทำให้บรรยากาศในจวนสกุลสวีอบอวลไปด้วยความปิติยินดี
ไท่ฮูหยินพอใจเป็นอย่างมาก นางมักจะรู้สึกว่าลืมอะไรบางอย่างไป แต่พอมองดูความคึกคักที่อยู่ตรงหน้าจึงไม่คิดเรื่องนั้นอีก นั่งบนเตียงหลัวฮั่นที่มีเบาะรองนั่งสีแดงกับฮูหยินสอง พูดคุยกับหวงฮูหยินที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็เผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาในวันต่อมาก็ถามฮูหยินสอง “จุดประทัดแล้วหรือยัง”
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีคำสั่งจากท่านจึงไม่ได้จุดเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้สั่งหรือ” ไท่ฮูหยินรู้สึกงงงวย
วันที่สามซินเจี่ยเอ๋อร์ที่แต่งงานไปอยู่เทียนจินส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ วันที่สี่ได้รับของขวัญแสดงความยินดีจากเจินเจี่ยเอ๋อร์ เมื่อได้รับของขวัญของสวีซื่ออวี้ที่ส่งมาจากเล่ออาน ก็ถึงเวลาทานโจ๊กล่าปา เตรียมตัวขึ้นปีใหม่พอดี
สวีลิ่งอี๋ต้องพบปะกับเถ้าแก่ของแต่ละที่ สืออีเหนียงดูแลเรื่องส่งของขวัญปีใหม่มอบให้แต่ละจวน เรื่องบางเรื่องสามารให้เจียงซื่อเป็นคนจัดการ ได้ แต่จวนของหย่งชังโหว เวยเป่ยโหวและเหลียงเก๋อเหล่า นางต้องเป็นคนนำไปให้ด้วยตัวเอง แล้วยังมีไท่ฮูหยินสกุลกานกับเฉาเอ๋อร์ ต้องถือโอกาสไปเยี่ยมเยี่ยนพวกนาง สวีซื่อจุนและเจียงซื่อคนหนึ่งจัดการของปีใหม่ลานนอก คนหนึ่งจัดการของปีใหม่ลานใน จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นเงินรางวัลปีใหม่ เสื้อผ้าชุดใหม่ ทำความสะอาดเรือนรวมถึงแปะแผ่นกระดานยันต์ไม้ท้อ เซินเกอและเฉิงเกอไปหาญาติผู้ใหญ่กับสวีลิ่งควนและฮูหยินห้า แม้แต่สวีซื่อเจี้ยก็ยังถูกสวีซื่อจุนลากไปเขียนเทียบเชิญ มีแค่อิงเหนียงที่ใกล้จะคลอดกับจิ่นเกอที่ไม่มีอะไรทำเลยชอบไปหาสืออีเหนียงที่เรือนบ่อยๆ ทั้งสองคนจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งฝึกมวย ฝึกเขียนตัวอักษรเสร็จก็ไปฝึกเตะลูกหนังที่ห้องโถง อีกคนหนึ่งนั่งเย็บปักถักร้อยบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ แล้วยังเงยหน้าขึ้นมาปรบมือชื่นชมเป็นครั้งคราว
จิ่นเกอไม่ชอบใจ “ท่านดูก่อนแล้วค่อยปรบมือได้หรือไม่ ข้าเตะไม่โดน ท่านก็ยังตะโกนบอกว่า ’ดีๆ’ หากท่านไม่ใช้พี่หญิงของข้า ข้าคงคิดว่าท่านกำลังเยาะเย้ยข้าเสียอีก!”
อิงเหนียงยิ้มกว้างพลางรีบวางเข็มกับด้ายในมือลงแล้วพูดว่า “ข้าจะตั้งใจดูประเดี๋ยวนี้แหละ”
จิ่นเกอสีหน้าเปลี่ยนไป
ฉังอานวิ่งเข้ามารายงาน “คุณชายน้อยหก มีคนมาหาท่านขอรับ!”
“ใครมาหาข้าหรือ!” จิ่นเกอไม่สนใจแล้วเตะลูกหนังขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นก็บิดตัวรับลูกหนังด้วยท่าทีชอบใจ
ฉังอานพูดอย่างกังวลใจ “เป็นขันทีน้อยขอรับ”
จิ่นเกอโยนลูกหนังให้สุยเฟิงที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ออกมาจากห้องโถง
วันต่อมาก็บอกว่าเอาแต่อยู่ที่จวนจนรู้สึกเบื่อหน่าย อยากออกไปเดินเล่นข้างนอก
หลังจากที่ย้ายออกไปอยู่ลานนอกแล้วก็จะต้องทำตามกฎลานนอก ยิ่งไปกว่านั้น จิ่นเกออยู่ที่ด่านหุบเขาจยาอวี้มาตั้งหลายเดือน แน่นอนว่าสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงไม่มีทางเอ่ยห้ามเขา แค่บอกว่าใกล้จะปีใหม่แล้วคนเยอะแยะมากมาย กำชับให้เขาพาองครักษ์ติดตามไปด้วย ระวังคนอื่นขโมยถุงผ้าแล้วก็อย่าก่อเรื่อง
จิ่นเกอขานรับ จากนั้นก็พาฉังอาน สุยเฟิงและองครักษ์สกุลสวีสองสามคนออกไปข้างนอก