ไป๋จิ่นซิ่วมองเห็นฝักของมีดดาบสีขาวล้วนสลักด้วยตราสัญลักษณ์ของกองทัพไป๋ นางลุกขึ้นในทันที ตรงดิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้ากล่องผ้าชักดาบออกมาถือไว้ในมืออย่างระมัดระวังใจเต้นรัว
“ดาบชิงเฟิง!”
นี่คือดาบประจำตระกูลของตระกูลไป๋!
ตอนนั้นพี่หญิงใหญ่ได้รับบาดเจ็บกลับมาจากสนามรบแล้วยังถูกถอนหมั้นกับจวนจงหย่งโหวอีก ท่านปู่กลัวว่าพี่หญิงใหญ่จะใจแข็งไม่ยอมแต่งงานอีกเลยตลอดชีวิต และเกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นบรรดาน้องสะใภ้จะไม่ยอมรับพี่หญิงใหญ่ ท่านจึงมอบดาบประจำตระกูลไป๋ให้แก่นาง
ไป๋ชิงเหยียนทัดเส้นผมที่ตกลงมาเกลี่ยใบหน้าไปที่ปลายหูของไป๋จิ่นซิ่ว เอ่ยอย่างนุ่มนวล
“ฮูหยินของจวนจงหย่งโหวในตอนนี้คือแม่เลี้ยงของซื่อจื่อ มันคงมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง เจ้าจงจำไว้ว่าอย่าได้ยอมทรมานตัวเองเป็นอันขาด เบื้องหลังของเจ้ายังมีจวนเจิ้นกั๋วกง”
ชาติที่แล้ว วันที่ไป๋จิ่นซิ่วแต่งงาน นางเสียชีวิตลงเสียก่อนเลยไม่ได้แต่งเข้าจวนจงหย่งโหว ต่อมาฉินหล่าง ซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหวได้แต่งงานกับบุตรสาวคนรองซึ่งมีนิสัยอ่อนโยนของเสนาบดีกรมขุนนาง ถูกแม่สามีและน้องสะใภ้ทรมานรังแกจนอายุยังไม่ถึงสามสิบก็ป่วยตายไปเสียก่อน
ได้ยินคำพูดเอาใจใส่ของไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่วที่ต้องแต่งงานไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยจนจิตใจว้าวุ่นไปหมด บัดนี้รู้สึกอุ่นวาบในใจจนร้องไห้ออกมา
ไป๋ชิงเหยียนดึงผ้าออกมาซับน้ำตาให้ไป๋จิ่นซิ่ว แต่กลับโดนไป๋จิ่นซิ่วกุมมือเอาไว้เสียก่อน นางขยับเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียน กดเสียงต่ำกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง
“เหลียงอ๋องจริงใจต่อพี่หญิงใหญ่มาก เขาต้องรักและทะนุถนอมพี่หญิงใหญ่อย่างดี พี่หญิงใหญ่อย่าปล่อยให้วาสนาดีๆ อย่างนี้ผ่านไปนะเจ้าคะ!”
ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงชาติที่แล้ว ก่อนที่ไป๋จิ่นซิ่วจะสิ้นใจได้ขอร้องให้เหลียงอ๋องดูแลนางให้ดีๆ อย่าทำผิดต่อนางอารมณ์มากมายถาโถมเข้ามาในใจ ดวงตาเริ่มแดง “รีบแต่งหน้าเถิด”
…
ยามซื่อ[1]
มีเสียงประทัดดังขึ้นจากด้านหน้าของจวน
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองไปยังนอกหน้าต่าง นิ้วมือประคองถ้วยชาอยู่
“ตายแล้ว ทำอย่างใดดี คุณหนูรองยังแต่งกายไม่เสร็จเลย”
“คุณชายแห่งจวนจงหย่งโหวช่างใจร้อนเกินไปแล้ว เหตุใดมาถึงก่อนเวลารับตัวเจ้าสาวตั้งครึ่งชั่วยามแบบนี้เล่า”
“โอ้ย! ข้าหาต่างหูไม่เจอ…”
“ผ้าคลุมหน้าเล่า ผ้าคลุมหน้าก็หายไปแล้ว!”
ฉินหมัวมัวและบรรดาสาวใช้ในเรือนนอนต่างวุ่นวายกันทั่วหน้า เดินไปทั่วห้องเพื่อหาสิ่งของ
เหมือนดังชาติที่แล้วจริงๆ ด้วย จวนจงหย่งโหวมารับตัวเจ้าสาวเร็วไปครึ่งชั่วยาม ญาติที่เดิมทีจัดหามาเพื่อช่วยกั้นประตูเงินประตูทอง เพลานี้ก็คงหลบไปเล่นพนันกันอยู่ที่ไหนสักทีเป็นแน่
แต่ว่าไม่เป็นไร ไป๋ชิงเหยียนให้น้องสี่ ไป๋จิ่นจื้อเตรียมกระดานหมากล้อมไว้รอที่ประตูด้านหน้าแล้ว วันนี้จวนเจิ้นกั๋วกงจะเป็นเหมือนชาติที่แล้วที่ไม่มีคนคอยกั้นประตูเงินประตูทองจนไป๋จิ่นซิ่วต้องออกเรือนก่อนกำหนดครึ่งชั่วยามและสิ้นชีวิตไม่ได้เด็ดขาด
เวลานี้ บริเวณประตูด้านหน้าของจวนเจิ้นกั๋วกง ฉินหล่าง ซื่อจื่อแห่งงจวนจงหย่งโหวลงมาจากหลังม้า ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ท่วงท่าสง่างามยากจะพานพบ คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันมงคลใบหน้าเลยมีแต่ความปิติยินดี
จวนเจิ้นกั๋วกงแต่งบุตรสาว จวนจงหย่งโหวมารับตัวเจ้าสาว ถือเป็นงานมงคลสมรสยิ่งใหญ่ที่น่าจับตามองที่สุดของเมืองหลวงในช่วงก่อนสิ้นปีนี้ บรรดาคุณชายเจ้าสำราญขึ้นชื่อแห่งเมืองหลวงต่างก็ตามฉินหล่างมาร่วมสร้างความครื้นเครงในการรับตัวเจ้าสาวด้วย
“คุณชายทั้งสิบเจ็ดคนแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงต่างไปออกรบที่หนานเจียง การรับตัวเจ้าสาวของฉินหล่างมันจะง่ายเกินไปหรือไม่นะ!” หลู่หยวนเผิง หลานชายคนสุดท้องของมหาเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งจวนหลู่ตะโกนออกมา
เนื่องจากท่านปู่และองค์หญิงใหญ่ซึ่งเป็นท่านย่าของไป๋ชิงเหยียนยังมีชีวิตอยู่ องค์หญิงใหญ่ไม่อยู่ที่จวนขององค์หญิงใหญ่ แต่แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง เพราะความกตัญญูทำให้ลูกหลานของตระกูลไป๋ไม่ได้แยกย้ายไปอยู่จวนของตัวเอง จึงเป็นที่มาของการเรียกขานหลานชายทั้งสิบเจ็ดคนของตระกูลไป๋
ปกติหลู่หยวนเผิงก็สนิทสนมกับคุณชายทั้งสิบเจ็ดของตระกูลไป๋อยู่แล้ว ดังนั้นเลยกล้าเอ่ยแซวอย่างไม่เกรงกลัว ชายหนุ่มตะโกนออกมา
“ทุกท่าน! ทุกท่าน…ได้ยินมาว่ากองทัพไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงกล้าหาญไม่เกรงศัตรู ไปถิ่นข้าศึกก็ทำราวกับไม่มีข้าศึกในถิ่นนั้น วันนี้พวกเรามารับตัวเจ้าสาวที่จวนเจิ้นกั๋วกง จะได้รับรู้บ้างว่าความรู้สึกที่ไปถิ่นศัตรูแต่เหมือนไม่มีศัตรูอยู่มันเป็นเช่นไร…ทุกท่านบุกเข้าไปเลย! ไปชิงตัวเจ้าสาวมาเลย!”
ด้านนอกจวนเจิ้นกั๋วกงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา บุกเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกงโดยมีหลู่หยวนผิงเป็นผู้นำ แต่ใครจะไปรู้เล่าว่ายังไม่ทันจะได้บุกเข้าไป…พอเข้าไป ก็เห็นบรรดาสาวใช้ของจวนเจิ้นกั๋วกงที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีตั้งแถวหน้ากระดานกั้นขวางพวกเขาเอาไว้ที่หน้าประตู การเผชิญหน้าแบบนี้ทำเอาบรรดาคุณชายต่างตกใจกันเป็นแถบๆ
“จวนเจิ้นกั๋วกงตั้งใจจะให้สาวใช้มาขวางพวกข้าอย่างนั้นหรือ” หลู่หยวนเผิงมองดูสถานการณ์ตรงหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างอึ้งๆ
ทันใดนั้น คุณหนูสี่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงในชุดขี่ม้าองอาจ มือข้างหนึ่งถือแส้ไว้ เดินฝ่าบรรดาสาวใช้ออกมา สองมือยกขึ้นกอดอก ช่างดูสง่างามและหยิ่งทะนงยิ่งนัก
“จวนเจิ้นกั๋วกงทุกคนจงฟังให้ดี!” ไป๋จิ่นจื้อชูแส้ยาวในมือขึ้น
“น้อมรับคำสั่งคุณหนูสี่!” บรรดาสาวใช้ของจวนเจิ้นกั๋วกงรับคำโดยพร้อมเพรียง มีระเบียบราวกับอยู่ในกองทัพ ทำเอาบรรดาคุณชายเจ้าสำราญที่มารับตัวเจ้าสาวตะลึงงันไปตามๆ กัน
“พี่หญิงใหญ่มีคำสั่ง ผู้ใดบุกเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกงมิต้องไว้หน้า อย่าได้คิดมารังแกจวนเจิ้นกั๋วกงที่ไร้ซึ่งบุรุษอย่างพวกเรา!” ไป๋จิ่นจื้อตวัดแส้ ทำเอาบรรดาคุณชายเจ้าสำราญที่บุกหน้าเข้ามาต่างถอยหลังหนีเป็นพัลวัน เสียงตวัดแส้ไปมาในอากาศช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
จวนเจิ้นกั๋วกงช่างสมกับเป็นกระดูกสันหลังของแคว้นจริงๆ แม้แต่สตรียังดูอาจหาญถึงเพียงนี้
ฉินหล่าง ซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหวก้าวออกไปด้านหน้า โค้งคำนับคุณหนูสี่ ไป๋จิ่นจื้อ
“คุณหนูสี่เข้าใจผิดแล้วขอรับ เจิ้นกั๋วกงเป็นเสาหลักของแคว้นเรา ที่พวกข้าใช้ชีวิตเฮฮาสนุกสนานอยู่ในเมืองหลวงได้แบบนี้ล้วนเป็นเพราะหยาดเลือดหยาดเหงื่อของบุรุษแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งสิ้น ต่อให้พวกข้าเลวแค่ไหนก็มิกล้ารังแกสตรีจวนเจิ้นกั๋วกงเพียงเพราะบัดนี้ไร้ซึ่งบุรุษหรอกขอรับ! หวังว่าคุณหนูสี่จะเมตตา ยอมให้พวกข้าเข้าไปด้านในด้วยเถิด!”
“เช่นนั้นก็ดี!” ท่าทีของไป๋จิ่นจื้อยังคงหยิ่งทะนงอยู่ นางลดแส้ลง
“ใครก็ได้ นำกระดานหมากล้อมออกมาที!” บ่าวรับใช้ของจวนเจิ้นกั๋วกงช่วยกันยกกระดานหมากล้อมและเก้าอี้ออกมาวางด้านหน้าประตูอย่างระมัดระวัง
คุณหนูสี่กล่าวขึ้น “พี่หญิงใหญ่กล่าวว่า ตระกูลไป๋ของข้าเป็นตระกูลนักรบ กระดานหมากล้อมเป็นดั่งสนามรบ…หากบรรดาผู้ติดตามมารับตัวเจ้าสาวของซื่อจื่อล้มหมากกระดานนี้ได้ ถึงจะมีสิทธิ์มารับพี่รองของข้าไปแต่งงาน!”
ไป๋จิ่นจื้อกั้นประตูอยู่ที่ด้านนอกด้วยท่าทีแข็งกร้าว ภายในตัวเรือนไป๋ชิงเหยียนโน้มตัวใส่ต่างหูให้แก่ไป๋จิ่นซิ่ว พลางกล่าว “เจ้าวางใจได้ ถึงแม่ท่านปู่กับท่านอารองไม่อยู่ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราก็จะไม่ยอมให้จวนจงหย่งโหวดูถูกเจ้าเพียงเพราะจวนเราไม่มีบุรุษหรอก”
“พี่หญิงใหญ่! พี่หญิงใหญ่เจ้าคะ!” ไป๋จิ่นจื้อวิ่งเข้ามาด้านในอย่างเร่งรีบ หายใจหอบพลางเดินหมากในกระดานหนึ่งตัว จากนั้นใช้มือพัดไปมาคลายร้อน “พี่หญิงใหญ่ ฉินหล่างวางหมากตรงนี้เจ้าค่ะ ทุกคนต่างชมเชยกันใหญ่ เขาล้มกระดานแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
คำนวณเวลาดูแล้วยังไม่พ้นช่วงที่เหลียงอ๋องโดนลอบสังหาร ไป๋ชิงเหยียนยื่นถ้วยชาให้ไป๋จิ่นจื้อ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นาง จากนั้นลุกขึ้นยืนหยุดอยู่ตรงหน้ากระดานหมากล้อม พิจารณาตำแหน่งที่ฉินหล่างเดินหมาก
ไป๋จิ่นจื้อกรอกชาเข้าปากราวกับดื่มนม ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียน อยากเห็นตำแหน่งที่ไป๋ชิงเหยียนจะวางหมาก
ฉินหล่างวางหมากขาวตรงตำแหน่งนี้ ไม่เพียงจะหลบหลีกกับดักมากมายบนกระดานเท่านั้น แต่ไม่บุกเข้าไปอย่างประมาทอีกด้วย เป็นการดีต่อหมากขาวและยังทำให้หมากขาวเป็นต่อในกระดานอีกด้วย หากพิจารณาทั้งกระดาน…ไม่ว่าจะวางหมากดำลงตรงตำแหน่งไหนก็จะพ่ายแพ้อยู่ดี
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มือขวาของไป๋ชิงเหยียนกุมชายเสื้อเอาไว้ ก้มตัวลงหยิบหมากดำออกมาจากกล่อง วางลงตรงตำแหน่ง…
ไป๋จิ่นจื้อเห็นตำแหน่งที่ไป๋ชิงเหยียนวางหมากก็หมุนตัวกลับ วิ่งออกไปยังประตูหน้าของจวน วางหมากดำลงบนกระดานตามตำแหน่งที่ไป๋ชิงเหยียนวาง
ด้านนอกเต็มไปด้วยเสียงตกตะลึง…เมื่อวางหมากดำลง สถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว หมากดำพุ่งเข้าโจมตี พริบตาเดียวก็กินหมากขาวไปได้เกือบครึ่งกระดาน
“ยอดเยี่ยมมาก!” หลู่หยวนเผิงอุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง “หมากดำนี่ราวกับกองทัพจากเบื้องบนเลย เจ้าเล่ห์มาก พริบตาเดียวก็พลิกสถานการณ์ได้แล้ว น่ากลัวเสียจริงไม่ทราบว่าผู้ใดในจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นผู้วางหมากดำนี่กัน”
“พี่หญิงใหญ่ของข้าน่ะสิ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวด้วยท่าทีสะใจ
ขณะนั้นเอง ทุกคนต่างนึกถึงบุคคลผู้นั้นแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง…คุณหนูใหญ่แห่งจวนซึ่งเป็นสตรีนางเดียวที่ได้ใช้คำว่า “ชิง” ในชื่อเหมือนกับบุรุษของจวนเจิ้นกั๋วกง
เมื่อฉินหล่างได้ยินว่าผู้วางหมากดำคือไป๋ชิงเหยียน ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ทันที
[1]ยามซื่อ ช่วงเวลาตั้งแต่ 9.00-11.00 น