“หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าออกมาทำอะไรในเวลานี้หรือ” ร่างของแม่เฒ่าหวังยืนอยู่ท่ามกลางความมืด นางถือถังไม้ไว้ในมือเหมือนกำลังจะออกมาเทน้ำ
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รีบคว้าแขนของแม่เฒ่าหวังทันที นางส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบเสียงลง แล้วกระซิบออกมาพร้อมกับหอบหายใจว่า ”ข้า ข้าคิดว่ามีคนกำลังไล่ตามหลังข้ามา”
“เช่นนั้นก็เข้ามานี่สิ รีบซ่อนตัวก่อน” แม่เฒ่าหวังเอ่ยอย่างใจเย็นพร้อมกับดึงแขนเหยียนหลิ่วเอ๋อร์เข้าประตู
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว นางรีบก้าวเข้าไปทันที มิหนำซ้ำยังปิดประตูตามหลังให้เสียอีก นางพิงประตูแล้วถอนหายใจออกมา ความตกใจยังคงติดอยู่ภายในใจ ”อันตรายจริงๆ โชคดีที่ท่านออกมาทันเวลาพอดี”
แม่เฒ่าหวังพยักหน้า นางยังคงยืนอยู่ในความมืด แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเลว่า ”ข้าคิดว่าคนที่อยู่ข้างนอกนั่นคงไม่กลับง่ายๆ ทำไมเจ้าไม่ตามข้าเข้าไปในบ้านก่อนล่ะ เดี๋ยวข้าจะให้อาหลิง ลูกชายข้าไปส่งเจ้าที่บ้านทีหลัง”
“ถ้าเช่นนั้นต้องขอรบกวนท่านยายแล้ว” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์หวาดกลัวอย่างมาก หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ
นางเดินตามแม่เฒ่าหวังไปที่สวนหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเหงื่อออกหรือเปล่า แต่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รู้สึกว่าอากาศโดยรอบหนาวมากทีเดียว
แม้แต่ในบ้านก็เช่นกัน เงินเก็บทั้งหมดของตระกูลหวังถูกนำไปสนับสนุนการศึกษาให้กับบุตรชาย แม่เฒ่าหวังเองก็เป็นแม่หม้าย โดยปกติแล้วนางจึงประหยัดมัธยัสถ์อย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่น
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ลูบแขนตัวเอง จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าแม่เฒ่าหวังสวมเพียงเสื้อบางๆ ท่ามกลางฤดูหนาวอันเย็นเฉียบ นางไม่หนาวหรือ
“ดื่มชาก่อนสิ” น้ำเสียงทุ้มๆ นั้นลอยผ่านศีรษะของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไป
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ตัวสั่นด้วยความหนาว ตอนแรกนางตั้งใจว่าจะใช้ถ้วยชาในมือเพื่อทำให้ตัวเองอุ่นขึ้น แต่ทันทีที่นางรับมันมา นางก็สังเกตเห็นว่าแม้กระทั่งชาในถ้วยนั้นก็ยังเย็นชืด
แปลกจัง บางทีแม่เฒ่าหวังอาจจะไม่อยากต้มน้ำกระมัง
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ถือถ้วยชาแล้วคิดเช่นนั้น นางไม่อยากดื่มชาเย็นเอาเสียเลย ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัดจนแม้กระทั่งลมหายใจของนางก็ยังพลอยเย็นไปด้วยเช่นนี้ ใครล่ะจะไปอยากดื่มชาเย็นๆ?
แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าแม่เฒ่าหวังจะดื่มมันเข้าไปจริงๆ
ยิ่งกว่านั้นนางยังดื่มมันได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ราวกับว่าอุณหภูมิของของเหลวชนิดนั้นไม่มีผลกับนางแต่อย่างใด
บรรยากาศราวกับหยุดนิ่งไปเสี้ยววินาที
แม่เฒ่าหวังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกของตัวเองพร้อมกับจ้องมองเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ด้วยสีหน้ายากจะเข้าใจ
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์กลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะความตกใจเมื่อครู่ที่ยังไม่หายไป จึงทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวต่อทุกสิ่งที่นางเห็น
ยิ่งห้องเงียบเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์พยายามเริ่มบทสนทนา ”แม่เฒ่าหวัง ข้ายังพอมีถ่านไม่ได้ใช้เหลืออยู่ที่บ้าน วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งมาให้ท่าน นอกจากนั้นข้ายังมีเสื้อคลุมผ้าฝ้ายอยู่อีกหลายตัว ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าจะเอามาให้ท่านด้วย”
แม่เฒ่าหวังไม่ได้ตอบ
ในขณะที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์กำลังคิดว่าอีกฝ่ายคงผล็อยหลับไปแล้ว น้ำเสียงติดจะแหบของแม่เฒ่าหวังก็ดังขึ้น ”ในซอยนี้เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีงามที่สุด เจ้าไม่เกลียดชังคนยากจน และไม่ได้นิยมชมชอบคนรวย ทั้งยังดูแลพวกเราสองคนเป็นอย่างดีเช่นกัน หลิ่วเอ๋อร์ ชายที่ได้แต่งงานกับเจ้าคงเป็นคนที่โชคดีจริงๆ”
“ข้าไม่ได้ดีอย่างที่ท่านคิด” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยิ้มเขินๆ ”ในอดีตท่านก็ช่วยข้าเอาไว้มากเช่นกัน อีกอย่างพวกเราเองก็อาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน นี่ย่อมเป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว เป็นคนอื่นก็คงจะทำเช่นนี้เหมือนกัน”
แม่เฒ่าหวังเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า ”พวกเขาไม่ทำหรอก ไม่ใช่กับผู้หญิงจากตระกูลจางและตระกูลหลี่ ทุกครั้งที่พวกนางเห็นอาหลิงลูกชายข้า พวกเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยเขา และมักบอกว่าเขาคงไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ พวกนางจะไปรู้อะไร สักวันอาหลิงลูกชายข้าจะต้องได้เป็นศิษย์ดีเด่นอย่างแน่นอน มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”
“ข้าว่าพวกนางก็คงรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ท่านยายอย่าได้เก็บมันมาใส่ใจเลย” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์บอกด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
น้ำเสียงของแม่เฒ่าหวังฟังดูไร้อารมณ์ ”เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดแทนพวกนางหรอก พวกนางไม่มีมารยาท กล้าออกไปพบชายหนุ่มตอนกลางดึก ถ้าข้ามีลูกสาวอย่างพวกนี้ ข้าคงบีบคอพวกนางตายไปแล้ว ช่างน่าขายหน้าแทนบรรพบุรุษเหลือเกิน”
พูดตามตรงแล้วเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่ค่อยสันทัดในประเด็นนี้เท่าใดนัก ดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ”ข้าไม่ได้พูดแทนพวกนาง อย่างไรสิ่งที่พวกนางพูด บางอย่างก็เป็นความจริง ท่านเองก็เห็นว่าตอนนี้พี่หลิงเริ่มอายุมากแล้ว เขาจะปล่อยให้ท่านออกไปทำงานเช่นนี้ตลอดไม่ได้ คงดีทีเดียวถ้าเขาสามารถเรียนและทำงานควบคู่กันไปด้วยได้”
“มือของพี่หลิงของเจ้าควรใช้เพื่อเขียนราชโองการให้กับฮ่องเต้! จะให้ใช้มันไปทำงานเพื่อคนอื่นได้อย่างไร!” แม่เฒ่าหวังขึ้นเสียงอย่างกะทันหัน การได้ยินเสียงดังขนาดนี้ตอนกลางดึกนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากทีเดียว
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รู้สึกกลัว นางจึงรีบตอบทันทีว่า ”แม่เฒ่าหวัง ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่…”
“พอเถิด” แม่เฒ่าหวังตัดบทนาง ”เจ้ายังเด็ก คงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้มากนัก ในซอยของเรามีคนที่อ่านออกเขียนได้อยู่ไม่มาก พี่หลิงของเจ้าเป็นคนแรก และคนเช่นเขาย่อมสมควรที่จะตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้”
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ”แม่เฒ่าหวังพูดถูก” จากนั้นนางจึงมองท้องฟ้าด้านนอก ”คนผู้นั้นน่าจะกลับไปแล้ว ข้าควรออกไปดูเสียหน่อย”
“ไม่ต้องรีบร้อน” แม่เฒ่าหวังไม่คิดที่จะลุกขึ้น นางยกชาขึ้นจิบพร้อมกับเอ่ยต่อ ”ไหนๆ วันนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นข้าจะบอกอะไรให้เจ้ารู้ก็แล้วกัน”
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม ”อะไรหรือ ท่านยายบอกข้ามาได้เลย”
“หลิ่วเอ๋อร์ ข้าเห็นเจ้าโตมาตั้งแต่เด็ก เจ้าสนิทสนมกับพี่หลิงของเจ้ามาโดยตลอด ข้าไม่ชอบลูกสาวตระกูลจางมาตั้งแต่แรกแล้ว การแต่งงานของพวกเขาล้วนแต่เป็นการตัดสินใจของลุงหวังของเจ้าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้การแต่งงานที่ว่านั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว มันย่อมหมายความว่าพี่หลิงของเจ้าเองก็เป็นอิสระแล้วเช่นกัน ข้าอยากถามเจ้าว่า เจ้าอยากมาเป็นสะใภ้ของตระกูลหวังของเราไหม” น้ำเสียงที่ปลายประโยคของแม่เฒ่าหวังเจือไปด้วยความอบอุ่น
แต่หญิงสาวที่ได้ฟังคำถามนั้นกลับหน้าซีดเผือด เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม่เฒ่าหวังจะพูดเช่นนั้นกับนาง ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
ปัญหาหลักคือนางไม่ได้รู้สึกอะไรกับหวังหลิง
อีกอย่าง หวังหลิงก็ยังอายุมากกว่านางถึงแปดปี เรื่องนี้…
“เป็นอะไรไป มันกะทันหันไปหรือ” แม่เฒ่าหวังพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม ”ถึงเจ้าจะไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แต่เจ้าก็เป็นคนอ่อนโยนอยู่เสมอ ข้าคงวางใจได้ถ้าพี่หลิงมีคนเช่นเจ้าคอยอยู่เคียงข้างและดูแลเขา เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ต่อให้วันหนึ่งพี่หลิงของเจ้าประสบความสำเร็จและได้เป็นขุนนางระดับสูง จวนของเขาย่อมมีที่สำหรับเจ้าอย่างแน่นอน อย่างไรเขาก็เป็นคนใจกว้าง เขาย่อมไม่มีวันทำไม่ดีกับภรรยาตัวเอง”
ยิ่งเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ฟัง นางก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักอย่าง ”มันไม่ใช่อย่างที่ท่านยายคิด ข้า… ข้าเห็นพี่หลิงเป็นเพียงพี่ชายมาตลอด ระหว่างเราสองคนย่อมไม่มีทางเป็นไปได้”
ทันใดนั้นเอง!
อุณหภูมิในบ้านพลันลดฮวบลงจนถึงจุดเยือกแข็ง
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหญิงชราที่อยู่บนเก้าอี้โยกหยุดยิ้มไปแล้ว เมื่อนางเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงของนางทั้งต่ำและฟังดูชั่วร้าย ”หมายความว่าเจ้าปฏิเสธที่จะแต่งงานกับพี่หลิงของเจ้าหรือ”
“ข้า…” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์อยากให้นางฟังคำอธิบายของนาง ดังนั้นนางจึงก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ยิ่งนางขยับเข้าไปใกล้เพียงใด นางก็ยิ่งสังเกตเห็นว่านิ้วมือของแม่เฒ่าหวังที่อยู่ใต้แสงเทียนนั้นดูผิดปกติ นิ้วที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อเก่าๆ ของนางมีสีดำยาวและยังดูน่ากลัวผิดปกติ…