คำถามนี้ทำเอาจีเฉวียนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หนึ่งชาติ หนึ่งภพ หนึ่งคู่ครอง
คำพูดนี้พอออกจากปากของตู๋กูซิงหลัน เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจเลยสักนิด
ที่ด้านนอกหน้าต่างมีลมพัดโชย กิ่งของต้นเย่วกุ้ย [1] ทอดออกมากระทบบานหน้าต่าง ทำให้คืนที่เงียบสงบดูมืดมน
ความเงียบงันของจีเฉวียนทำให้บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองเปลี่ยนเป็นอึดอัดขัดเขินขึ้นมาในทันที
ผ่านไปอีกพักใหญ่ จีเฉวียนก็ตอบนางกลับไปว่า “ไม่ได้”
วิญญาณทมิฬโวยวายขึ้นมาในทันที “เขาช่างพูดได้ไม่อายปากเลย”
แต่คิดๆ ดูแล้วก็ใช่อยู่ ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งไหนเลยจะยอมละทิ้งสนมสามพันและหกตำหนักมาปรารถนาเพียงแต่นางแค่ผู้เดียว?
ดอกโบตั๋นแม้จะงามอย่างไร ก็ย่อมมีวันเบื่อหน่ายได้เช่นกัน นานวันเข้าแม้แต่ดอกไม้ริมทางก็อาจเหนือกว่า
บุรุษล้วนเป็นเช่นนี้ ปากก็บอกว่าชอบ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงกว่า
เมื่อได้คำตอบจากเขาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็มิได้ประหลาดใจ กลับเป็นความตรงไปตรงมาของจีเฉวียนที่ทำให้นางเกิดความประทับใจขึ้นมา
โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าซูคนงามกำลังตั้งครรภ์หากนางทำให้จีเฉวียนสลายวังหลังไปจริงๆ มิเท่ากับว่าผลักไสซูเม่ยไปจนหมดหนทางหรอกหรือ?
จีเฉวียนเองก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใดกับนาง ไม่ใช่ว่าเขาละทิ้งความเย้ายวนของวังหลังไม่ได้ เพียงแต่พระองค์อยู่ในตำแหน่งสูง ย่อมต้องคำนึงถึงฐานะของเจ้าแผ่นดิน
พระสนมแต่ละพระองค์ในวังหลัง ต่างก็มีขุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง
ยิ่งไปกว่านั้นในวันข้างหน้า วังหลังของเขาก็ยังจะต้องมีคนใหม่มาเพิ่มเติม เรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ เขาย่อมไม่มีทางให้คำสัญญากับนางง่ายๆ
เพราะเรื่องที่เขารับปากไปแล้ว ย่อมต้องทำให้ได้
ตู๋กูซิงหลันพิงอยู่บนเบาะนุ่มยิ้มน้อยๆ ออกมา “ฝ่าบาท ดูสิเพคะ มุมมองความคิดเห็นของพวกเราไม่ตรงกันแบบนี้แน่นอนว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้”
“หากว่าข้าอยู่กับท่าน ย่อมต้องไม่ยอมให้ท่านมีหญิงอื่น อ้อ บุรุษก็ไม่ได้”
“ในทำนองเดียวกัน ท่านลองเปลี่ยนตำแหน่งดู หากว่าข้าอยู่กับท่าน แต่ข้างกายยังมีบุรุษอีกไม่น้อย ท่านยอมรับได้หรือไม่?”
จีเฉวียนรับฟังคำพูดของนางอย่างตั้งใจ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดถึงคำว่ามุมมองความคิดกับเขา
พระหัตถ์ที่วางอยู่บนศีรษะของนางเบาๆ ก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ข้างแก้มของนาง สายพระเนตรยังคงเปี่ยมไปด้วยความเสน่หาล้ำลึกอยู่ไม่คลาย “ไม่ว่าในวังหลังจะมีสาวงามมากเพียงไร ก็ไม่มีผลต่อความโปรดปรานที่เรามีให้เจ้า”
“ข้าไม่ยอม” ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความดื้อด้านนี้มาจากที่ใดกัน นางปัดหัตถ์ของจีเฉวียนที่ไล้อยู่บนขอบหน้าออกไป “ฝ่าบาท หม่อมฉันยิมยอมเป็นเพียงแม่ม่ายไปชั่วชีวิต แต่ไม่ขอเป็นหนึ่งในบรรดาพระสนมมากมายของท่าน เรื่องที่ฝ่าบาทโปรดข้า ต่อไปก็อย่าได้พูดถึงอีกเลยเพคะ”
อย่าว่าแต่ ตอนนี้นางยังไม่ได้ชอบเขาด้วยซ้ำ
หากให้ถอยมาอีกก้าว ต่อให้นางชอบเขาขึ้นมา ก็คงไม่มีทางยอมเรื่องพวกนี้อยู่ดี
ทรวงอกของนางขยับขึ้นลง ผ้าโปร่งสีขาวมีรอยเลือดขึ้นมาจางๆ
จีเฉวียนคาดเดาว่านางชักจะมีความรู้สึกร่วมขึ้นมาไม่น้อย
มีความรู้สึกร่วมเช่นนี้ย่อมดี
หากนางเริ่มกลัวใจตนเองก็แสดงว่าในนั้นจะต้องมีเขาอยู่บ้าง
ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดถึงถ้อยคำของนางเมื่อครู่ ก็เริ่มหาหนทางว่าสมควรจะจัดการกับปัญหาของวังหลังอย่างไรดี
ตลอดทั้งคืน เขามิได้ออกห่างจากนางเลยแม้ก้าวเดียว แต่กลับคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ตลอด
ทุกคำที่นางกล่าวออกมาเขาล้วนนำมาไตร่ตรองอย่างละเอียด ตู๋กูซิงหลันเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ครึ่งคืนหลังจึงหลับไปแล้ว
กระทั่งเมื่อนางตื่นขึ้นมาในยามฟ้าสาง จีเฉวียนก็ยังคงเฝ้าอยู่ที่ข้างกายนาง
“ยังมีคำถามข้อที่ห้า เมื่อคืนลืมถามไปเลย ฝ่าบาททรงเป็นผู้ใดกันแน่?”
ตู๋กูซิงหลันมิได้ขุ่นเคืองเรื่องที่เขาไม่ยอมสลายวังหลังเลยสักนิด
“ฝ่าบาททรงพบเห็นภูติผีปีศาจร้ายแต่กลับมิได้ประหลาดพระทัย ทรงมีไอหยินรุนแรง ทั้งยังสามารถสังหารงูยักษ์ลงได้ ศพคืนชีพผู้นั้น เกรงว่าฝ่าบาทคงทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วกระมัง?” ตู๋กูซิงหลันเอาข้อสงสัยทั้งหมดที่มีอยู่ในสมองถามออกมาในคราเดียว
“ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ เดิมทีพระวรกายสมควรเปี่ยมไปด้วยไอมังกรของโอรสสวรรค์ แต่แล้วไยจึงกลายเป็นเช่นนี้?”
ดวงพระพักตร์ในยามเช้ามีเค้าความอ่อนล้าฉาบจางๆ ชั้นหนึ่ง พระองค์ประทับนั่งอยู่ข้างเตียงตู๋กูซิงหลัน พระหัตถ์ข้างหนึ่งหนุนพระเศียรเอาไว้ พระเกศายาวสลวยทอดตัวลงมา ทั่วทั้งองค์สะท้อนความเกียจคร้าน
ดวงเนตรหงส์คู่นั้นหรี่ลงมาทำให้สามารถมองเห็นขนงที่งามงอนได้อย่างชัดเจน งามมากจริงๆ
พระองค์มิได้ทรงตรัสตอบ เพียงแต่ใช่พระเนตรคู่นั้นเฝ้ามองนางอย่างเต็มตาเงียบๆ
“ตั้งแต่ตอนเยาว์วัยเราก็สามารถมองเห็นจิตวิญญาณเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้ จึงไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจ” ครู่หนึ่ง เขาถึงได้ตอบ “เพียงแต่ว่าภายหลังเมื่อโตขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้มารบกวนอีก จึงได้ไปฝึกเนตรหยิน [2] ที่วัดซิวหลัวเสิน เพื่อสกัดกั้นสิ่งเหล่านั้นออกไป”
ตู๋กูซิงหลันจับประเด็นไปที่คำสำคัญสองคำ ‘เนตรหยิน’
คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นภูติผีเทพต่างๆ แต่ผู้ที่มีเนตรหยินนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขามีพรสวรรค์พิเศษที่เกิดมาก็สามารถมองเห็นสิ่งเหลานี้
ผู้ที่มีเนตรหยิน จะดึงดูดความสนใจของสิ่งเหล่านั้น ทำให้พวกมันเข้าใกล้เขาด้วยตนเอง
มีแต่ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับไอหยินเข้มข้นถึงได้สามารถมีเนตรหยิน เขามีชาติกำเนิดเป็นพระราชโอรสสายตรง สูงส่งเกินใคร เดิมทีสมควรจะมีไอหยางบริบูรณ์จึงจะถูก แต่กลับมีไอหยินเข้นข้นนี่ก็ประหลาดเกินไปแล้ว
ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็เขยิบเข้ามาใกล้นางอีกนิด “ยามที่เราเป็นเด็กได้รับความยากลำบากมาไม่น้อย ประสบเหตุลึกลับอันตรายมาก็มากพอควร สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นหล่อหลอมให้เกิดความสามารถที่ไม่อาจแพร่งพรายได้บางประการ จึงมิค่อยได้แสดงออกมา หากว่าเจ้าสนใจ เราสามารถถ่ายทอดให้เจ้าได้”
“เว้นแต่เรื่องไอหยินเข้มข้น นั่นเป็นโดยกำเนิด”
จีเฉวียนไม่ได้ปิดบังนาง ตรัสจบแล้วเขาก็เชยคางนางขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ เขี่ยสิ่งสกปรกในดวงตาของนางออกไป
“เจ้าอยากจะล้างหน้าเสียก่อนแล้วค่อยซักถามเราต่อไหม?”
ตู๋กูซิงหลัน “!!!” เดิมทีนางกำลังตื่นตระหนกกับสภาพร่างกายที่มีความแปลกพิเศษของจีเฉวียนอยู่ พออยู่ๆ ก็ถูกเขาทักเช่นนี้ ทำเอานางเก้อเขินขึ้นมาในทันที
อะไรเรียกว่ากรรมตามทัน!
นางได้รู้แล้ว
ก่อนหน้านี้เคยไปทักเขาเรื่องขี้ตามาก่อน แค่ไม่นานก็ถึงคราวย้อนมาเข้าตัวบ้างแล้ว
มันเป็นเพราะไปต่อสู้ได้รับบาดเจ็บจนเกิดการอักเสบไม่เข้าใจหรือไง?
ยามปกติดวงตาของนางสะอาดสะอ้านจะตายไป ต่อให้ไม่ล้างหน้าก็ไม่มีสิ่งสกปรก
ยามนี้นางสามารถเข้าอกเข้าใจจิตใจของจีเฉวียนในตอนนั้นได้แล้ว
“เรามิได้รังเกียจเจ้าสักหน่อย เจ้าจะต้องแอบซ่อนไปทำไม?” พอทรงเห็นว่านางทำท่าอยากจะมุดเข้าไปในผ้าห่ม จีเฉวียนก็ทรงคว้าปลายคางของนางขึ้นมา ใช้พระหัตถ์ปาดเช็ดสิ่งสกปรกออกไปจากมุมตาของนาง
หืม ใช้มือเช็ด!
คนที่เป็นโรคบ้าความสะอาด กลับใช้นิ้วมือมาเช็ดขี้ตาให้นาง???
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาในทันที
เมื่อครู่ดูเหมือนว่าพวกนางสามารถพูดคุยในเรื่องสำคัญได้รู้เรื่องอยู่บ้าง ตอนนี้กลับเหมือนตกจากแท่นบูชาลงไปในหลุมโคลนเข้าเสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันอยากจะมุดรอยแยกแผ่นดินลงไปจริงๆ
แต่กลับได้ยินจีเฉวียนตรัสอีกว่า “ต่อไปหากว่าเจ้ามีเรื่องใดอยากจะถามเรา พวกเรายังคงมีเวลาอีกถมไป ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
“เรายินดีจะให้เจ้าทำความเข้าใจ”
และอยากจะเข้าใจนางให้มากขึ้นเช่นกัน
ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ นางสามารถเลือกที่จะไม่เข้าใจได้ไหม? อยากเลือกแบบหนีไปไกลๆ เลย
อย่างไรเสียรอบนี้คงต้องถือว่าการสารภาพรักของฮ่องเต้ถึงขั้นล้มเหลว แต่ว่าพระองค์กลับมิได้ทรงรู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิดเดียว
ตลอดทั้งวันประตูหน้าต่างในตำหนักตี้หัวถูกปิดจนแน่นสนิท มีแค่หลี่กงกงที่เข้ามาส่งน้ำและอาหารเพียงรอบเดียว
เป็นขาหมูน้ำแดงจำนวนมากเลยทีเดียว ใครไม่รู้ก็คงจะนึกว่าฝ่าบาททรงเลี้ยงหมูอยู่ในตำหนักตี้หัวเสียแล้ว
แผนดักไทเฮาน้อยก้าวที่หนึ่ง ขุนนางให้อิ่มก่อน
——
[1] ต้นลอเริล
[2] 阴瞳 (yin tong) เนตรหยิน : หมายถึงผู้ที่มีความสามารถพิเศษมีสัมผัสที่หกสามารถมองเห็นสิ่งเล้นลับเหนือธรรมชาติได้