ต่งซื่อมีใบหน้าที่งดงามอ่อนโยน มีรัศมีแห่งความสูงศักดิ์ องอาจสง่างามสมกับที่เป็นนายหญิงใหญ่ของตระกูล
สาวใช้ทั้งสองคนตกใจจนสะดุ้ง รีบย่อกายทำความเคารพ “เรียนฮูหยิน คุณหนูใหญ่สั่งให้เอากระสอบทรายที่คุณหนูใหญ่เคยฝึกวรยุทธ์เมื่อครั้นยังเยาว์ออกมาเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อขมวดคิ้วแน่น รีบเดินเข้าไปด้านในทันที
ชุนเถารีบเดินนำไปแหวกม่านให้ต่งซื่อ
ต่งซื่อเข้ามาก็เห็นว่าไป๋ชิงเหยียนนั่งเอนพิงหมอนอยู่ นางปลดเสื้อคลุมออก รับกล่องอาหารมาจากสาวใช้แล้วเดินเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียน “อาเป่าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ!”
เมื่อครู่คุยกับไป๋จิ่นถงอยู่นาน นางรู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งร่าง
โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงท่าทีปกป้องราชวงศ์ต้าจิ้นของท่านย่า ไป๋ชิงเหยียนยิ่งรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก จากความเข้าใจที่นางมีต่อท่านย่า…หากตอนนั้นนางกล่าวออกไปว่าคิดกบฏ เกรงว่าคงถูกท่านจับขังอยู่แต่ในจวนจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นมารดา ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในใจเอ่อล้นออกมาจนไป๋ชิงเหยียนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ อยากจะโผเข้าหาอ้อมกอดของมารดา
นางสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “หิมะตกหนักขนาดนี้ ท่านแม่มามีอันใดหรือเจ้าคะ”
ประคองต่งซื่อนั่งลงบนเตียง นางยืนอยู่ข้างกายของมารดา จับมือของต่งซื่อเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ดวงตาเริ่มแดงก่ำ “น้องรองออกเรือน ท่านแม่เหนื่อยมากแล้ว เหตุใดไม่พักผ่อนให้สบายเล่าเจ้าคะ”
“ช่วงนี้แม่ยุ่งจนไม่มีเวลามาอยู่กับอาเป่าเลย!” ต่งซื่อเอื้อมมือไปลูบผมดำสลวยของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน
“มานี่ นั่งลงสิ! แม่ต้มซุปไก่ดำมาให้เจ้าด้วย!”
นางพยักหน้านั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง มองดูต่งซื่อเปิดกล่องอาหารออก หยิบถ้วยซุปมาวางไว้ตรงหน้าของนาง นางใช้ช้อนเล็กชิมซุปในถ้วย หลุบตาลงเล็กน้อย ใช้ขนตายาวอำพรางดวงตาแดงก่ำเอาไว้
ดีจริง ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่!
นางรู้สึกแสบที่จมูก หยาดน้ำตาหยดลงในถ้วยซุป นางรีบก้มหน้าต่ำลงอีกเกรงว่าต่งซื่อจะจับสังเกตได้
“ทำไมเจ้าถึงสั่งให้สาวใช้รื้อกระสอบทรายออกมาล่ะ” ต่งซื่อถามเสียงเบา
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้างุดไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ทานซุปคำหนึ่งพลางกล่าว “ร่างกายของข้ามิดีขึ้นเสียที คงเป็นเพราะสองปีมานี้ข้ามัวแต่นอนอยู่บนเตียง ข้าเลยอยากออกแรงเสียบ้าง…”
“ออกแรงเสียหน่อยก็ดี แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวรออีกสักหน่อยเถิด รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิค่อยเริ่มก็ยังมิสาย” ต่งซื่อขมวดคิ้วแน่น เอ่ยโน้มน้าว
บุตรสาวของนางถูกนายท่านกั๋วกงเลี้ยงดูเยี่ยงบุตรชายมาตั้งแต่เล็ก ทุกวันต้องซ้อมต่อยตีกับกระสอบทราย ทั้งยืนม้า[1] ผ่านความลำบากมามาก
ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนร่างกายแข็งแรง ต่งซื่อก็สงสารแทบจับใจแล้ว ยิ่งตอนนี้ร่างกายของไป๋ชิงเหยียนไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ต่งซื่อจะทนเห็นบุตรสาวลำบากอีกครั้งได้อย่างไรกัน
ใจของไป๋ชิงเหยียนอุ่นวาบ เงยหน้าขึ้นยิ้มจนตาหรี่ “ท่านแม่ ข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองเจ้าค่ะ ข้าไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากหรอก อีกอย่างซ้อมต่อยกระสอบทรายอยู่แต่ในเรือนจะไม่สบายได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
“แต่มันก็ลำบากเกินไปอยู่ดี! แม่กลัวว่าร่างกายของเจ้าจะทนไม่ไหว…”
นางมองดูต่งซื่อแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำทีเป็นสำลักซุปที่ทานเข้าไป สำลักจนน้ำตาไหลออกมา ในใจเจ็บปวดจนทนไม่ไหว
“รีบนำน้ำมาให้คุณหนูใหญ่เร็ว!” ต่งซื่อรีบลุกขึ้นยืนเดินไปด้านหลังของไป๋ชิงเหยียนช่วยลูบแผ่นหลังให้นาง “โตขนาดนี้แล้ว แค่ทานซุปทำไมถึงสำลักได้นะ!”
ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากให้มารดาเป็นกังวล เงยหน้าขึ้นรับผ้าเช็ดหน้าที่ชุนเถาส่งให้พลางเช็ดน้ำตาออก กล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ แม้ข้าจะได้รับบาดเจ็บจนไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ แต่ท่านจะเลี้ยงข้าแบบคนป่วยมิได้นะเจ้าคะ ข้าคือบุตรสาวคนโตแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกน้องๆ สิเจ้าคะ”
คำพูดนี้ เจิ้นกั๋วกงเคยกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนยามเมื่อครั้นอบรมสั่งสอนนาง
ต่งซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากให้ไป๋ชิงเหยียน ถอนหายใจออกมา “ทั่วทั้งเมืองหลวง…เห็นจะมีแต่บุตรสาวของจวนเจิ้นกั๋วกงนี่ ที่ลำบากที่สุด!”
“ท่านแม่ต้มซุปมาให้ข้า ข้ามิได้ลำบากเสียหน่อยเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกุมมือต่งซื่อ เอนใบหน้าซบลงกลางมือฝ่ามือของต่งซื่อ ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมากและไม่อยากมือปล่อยออกเลย
ไป๋ชิงเหยียนถูกเลี้ยงดูมาโดยองค์หญิงใหญ่และนายท่านกั๋วกง เลี้ยงจนดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แม้ตอนเป็นเด็กก็แทบไม่เคยออดอ้อนต่งซื่อเช่นนี้เลย
ท่าทางออดอ้อนอย่างสนิทสนมของบุตรสาวในวันนี้ทำให้ต่งซื่อน้ำตารื้น นางหัวเราะเบาๆ ใช้นิ้วเคาะไปที่ศีรษะของไป๋ชิงเหยียน “ยิ่งโตยิ่งเหมือนเด็กนัก ยังมาออดอ้อนแม่เช่นนี้อีก!”
“ท่านแม่ ต่อให้ข้าจะโตสักแค่ไหนก็ยังเป็นลูกสาวของท่านอยู่ดีนะเจ้าค่ะ…” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างออดอ้อนแต่ในใจกลับร้าวรานไปหมด
ชาตินี้นางจะไม่ยอมให้ท่านแม่ปลิดชีพตัวเองเช่นนั้นเป็นอันขาด แม้ต้องแลกด้วยชีวิตนางก็ไม่เสียดาย!
บรรดาสาวใช้ทั่วห้องต่างก็เพิ่งเคยเห็นกิริยาออดอ้อนของไป๋ชิงเหยียนเป็นครั้งแรก ต่างใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากซ่อนรอยยิ้มของตัวเอง
“แม่ยังไม่รู้จักเจ้าดีหรืออย่างไร ต้องขออนุญาตแม่ทำเรื่องซุกซนอีกแน่” ต่งซื่อสะบัดผ้าเช็ดหน้า นั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง ดันถ้วยซุปไปตรงหน้าไป๋ชิงเหยียนอีกครั้ง “เอาเถิด เจ้าอยากฝึกก็ฝึกไป แต่ฝึกให้เหมาะสมอย่าได้ฝืนเป็นอันขาด!”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อาเป่าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อไม่เห็นถงหมัวมัวผู้ดูแลเรือนชิงฮุยในห้องของไป๋ชิงเหยียนจึงเอ่ยถาม “ถงหมัวมัวยังไม่กลับมาอีกหรือ”
“คราวนี้ลูกชายของถงหมัวมัวบาดเจ็บหนักเจ้าค่ะ ก่อนข้าจะทานอาหารกลางวันได้สั่งให้ชุนเหยียนนำเงินไปให้ที่บ้านของถงหมัวมัวแล้ว กำชับแล้วว่ารอให้ลูกชายของนางหายดีก่อนค่อยกลับมาทำงาน”
ต่างเป็นแม่เช่นเดียวกัน ต่งซื่อพนักหน้าน้อยๆ กล่าวขึ้น “เรือนของเจ้าไม่มีหมัวมัวดูแลมิได้ ก่อนถงหมัวมัวกลับมาก็ให้…”
“ท่านแม่เจ้าคะ ถึงถงหมัวมัวจะไม่อยู่ แต่ชุนเถาก็สุขุมรอบคอบพอที่จะดูแลลูกได้เจ้าค่ะ ข้าอยากถือโอกาสนี้ให้ชุนเถาได้ฝึกฝนเสียหน่อย ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องในเรือนของข้าหรอกเจ้าค่ะ”
ชุนเถาได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนก็ตกตะลึง รีบย่อกายคำนับ “คุณหนูไว้ใจบ่าว บ่าวจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อพยักหน้า “ชุนเถาสุขุมใช้ได้”
“ฮูหยินชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวมิกล้ารับ” ชุนเถานอบน้อมยิ่งกว่าเดิม
ต่งซื่อหันไปมองไป๋ชิงเหยียนใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม นึกถึงภาพตอนที่ไป๋จิ่นซิ่วออกเรือน แต่บุตรสาวของนางอยู่ห่างจากคำนั้นอีกไกลนัก ในใจระทมทุกข์ กลัวว่าบุตรสาวจะสังเกตเห็นแล้วเสียใจเหมือนนาง ต่งซื่อจึงนั่งต่อแค่ครู่เดียวจากนั้นก็จากไป
เช้าวันต่อมา ยามไก่ขัน หญิงชราผู้มีหน้าที่กวาดล้างทำความสะอาดถือกะละมังน้ำเดินหาวออกมาจากในห้อง เห็นไป๋ชิงเหยียนยืนม้าอยู่กลางลานหญ้า ตกใจจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบย่อกายทำความเคารพ
“คุณหนูใหญ่!”
“มีอันใดทำก็ไปทำ ปิดปากของเจ้าให้สนิทนะ” ชุนเถากำชับ
ไป๋ชิงเหยียนแต่งกายด้วยชุดฝึกวรยุทธ์อันบางเลา เหงื่อซึมทั่วใบหน้าหยดลงที่คาง ไอร้อนแผ่ไปทั่วร่าง ชุนเถายืนสีหน้าเป็นกังวลอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา ทำได้เพียงขยำผ้าเช็ดในมือแน่น มองดูหยาดน้ำค้างด้านนอกอยู่หลายครา ภาวนาให้หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยเร็ว
ไป๋ชิงเหยียนเหงื่อท่วมตัวจนเครื่องแต่งกายชุ่มไปด้วยเหงื่อเกินกว่าครึ่ง นางยืนม้ามาครึ่งชั่วยามแล้ว ขนาดยังไม่ได้แบกกระสอบทรายเอาไว้ นางกลับรู้สึกเหมือนใช้พลังจนถึงขีดสุดแล้ว
ตอนนี้ ไป๋ชิงเหยียนอยากฝึกวรยุทธ์ที่เสียไปให้กลับคืนมาอีกครั้ง นางจำเป็นต้องยอมลำบากเหมือนครั้งเป็นเด็กอีกครา ไม่ว่าลำบากสักเท่าใดนางต้องอดทนให้ได้!
ชาติก่อน เพื่อจะได้กลับมาใส่เกราะออกรบอีกครั้ง ไป๋ชิงเหยียนลำบากกว่านี้มากนัก แทบสิ้นใจอยู่หลายครา แต่เพราะความโกรธแค้นนางยังฝืนอดทนมาได้เลย
ชาตินี้ ญาติที่นางรักยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้นางต้องลำบากกว่าชาติที่แล้วสักหมื่นพันเท่า นางก็ต้องอดทนให้ได้ นางจะไม่ยอมเป็นคนไร้ประโยชน์ในยามตระกูลไป๋ตกอยู่ในสภาวะคับขันเด็ดขาด นางจะไม่รอให้คนทั้งตระกูลตายไปต่อหน้าต่อตาแล้วค่อยกัดฟันรื้อฟื้นวรยุทธ์
สวรรค์สงสารตระกูลไป๋จึงให้นางกลับมา ไม่ได้ให้นางกลับมาเพื่อมองดูตระกูลไป๋ล่มสลายไปอีกครั้งโดยไม่ทำสิ่งใดเลย
ไป๋ชิงเหยียนผ่อนลมหายใจเข้าออก ด้วยปณิธานอันแรงกล้านางจะยืนหยัดต่อไป
ครบหนึ่งชั่วยาม ชุนเถารีบถลาไปตรงหน้าไป๋ชิงเหยียนช่วยพยุงนางลุกขึ้น
“คุณหนูใหญ่ ครบหนึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนเปียกท่วมไปทั้งร่าง ขาแข้งอ่อนแรง พอลุกขึ้นยืนก็แทบล้มลงไปกองบนพื้น
“ระวังเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่!” ชุนเถาสงสารจนขอบตาเริ่มร้อนผ่าว
“ให้คนเตรียมน้ำ!” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยสั่งด้วยเสียงแหบพร่า
“เจ้าค่ะ…” ชุนเถารับคำ
[1]ยืนม้า คือ การยืนที่มีลักษณะเหมือนนั่งอยู่บนหลังม้า ทำเพื่อเสริมสร้างพลังและร่างความเป็นหนึ่งเดียวกันของร่างกาย