“องค์หญิงอย่าได้ทรงร้อนพระทัย นางได้รับบาดเจ็บแล้ว คาดว่าคงจะทนต่อไปได้ไม่นาน” ซิวกระซิบที่ข้างพระกรรณของเหยียนเฉียวหลัวเสียงเบา
คราวนี้ เหยียนเฉียวหลัวค่อยวางใจลงได้บ้าง
ไม่ต้องรีบร้อน ในเมื่อตู๋กูซิงหลันบาดเจ็บแล้ว นางย่อมไม่อาจเหาะอยู่อย่างนั้นได้ตลอดไป
“แผนที่กรุสมบัติอยู่กับตัวนาง” หลังจากนั้น ซิวก็ใช้แขนเสื้อมาบังเอาไว้ ให้มีแต่พวกเขาสองคนที่ได้ยินเสียงกระซิบริมพระกรรณของนาง
มุมปากของเหยียนเฉียวหลัวก็ขยับยกขึ้นมา ดีมาก รอให้ตู๋กูซิงหลันหมดสิ้นเรี่ยวแรง จนร่วงหล่นลงมา ยามนั้นนางก็จะเป็นคนแรกที่เข้าไปกระฉากหน้ากากของนางออกมา
ตั้งแต่ตอนแรก ไทเฮาน้อยผู้นี้ก็บังอาจมาติติงแผนที่ขุมทรัพย์ของนาง
ดังนั้นต่อให้ไม่มีสิ่งใดมาชักนำ นางก็ยังจะลงมืออยู่ดี
คนเช่นนี้ ยังกล้ามาเป็นไทเฮาของต้าโจวอยู่อีกหรือ?
…………………………..
อีกด้านหนึ่ง เมื่อตู๋กูซิงหลันรวบรวมพลังทั้งหมดในหยกสรรพชีวิตลงในยันต์แล้วซัดออกไป ศพคืนชีพผู้นั้นก็ถูกกดทับเอาไว้จนหมดหนทาง
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตาย แต่ก็สูญเสียพลังชีวิตไปกว่าครึ่ง จนตอนนี้ไม่อาจแผลงฤทธิ์ใดๆ ได้อีก
อันหร่วนเองก็แฝงกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าทำไมหลายวันนี้นางถึงได้รู้สึกว่าใจไม่สงบอยู่ตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่า บุรุษผู้นั้นจะวางแผนการตลบหลังครั้งใหญ่เอาไว้เช่นนี้
แต่ว่าหมากตัวนี้ของนายท่าน คงจะต้องถือว่าหมดค่า ใช้การไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นนางจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี
นางสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ มีผ้าผืนหนึ่งคลุมใบหน้า ซ่อนตนอยู่ในความมืด ดวงตาที่ชราแล้วคู่นั้นแหงนขึ้นไปมองดูสาวน้อยที่อยู่ใต้แสงจันทร์
นางประหลาดใจอย่างแท้จริง เพราะหมากตัวนั้นมีพละกำลังและความสามารถมหาศาล ชั่วชีวิตของเขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดมาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรก
พวกเขาประมาทไทเฮาแห่งต้าโจวไปแล้วจริงๆ
…………………………..
ใต้แสงจันทรา ตู๋กูซิงหลันใช้พลังทั้งหมดของหยกสรรพชีวิตออกไป ใบหน้าหนังมนุษย์ผืนนั้นต่อสู้กับวิญญาณทมิฬไปหลายสิบตลบ ในที่สุดก็พ่ายแพ้ลง
ไม่รอให้วิญญาณทมิฬจับมันกลืนกินลงไป ตู๋กูซิงหลันก็ชิงคว้ามันเอามาไว้ในมือของนาง
แผนที่สมบัติหนังคนยังคงต่อสู้อย่างดื้อดึง ใบหน้าที่มีเขี้ยวยาวแหลมคมยังคงพยายามจะกัดนางให้ได้
คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันคว้าปากของมันเอาไว้ แล้วฉีกออกเป็นสองส่วนด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล
แผนที่สมบัติหนังมนุษย์แผ่นนั้นยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา ก็ถูกนางฉีกอีกหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ฉีกล้วนขาดออกจากกันจนสุดแผ่น จนกระทั่งมันกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ นับสิบ ฉีกจนมันไม่กล้าแสดงความคั่งแค้นใดๆ ออกมาอีก
หลังจากนั้นนางก็ยัดเศษหนังคนเหล่านั้นส่งให้กับวิญญาณทมิฬ
“เอาไปซุกไว้ในร่างของศพคืนชีพผู้นั้น” พอนางกล่าวประโยคนั้นออกไป เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ก็หมดสิ้น ฝีเท้าเบาหวิว คล้ายกับว่าจะล้มคว่ำลงไปได้ทุกเมื่อ
พอเห็นว่านางกำลังจะร่วงลงมา สองเนตรของเหยียนเฉียวหลัวก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที
นางส่งสายตาให้กับซิว ซิวก็รีบพุ่งเข้าไปยังจุดที่ตู๋กูซิงหลันกำลังจะร่วงลงมา
แต่ว่าเขายังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ ก็เห็นมีเงาดำของของคนกลุมหนึ่งโผล่ออกมาจากรอบด้าน เงาดำเหล่านั้นสกัดเขาเอาไว้ตั้งแต่ครึ่งทาง กีดกัดเขาให้ออกห่าง
ร่างของตู๋กูซิงหลันตกลงมาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็เหลือเพียงเบาบาง ทรวงอกถูกกัดจนเนื้อหลุดไปหลายแผล ยามนี้เลือดจึงไหลทะลักออกมา มิว่าอย่างไรก็คงไม่ยอมหยุด
นางเงยหน้าขึ้นไป เห็นพระจันทร์สีเลือดที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศกำลังค่อยกลับคืนเป็นเช่นยามปกติ เมฆดำทั้งหมดกระจายหายไป ท้องฟ้ายามราตรีเปลี่ยนเป็นงดงามดั่งภาพวาด
นางไม่เคยได้มองดูดวงจันทร์จากมุมนี้มาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่าที่แท้ก็งดงามมากถึงเพียงนี้
เสียงลมพลิ้วพัดผ่านใบหู ยาวนานราวกับว่านางกำลังจะข้ามผ่านไปอีกโลกหนึ่ง
นางค่อยๆ ปิดตาลง ปล่อยให้ร่างหล่นลงไปอย่างอิสระ ในสมองก็คิดถึงว่าอีกเดี๋ยวสมควรจะลงท่าไหนดีถึงจะไม่เจ็บมากนัก
จากนั้น จะอธิบายเรื่องในคืนนี้กับผู้อื่นอย่างไรดีน้า?
เวลาผ่านไปเพียงอึดใจ แต่ในสมองกลับครุ่นคิดไปนับพันนับหมื่น
สงสัยว่านางจะเหาะสูงเกินไปแล้ว ตกลงมาตั้งนานถึงได้ยังไม่ถึงพื้นเลยสักที
เพียงแต่รู้สึกว่าที่ข้างกายอยู่ๆ ก็มีสายลมหนาวพัดเข้ามาหา จากนั้นก็คล้ายจะได้รับสัมผัสบางอย่างที่คุ้นเคย
นางยังห่างจากพื้นดินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับหล่นลงไปในอ้อมแขนหนึ่งอย่างพอดิบพอดี
หนาวเหลือเกิน
ในหน้าที่ปรากฎขึ้นในดวงตาคือดวงพักตร์ที่เย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งของฮ่องเต้
เพียงแต่ว่าในยามนี้ดวงตาหงส์คู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
ท่ามกลางฝุ่นที่ปลิวขึ้นมาจนคลุ้งไปทั้วท้องฟ้า เขาสวมใส่ฉลองพระองค์สีทอง โอบกอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่น “เรามาช้าไป”
ตู๋กูซิงหลันที่ปิดตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมามองเป็นเส้นบางๆ นางยังนึกว่าตนเองเห็นภาพหลอนไปเอง
จีเฉวียน ก็มีช่วงเวลาที่ห่วงใยผู้อื่นกับเขาด้วย?
“ลูกเอ๋ย ข้าถูกคนตบตีอีกแล้ว อูย อูยๆ ~” ตู๋กูซิงหลันร้องพลางกัดฟัน ริมฝีปากก็มีเลือดไหลออกมาอีก
จีเฉวียน “……..”
ดูอย่างไรก็รู้สึกว่าศพคืนชีพชราผู้นั้นถูกกระทืบหนักกว่าอยู่ดี
“ท่านไม่รู้หรอกว่า ของเล่นนี้น่ากลัวขนาดไหน หน้าตาก็น่าเกลียด ทั้งยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล” ตู๋กูซิงหลันทำท่าหวาดผวาอย่างที่สุด
“เอาเถอะ เรารู้แล้ว เจ้าพักเสียเถอะ” จีเฉวียนเห็นนางถึงขนาดกระอักเลือดแล้วก็ยังจะเล่นละครต่อไปอีก ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะปวดใจหรือว่าทำเช่นไรดี
เขายื่นดัชนีออกมาปิดริมฝีปากนางเอาไว้ คล้ายกับว่าจะปลอบประโลมนาง และจ่ายยาเสริมความมั่นใจให้นางไปเม็ดหนึ่ง “เราจะปกป้องเจ้าเอง”
ตรัสจบเขาก็เปิดปากนางขึ้นมา ยัดยาเม็ดสีแดงดุจโลหิตในมือลงไปหนึ่งเม็ด
เดิมทีตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างทุกข้อเจ็บปวดจนนางอย่าจะร้องตะโกนเรียกหาบิดามารดา แต่ทันทีที่กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ก็รู้สึกว่าทั่วร่างเบาสบายขึ้นมาก มีกระแสอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังฟื้นฟูร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะบาดแผลบริเวณหัวใจ เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาหยุดลงในทันที ปากแผลคันนิดๆ
ความรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับทำเอาตู๋กูซิงหลันถึงกับลืมเลือนพระดำรัสเมื่อครู่ที่บอกว่าจะปกป้องคุ้มครองนาง
นางทำตัวเกียจคร้านอยู่ในอ้อมแขนของเขา ยามนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นมา เดิมทีนางคิดว่าจีเฉวียนจะทรงพานางไปจากที่นี่
แต่คิดไม่ถึงว่า พอป้อนยาให้นางเสร็จเขากลับอุ้มนางร่อนลงมาจากบนฟ้าเสียอย่างนั้น
ภาพที่ฮ่องเต้ทรงโอบอุ้มสาวน้อยนางหนึ่งลงมาจากกลางอากาศสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนได้ไม่น้อยไปกว่ายามเมื่อครู่ที่สาวน้อยผู้นั้นกำราบปีศาจ
เหล่าองครักษ์ขยับเข้ามารายล้อมอยู่รอบองค์ฮ่องเต้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีเพียงสิบกว่าคน แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นดั่งกองทัพที่มีกำลังคนนับพัน
แรงกดดันนั้นตรึงผู้คนทั้งหมดเอาไว้กับที่ จนกระทั่งฝ่าบาทเสด็จออกมาจากกลุ่มฝุ่นควัน ปรากฎพระองค์ให้พวกเขาได้เห็นกันอย่างชัดเจน ผู้คนทั้งหลายถึงได้สูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
หลังจากนั้นทั้งหมดก็พากันคุกเข่าลงไป โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ออกมา
ที่ด้านหลังของฮ่องเต้คือกำแพงของตำหนักหยู่เฉียนกงที่ถล่มลงมาฝุ่นควันยังไม่ทันจางหายพระองค์ก็สาวพระบาทก้าวออกมาก่อน ดูคล้ายดั่งเป็นราชาปีศาจที่ออกมาทำลายล้างโลก
ดวงเนตรหงส์เย็นชาดั่งน้ำแข็ง ยามกวาดออกไปก็เย็นวาบไปทั่วทั้งบริเวณ
ชั่วขณะนั้นเอง ผู้คนทั้งหลายไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยสักคน แต่ละคนละรู้สึกหัวใจเต้นตูมตาม ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจริงๆ?
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพระองค์จะทรงเย็นชาประดุจน้ำแข็ง แต่ว่าครั้งนี้ใครๆ ต่างก็รู้สึกได้ว่า ฝ่าบาททรงพิโรธแล้วจริงๆ
เหยียนเฉียวหลัวพลันตระหนกขึ้นมา ครั้งก่อนที่นางเคยได้เห็นจีเฉวียนเป็นเช่นนี้ คือยามเมื่ออยู่ในสนามประลองกับสัตว์ร้ายของแคว้นต้าเหยียน
หนุ่มน้อยผู้นั้นหลั่งเลือดทั่วตัว ปากแผลบนร่างลึกจนถึงกระดูก แต่ก็ยังยืนหยัดจนถึงที่สุด เหยียบย่ำอยู่บนซากสัตว์อสูรนับร้อย ดวงเนตรหงส์คู่นั้นกวาดมองออกไปเหมือนดังในยามนี้ ทำให้หัวใจของทุกผู้คนต้องหวาดผวา
หนุ่มน้อยในปีนั้น วันนี้เติบโตกลายเป็นฮ่องเต้ของแคว้นหนึ่ง และพระพิโรธยังคงทำให้ผู้คนต้องเหน็บหนาวเช่นเคย