สองสามวันต่อมา จิ่นเกอก็ออกไปข้างนอกตลอด อิงเหนียงไม่มีอะไรทำแล้วยังไม่มีเพื่อน นางเลยรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก นางหาโอกาสถามจิ่นเกอว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว บนถนนมีแต่คนไปซื้อของปีใหม่ ผู้คนมากมาย ไม่เห็นมีอะไรน่าสนุก เจ้าบอกว่าสองสามวันนี้จะตั้งใจฝึกเตะลูกหนังไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ฝึกแล้วล่ะ หรือวันที่สี่เจ้าจะไม่เข้าไปในวังแล้ว”
“ใครบอกว่าวันที่สี่ข้าจะไม่เข้าวังเล่า” จิ่นเกอพูด “ช่วงนี้ข้ามีธุระ ท่านอย่าสนใจข้าเลยขอรับ”
อิงเหนียงได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้างแล้วถามด้วยความสงสัย “มีเรื่องอันใดสำคัญกว่าการเข้าวังด้วยหรือ”
“ท่านอย่าสนใจเลย” จิ่นเกอพูดด้วยรอยยิ้มแล้ววิ่งออกไป
เขาเปลี่ยนไปหลังจากที่เจอกับขันทีน้อยคนนั้น
คนในพระราชวังมาหาเขาทำไม เหตุใดถึงไม่ไปหาพ่อสามีแต่กลับมาหาจิ่นเกอ แล้วดูเหมือนยังจะปิดบังแม่สามีอีกด้วย
อิงเหนียงเดาไม่ออก นางเล่าเรื่องนี้ให้สวีซื่อเจี้ยฟัง “…หากจะยืมเงินจิ่นเกอ จิ่นเกอก็ไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกทุกวันกระมัง!”
“เจ้าอย่าคาดเดาไปทั่ว” สวีซื่อเจี้ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “เขาโตขนาดนี้แล้ว เขาคิดเองได้ หากเจ้าเป็นห่วงเขาจริงๆ ก็ไปถามโรงม้าเถิดว่าช่วงนี้เขาทำอะไรบ้าง”
อิงเหนียงพยักหน้า “หวังว่าเขาแค่ออกไปเที่ยว”
สวีซื่อเจี้ยหัวเราะ “ข้าคิดว่าเจ้าไม่มีอะไรทำมากกว่า!”
“ท่านตั้งหากที่ไม่มีอะไรทำ!” อิงเหนียงบ่นพึมพำ จากนั้นก็ถามเรื่องลานนอก “…ต้องเขียนเทียบเชิญเยอะขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ มีฝ่ายรายงานคอยจัดการไม่ใช่หรือ”
“ข้าจะบอกเจ้า แต่เจ้าห้ามบอกใครเด็ดขาด!” สวีซื่อเจี้ยหัวเราะ “เทียบเชิญบางอันท่านพ่อเป็นคนบอกให้พี่สี่เขียนเอง สองสามวันนี้มีเรื่องมากมาย สี่พี่เรียกข้าไปหา เพราะอยากให้ข้าช่วยเขาเขียนเทียบเชิญ ให้คนอื่นเป็นคนเขียนก็กลัวท่านพ่อจะจับได้ อันที่จริงเขาเขียนเองสองวันก็คงเขียนเสร็จแล้ว ข้าเห็นว่าพี่สี่ยุ่งขนาดนั้น ข้าเองก็ไม่มีอะไรทำ จึงช่วยเขาจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ “
อิงเหนียงเคยเรียนการจัดการเรื่องในจวนกับคุณนายใหญ่สกุลหลัวมาก่อน บางครั้งที่คุณนายใหญ่ยุ่ง ก็เคยให้นางช่วยเขียนเทียบเชิญ
“เรื่องเช่นนี้ไม่ควรให้คนอื่นช่วยจริงๆ” นางหัวเราะออกมา “หากให้ผู้ดูแลเหล่านั้นเลียนแบบตัวหนังสือของพี่สี่ อาจจะอ้างชื่อเสียงของพี่สี่ทำเรื่องอันใดที่ไม่เหมาะสมขึ้นมา ที่จวนกำลังยุ่ง ข้ากำลังตั้งครรภ์ทำอะไรไม่ได้ แต่หากท่านนิ่งดูดายก็คงไม่ดีเจ้าค่ะ”
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน!” สองสามีภรรยาพูดคุยกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงลูกที่ยังไม่คลอด “เจ้าคิดว่าเรียกเขา ’ซิ่ง’ ดีหรือไม่ ’ซิ่ง’ มีความหมายว่ายินดี หรือ ’จวง’ ที่มีความหมายว่าเคารพ!”
ล้วนแต่เป็นชื่อเด็กผู้ชาย
“อาจเป็นบุตรสาวก็ได้” อิงเหนียงเบะปาก
“บุตรสาวก็ยิ่งดี” สวีซื่อเจี้ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ชอบบุตรสาว” พูดต่ออีกว่า “หากเป็นบุตรสาว ข้าจะตั้งชื่อว่า ’อวิ๋น’ ที่มีความหมายว่าสดใสงดงาม”
“เช่นนั้นข้าชื่ออะไรดีเล่า” อิงเหนียงปิดปากยิ้ม
ชื่อของอิงเหนียงและน้องสาวล้วนแต่มีตัวอักษร คำว่า ‘ฉ่าว’
สวีซื่อเจี้ยไม่ได้สังเกตจริงๆ
เขาลูบหัวตัวเอง “ยากจริงๆ จะให้ตั้งชื่อเหมือนอิ๋งอิ๋งก็คงไม่ได้”
อิงเหนียงไม่สนใจเขา นางเดินออกไปห้องข้างนอก บอกให้สาวใช้ติดกระดาษหน้าต่าง ทำความสะอาดห้อง ปล่อยให้สวีซื่อเจี้ยคิดอยู่ตรงนั้นคนเดียว
วันต่อมา สวีซื่อเจี้ยจัดการธุระอยู่ลานนอก บอกให้บ่าวรับใช้ของตัวเองมารายงานอิงเหนียง “ช่วงนี้คุณชายน้อยหกไปดื่มชา ดูงิ้วที่โรงน้ำชาขอรับ”
บอกว่าเบื่อ อยากออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ออกไปแล้วกลับไปดื่มชาที่โรงน้ำชา
อิงเหนียงไม่เชื่อ “เขาไม่ได้ไปที่อื่นเลยหรือ”
“ไม่มีขอรับ!” บ่าวรับใช้พูด “คนของโรงม้าบอกว่าเขาไม่ได้ไปไหนเลยขอรับ!”
อิงเหนียงยังคงไม่เชื่อ ตกเย็นไปคารวะสืออีเหนียง นางเห็นจิ่นเกอรีบออกไปข้างนอกจึงรีบตามไปแล้วเรียกรั้งตัวเขาเอาไว้ “เจ้าทำอะไรอยู่ แม้แต่คนของโรงม้าก็สมรู้ร่วมคิดกับเจ้า หากวันนี้เจ้าไม่บอกความจริงกับข้า ข้าจะไปฟ้องท่านแม่!”
“ไม่มีอะไรจริงๆ ขอรับ” จิ่นเกอยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ท่านไปดูแลพี่ห้าของข้าเถิด จับตามองข้าทุกวันทำไมกัน ระวังพี่ห้าแอบรับสาวใช้มาอยู่ด้วยนะขอรับ”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับเรื่องคนที่โรงม้าแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“พี่ห้าของเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น” ถึงแม้ว่าอิงเหนียงจะหน้าแดงแต่นางก็ไม่ยอมปล่อยจิ่นเกอไป “เจ้าอย่ามาใช้ ‘กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[1]’”
“คิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้ห้าจะรู้จัก ‘กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม’ ด้วย” จิ่นเกอพูดจาเหลวไหลกับนาง “ไม่แปลกที่พี่ห้าไม่รับใครเข้ามาอยู่ในเรือน”
ตอนที่อิงเหนียงแต่งงานเข้ามานางก็แปลกใจ นางแอบถามหู่พั่วแต่หู่พั่วกลับปิดปากยิ้ม ‘ฮูหยินเคยถามคุณชายน้อยห้าแล้ว แต่คุณชายน้อยห้าบอกว่าไม่จำเป็นเจ้าค่ะ’
ตอนนั้นนางหน้าแดงเพราะเขินอาย
ต่อมานางตั้งครรภ์ อยากจะหาคนมาดูแลสวีซื่อเจี้ย แต่สวีซื่อเจี้ยกลับปฏิเสธ แล้วบอกนางว่า ‘เราสองคนใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอแล้ว!’
อิงเหนียงพลันนึกถึงความดีของสืออีเหนียง คิดว่าสืออีเหนียงนั้นหาสามีที่ดีให้ตน
“เจ้าไปเรียนมาจากใคร!” อิงเหนียงทั้งโมโหทั้งขบขัน นางบิดหูจิ่นเกอเบาๆ “เหตุใดถึงเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ สิ่งใดล้วนกล้าพูด!”
“ไอ๊หยา!” จิ่นเกอไม่สนใจนาง เขากุมหูตัวเองแล้วตะโกนเสียงดัง “พี่ห้า ช่วยข้าด้วยขอรับ พี่สะใภ้ห้าจะตีข้าขอรับ” เขาพยายามเบี่ยงเบียนความสนใจ
สวีซื่อเจี้ยกำลังพูดคุยเรื่องธุระลานนอกกับสวีซื่อจุน เขาเดินช้าๆ เจียงซื่อเดินอยู่ด้านหลังสวีซื่อจุน สวีซื่อจุนเดินช้าแค่ไหนก็ไม่ควรเดินแซงหน้าเขา พวกเขาสามคนยังไม่ได้เดินออกมาจากห้องโถง พอได้ยินเสียงร้องของจิ่นเกอต่างก็ตกใจ โดยเฉพาะสวีซื่อเจี้ย เขารู้ว่าอิงเหนียงและจิ่นเกอสนิทสนมกัน อิงเหนียงเป็นคนร่าเริง…หรือว่าพวกเขาเล่นกันรุนแรงเกินไป!
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็รีบเปิดม่านออกมา เห็นอิงเหนียงกำลังบิดหูจิ่นเกออยู่พอดี
“พวกเจ้าทำอะไรกัน” สวีซื่อเจี้ยเดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมอิงเหนียง “เจ้าเป็นพี่สะใภ้! เขายังเด็ก ทำอะไรผิดเจ้าพูดกับเขาดีๆ ก็ได้ บิดหูเขาเช่นนี้ได้อย่างไร!”
อิงเหนียงมองดูจิ่นเกอที่สูงกว่าตัวเอง พลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านอย่าตามใจเขา พวกท่านตามใจเขาจนเสียคน!” พูดจบก็ปล่อยมือออก
จิ่นเกอรีบกระโดดออกไปอยู่ข้างๆ ก่อนจะจับหูตัวเอง แสร้งทำเป็นเจ็บแล้วทำท่าทีขี้ขลาดตาขาวหลบอยู่หลังสวีซื่อเจี้ย “พี่ห้า ท่านต้องจัดการพี่สะใภ้ห้านะขอรับ หูของข้าถูกนางบิดจนเจ็บไปหมดแล้ว”
อิงเหนียงได้ยินดังนั้นก็จะไปบิดหูจิ่นเกออีกครั้ง
สวีซื่อเจี้ยห้ามอิงเหนียงเอาไว้
จิ่นเกอฉวยโอกาสวิ่งออกไปข้างนอก “ไม่แปลกที่ขงจื๊อบอกว่าการสั่งสอนสตรีไม่ใช่เรื่องง่าย!”
เจียงซื่อที่เดินตามออกมาเห็นภาพนั้นพอดี
นัยน์ตาของนางหม่นหมองลง
พวกนางล้วนเป็นพี่สะใภ้เหมือนกัน แต่จิ่นเกอกลับสนิทสนมกับอิงเหนียงมากกว่าตนและเซี่ยงซื่อเสียอีก
เจียงซื่อมองไปยังอิงเหนียง
อิงเหนียงหัวเราะเสียงดัง
ใบหน้างดงาม รอยยิ้มที่สดใสราวกับแสงอาทิตย์ พลอยทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นตามไปด้วย
สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วจับไหล่อิงเหนียง “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ระวังหน่อย อย่าไปเล่นกับเขาเลย” พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
*****
ยิ่งจิ่นเกอเป็นเช่นนี้ อิงเหนียงก็ยิ่งคิดว่าจิ่นเกอมีเรื่องสำคัญอะไรปิดบังครอบครัวอยู่ นางพยายามถามเขาตั้งหลายครั้ง แต่จิ่นเกอเพียงแค่เห็นเงานางก็หลบ อิงเหนียงไม่สบายใจ นางใช้ข้ออ้างเพื่อไปเอาลายปักที่เรือนชิงหยินจวีตั้งหลายครั้งแต่กลับไม่เห็นอะไรผิดปกติ บอกให้สาวใช้ของตัวเองแอบไปสืบที่โรงซักล้าง สาวใช้กลับมารายงานว่าเสื้อผ้า รองเท้าและถุงเท้าของจิ่นเกอไม่ได้ฉีกขาดหรือสกปรกกว่าปกติ ไม่มีอะไรผิดปกติเลย
ผ่านไปสองสามวัน สวีซื่ออวี้สองสามีภรรยาพาอิ๋งอิ๋งกลับมาจากเล่ออานเพื่อมาฉลองปีใหม่ที่จวน
พอมาถึงก็ถามหาจิ่นเกอ “เหตุใดถึงไม่เห็นเขา บอกว่าได้รับตำแหน่งผู้บังคับบัญชา เขาก็น่าจะอยู่ที่จวนไม่ใช่หรือ”
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงไม่อยู่ที่จวน สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยออกไปต้อนรับสวีซื่ออวี้
“บอกว่าอยู่ที่เรือนน่าเบื่อ ช่วงนี้มักออกไปข้างนอกบ่อยๆ ขอรับ!” สวีซื่อจุนตอบพร้อมรอยยิ้ม เขาถามสวีซื่ออวี้ “พี่สองจะกลับมาแล้วทำไมไม่ส่งคนมารายงานก่อนเล่า เราจะได้ส่งคนไปรับ!”
“ตัดสินใจกลับมากะทันหัน!” สวีซื่ออวี้พูดด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน เขาถามถึงสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง พอรู้ว่าพวกเขาออกไปมอบของขวัญปีใหม่ให้สกุลอื่น ก็ถามถึงเรื่องการเรียนของสวีซื่อเจี้ยแทน “…สอบระดับราชสำนักได้ไม่ดี ปีหน้าค่อยสอบอีกก็ได้!” สวีซื่อเจี้ยสอบผ่านระดับมณฑลและระดับเมืองหลวงในครั้งเดียว แต่กลับสอบระดับราชสำนักไม่ผ่าน “อย่าใจร้อน หนทางไปสู่ความสุขนั้นล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรค คนที่สอบผ่านทั้งหมดในครั้งเดียวก็มีไม่มาก”
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดงขึ้นมา
สวีซื่อจุนเห็นเซี่ยงซื่อที่อยู่ข้างๆ สีหน้าซีดเซียว ส่วนอิ๋งอิ๋งก็หลับอยู่บนไหล่ของแม่นม เลยพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่สองเดินทางมาเหนื่อยๆ พี่สะใภ้สองและอิ๋งอิ๋งก็คงจะเหนื่อยแล้ว ไม่สู้กลับไปล้างหน้าล้างตา ไปคารวะท่านย่า แล้วเราค่อยพูดคุยกันก็ไม่สายขอรับ”
“ดูข้าสิ มัวแต่พูด!” สวีซื่ออวี้ยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สวีซื่อจุนเรียกรถลากมา ไปส่งพวกเขาที่เรือน แล้วยังส่งคนไปบอกเจียงซื่อว่า ‘พี่สะใภ้สองกลับมาแล้ว ประเดี๋ยวก็ไปหานางเถิด’
เจียงซื่อคิดว่าสวีซื่ออวี้คงจะเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว นางจึงไปที่เรือนของสวีซื่ออวี้ บังเอิญเจอกับอิงเหนียงระหว่างทาง พวกนางสองคนพูดคุยหัวเราะกันพลางเดินเข้าไป
บรรดาลูกสะใภ้เจอหน้ากันก็มักจะมีความคึกคัก หลังจากคารวะไท่ฮูหยินเรียบร้อยแล้วบรรยากาศก็ครื้นเครงอีกครั้ง
ทุกคนถึงได้รู้ว่าเซี่ยงซื่อกำลังตั้งครรภ์!
“บอกว่าอยากมารอคลอดที่จวนขอรับ” สวีซื่ออวี้หน้าแดงก่ำ “จึงรีบกลับมาจากเล่ออาน!”
“กลับมาก็ดี!” ไท่ฮูหยินพยักหน้า “ที่จวนมีทุกอย่าง เล่ออานนั้นเป็นเมืองเล็ก” จากนั้นก็กำชับฮูหยินสอง “เจ้ารีบไปบอกสืออีเหนียง บอกให้นางหาคนที่มีประสบการณ์สองสามคนมาดูแลโหรวเน่อ”
เล่ออานคือบ้านเกิดของเจียงซื่อ
เจียงซื่อได้ยินเช่นนี้ก็ก้มหน้าลง
สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ พลันรู้สึกอึดอัด
แต่ไท่ฮูหยินกลับไม่ได้สังเกต นางพูดกับสวีซื่อจุน “เหตุใดพ่อกับแม่ของเจ้าถึงยังไม่กลับมาอีก รีบส่งคนไปเร่งพวกเขา บอกว่าเรารอพวกเขาทานข้าวอยู่!”
พึ่งจะทานอาหารกลางวันไป
ทุกคนมองไปนอกหน้าต่าง
พระอาทิตย์ยามฤดูหนาวส่องแสงอบอุ่น
อิงเหนียงเห็นบ่าวรับใช้ของจิ่นเกอกำลังยืนคุยกับสาวใช้ของไท่ฮูหยินอยู่ใต้ต้นไม้ คุยกันแล้วยังหันไปมองเรือนหลักด้วยท่าทีเป็นกังวล
อิงเหนียงไม่สบายใจขึ้นมา
เห็นว่าคนอื่นไม่ได้สังเกต นางจึงหาโอกาสหลบออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
บ่าวรับใช้คนนั้นออกไปแล้ว
อิงเหนียงเรียกสาวใช้คนนั้นมาซักถาม “เมื่อครู่บ่าวรับใช้ของคุณชายน้อยหกพูดอะไรกับเจ้า”
“เรียนคุณนายน้อยห้า” สาวใช้คนนั้นพูดอย่างนอบน้อม “บ่าวรับใช้ของคุณชายน้อยหกมาถามว่าฮูหยินสี่อยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยินหรือไม่เจ้าค่ะ”
มาหาท่านแม่ แต่กลับทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้?
อิงเหนียงรีบเดินตามไปก็เห็นแผ่นหลังของบ่าวรับใช้คนนั้นพอดี
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก บอกให้สาวใช้ตัวเองเรียกบ่าวรับใช้คนนั้น “เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายน้อยหกอย่างนั้นหรือ”
บ่าวรับใช้คนนั้นเห็นว่าเป็นอิงเหนียง เขาก็ร้องไห้ออกมาทันที “คุณชายน้อยหกชกต่อยกับคนอื่นขอรับ บ่าว…บ่าวเลยกลับมารายงาน”
[1]กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก กลยุทธ์นี้มีความหมายเชิงล่อหลอกข้าศึกให้ตายใจอีกด้านเเล้วลอบโจมตีเต็มกำลังอีกด้าน เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการโจมตีศัตรู จะต้องเตรียมการและบุกโจมตีในจุดที่ศัตรูต่างคาดไม่ถึงเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ศัตรูวางแนวการตั้งรับได้ถูก โดยหลอกล่อศัตรูให้เกิดการหลงทิศกับการบุกโจมตีและนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดตำแหน่ง เกิดการหละหลวมต่อกำลังทหารและเปิดโอกาสให้สามารถเอาชนะได้โดยง่าย