ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถึงติ้งกั๋วโหว ฉินหล่างก็เข้าใจได้ในทันที ที่จวนจงหย่งโหวเกิดเรื่องวุ่นวายอยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นเพราะตำแหน่งโหวนั่น
มารดาเลี้ยงของฉินหล่างอยากให้น้องชายของเขาสืบทอดตำแหน่งโหว แต่ด้วยธรรมเนียมของบรรพบุรุษนางจึงไม่อาจทำได้จึงลอบขัดขวางฉินหล่างอยู่ตลอดเวลา ขับไล่อาจารย์ผู้มีพระคุณของฉินหล่างทำให้ชื่อเสียงของชายหนุ่มเสียหาย ครั้งนี้เพื่อยุแยงให้เขากับจวนเจิ้นกั๋วกงผิดใจกันจึงลงมือทำร้ายไป๋จิ่นซิ่ว
เห็นฉินหล่างหน้าซีด กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดออกมา ไป๋ชิงเหยียนก็รับรู้ว่าชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อแล้ว
ฉินหล่างเข้าใจความคิดของเจี่ยงซื่อ นายหญิงใหญ่แห่งจวนจงหย่งโหวได้ดีกว่าไป๋ชิงเหยียน แต่ว่าแค่เข้าใจจะมีประโยชน์อันใดกัน มีคำว่ากตัญญูค้ำคออยู่ต่อให้ฉินหล่างเก่งกล้าสักแค่ไหนก็ทำอะไรมิได้
ไป๋ชิงเหยียนคิดว่าฉินหล่างยังพอแก้ไขได้ จึงกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ใช้ทองสัมฤทธิ์เป็นกระจกสามารถสะท้อนให้เห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ ใช้ประวัติศาสตร์เป็นกระจกสามารถสะท้อนความผิดพลาดในอดีต ในอดีตมีการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ผู้ทำความดีความชอบ เหตุใดซื่อจื่อไม่ลองทำตามดูบ้างเล่า อย่างไรเสีย…ตอนนี้ตำแหน่งโหวของจวนจงหย่งโหวก็เป็นเพียงชื่อเท่านั้น ซื่อจื่อมีความทะเยอทะยาน เหตุใดไม่สร้างอนาคตอันรุ่งโรจน์ด้วยตัวเองเล่าเจ้าคะ”
“พี่หญิงใหญ่!” ไป๋จิ่นจื้อตะลึงงัน
ดวงตาของฉินหล่างไหววูบ เงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนที่มีสีหน้าเรียบนิ่งในทันที นางหมายความว่า…ให้เขาสละตำแหน่งซื่อจื่ออย่างนั้นหรือ เหตุใดนางจึงกล่าววาจาน่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้
หลายปีมานี้ฉินหล่างมิใช่ไม่เคยคิดจะตอบโต้หรือตั้งรับ ภายนอกอาจดูว่าเขาเอาแต่ขลุกอยู่กับบรรดาคุณชายเจ้าสำราญในเมืองหลวง แต่ลับหลังแล้วเขาพยายามอยู่ไม่น้อย อยากได้ที่หนึ่งในการสอบคัดเลือกขุนนางเพื่อรักษาตำแหน่งซื่อจื่อให้มั่นคง แต่เขาไม่เคยคิดที่จะสละตำแหน่งนี้เลย
ไม่เพียงไป๋จิ่นจื้อเท่านั้นที่ตกใจในคำพูดของไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นถงเมื่อได้ยินก็ใจเต้นรัวเช่นกัน
หลู่หยวนเผิงที่ยืนอยู่กับเซียวหรงเหยี่ยนไม่ไกลนักจ้องไปยังใบหน้าเรียบนิ่งดุจสายน้ำของไป๋ชิงเหยียน เขาค่อยๆ หันไปหาเซียวหรงเหยี่ยน เอ่ยถามเสียงต่ำ “สหายเซียว ท่านได้ยินสิ่งที่คุณหนูใหญ่ไป๋กล่าวหรือไม่ เหตุใดเจี่ยงหมัวมัวจึงมีสีหน้าหวาดกลัวเช่นนั้น นางคงมิได้บอกให้ฉินหล่างหย่ากับคุณหนูรองของพวกนางหรอกกระมัง”
เซียวหรงเหยี่ยนยกยิ้มบางๆ ที่มุมปาก สะบัดกิ่งไม้ที่ถูกลมพัดมาตกลงบนเสื้อคลุมตัวหนา กิริยาสง่างามอย่างมาก “การบุกเข้ามาในจวนเจิ้นกั๋วกงถือว่าเสียมารยาทแล้ว หากแอบฟังเขาคุยกันอีกยิ่งมิใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรทำ”
เซียวหรงเหยี่ยนไม่นึกมาก่อนเลยว่าไป๋ชิงเหยียนมีความสามารถและจิตวิญญาณที่เก่งกล้าเช่นนี้
เขาลอบสังเกตบุคคลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงหลายต่อหลายคน แต่ไม่มีผู้ใดมีสายตาที่กว้างไกลได้เท่ากับสตรีอย่างไป๋ชิงเหยียนสักคน ฉินหล่างเติบโตมาในเมืองหลวงที่รุ่งเรือง แม้จะไม่พอใจจวนจงหย่งโหวสักเพียงใดแต่ก็ยากที่จะสละเรือลำนี้ทิ้ง เกรงว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋คงจะเสียแรงเปล่า…
“คุณหนูรองฟื้นแล้วเจ้าค่ะ! คุณหนูรองฟื้นแล้ว…”
เสียงใสราวระฆังของสาวใช้ดังมาจากเรือนหลัง ทั่วทั้งจวนเจิ้นกั๋วกงต่างพากันโล่งใจ เสียงกล่าว คุณหนูรองฟื้นแล้วดังขึ้นทั่วจวน
ดวงตาของไป๋ชิงเหยียนส่อแววยินดีอย่างปิดไม่มิด คิ้วที่ขมวดยุ่งคลายลงเพราะความดีใจ
ฉินหล่างรู้สึกตีบตันไปทั่วลำคอ ชะโงกหน้ามองไปยังเรือนด้านในของจวนเจิ้นกั๋วกง
“พี่หญิงใหญ่!” ไป๋จิ่นจื้อมองไปทางเรือนในแวบหนึ่ง เกาะแขนของไป๋ชิงเหยียนแน่นด้วยความดีใจ “พี่รองฟื้นแล้ว! พวกเรารีบไปดูพี่รองเถิดเจ้าค่ะ!”
สาวใช้ถือโคมไฟสาวเท้าเข้ามาอย่างเร่งรีบ ย่อกายทำความเคารพอยู่ทางด้านหลังไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ คุณหนูสาม คุณหนูสี่ คุณหนูรองฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า หันไปกล่าวกับฉินหล่าง “ทำให้มารดาเป็นทุกข์ถือว่าอกตัญญู ปกป้องภรรยาไม่ได้ถือว่าไร้คุณธรรม ซื่อจื่อทราบอยู่แล้วว่าหากไม่ล้มก็ไม่มีทางยืนขึ้นมาได้! หรือว่า…ซื่อจื่อจะยอมเป็นคนอกตัญญู ไร้คุณธรรมเพียงเพื่อรักษาตำแหน่งจอมปลอมนั่นไว้หรือเจ้าคะ หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็ขอให้ซื่อจื่อโชคดี”
ไป๋ชิงเหยียนย่อกายเล็กน้อย ทำความเคารพซื่อจื่อ ดวงตาเหลือบมองไปทางเซียวหรงเหยี่ยนแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเดินนำไป๋จิ่นจื้อและไป๋จิ่นถงไปยังเรือนหลัง
เจี่ยงหมัวมัวผายมือเชิญฉินหล่าง “คุณชายทั้งสองโปรดนั่งรอที่เรือนรับรองสักครู่นะเจ้าคะ ซื่อจื่อ…เชิญทางนี้เจ้าค่ะ!”
“เจี่ยงหมัวมัว…”
หลู่หยวนเผิงเอ่ยเรียก เตรียมจะเดินตามไปดูเรื่องสนุกที่เรือนในก็โดนเซียวหรงเหยี่ยนรั้งไว้เสียก่อน “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนจงหย่งโหว ท่านกับข้ามิควรเข้าไปยุ่ง”
เมื่อไป๋ชิงเหยียนและน้องสามน้องสี่มาถึงเรือนชิงจู๋ ไป๋จิ่นซิ่วนั่งเอนพิงอยู่ตรงหัวเตียงกำลังเอ่ยปลอบหลิวซื่อที่น้ำตาท่วมใบหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
พอเข้าไปในห้องไป๋จิ่นจื้อและไป๋จิ่นถงรีบถลาไปที่เตียง ซักถามสภาพร่างกายของไป๋จิ่นซิ่วด้วยความเป็นห่วง ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าไป๋จิ่นซิ่วไม่เป็นไร แต่ตราบใดที่ไป๋จิ่นซิ่วยังไม่ฟื้นก็เหมือนมีมีดปักอยู่ที่ใจของนาง บัดนี้ดึงมีดออกแล้ว…นางจะได้วางใจเสียที
เจี่ยงหมัวมัวแหวกม่านเดินเข้ามา ทำความเคารพองค์หญิงใหญ่พลางกล่าว “องค์หญิงใหญ่ ซื่อจื่อรอพบอยู่ที่ประตูชุ่ยฮวาเพคะ”
องค์หญิงใหญ่คลึงลูกประคำในมือ มองไปทางไป๋จิ่นซิ่ว “ยายหนูรอง หากเจ้าไม่อยากพบเขาก็ไม่ต้องพบ”
บัดนี้ไป๋จิ่นซิ่วมีเป้าหมายในใจแล้ว ดวงตาของนางแจ่มชัด ยกมุมปากที่ซีดเผือดขึ้นน้อยๆ “ท่านย่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของซื่อจื่อ ข้าไม่โทษเขา ข้าอยาก…พูดคุยกับเขาตามลำพังเจ้าค่ะ”
อย่างไรเสียฉินหล่างกับไป๋จิ่นซิ่วก็เป็นสามีภรรยากัน พูดคุยกันตามลำพังไม่ถือเป็นการผิดประเพณี องค์หญิงใหญ่พยักหน้า หันไปสั่งต่งซื่อ “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้แล้ว ลำบากมาทั้งวันให้พวกเด็กๆ กลับไปพักผ่อนเถิด เจี่ยงหมัวมัวเจ้าอยู่ที่นี่ ซื่อจื่อจะอยู่นี่หรือจะกลับไปเดี๋ยวเจ้าให้คนไปรายงานจวนจงหย่งโหวด้วย”
“เพคะ!” เจี่ยงหมัวมัวรับคำ
ไป๋จิ่วซิ่วเงยหน้ามองไปทางหน้าต่างเห็นไป๋ชิงเหยียนก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้าง อยากให้พี่หญิงใหญ่รู้สึกสบายใจ ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ ยิ้มตอบ แต่ขอบตาเริ่มแดงเรื่อ
สำหรับไป๋ชิงเหยียนแล้วขอแค่ไป๋จิ่นซิ่วปลอดภัย…เรื่องอื่นใดล้วนไม่สำคัญ
วันนี้แม้ไป๋จิ่นซิ่วยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่นางรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าจวนจงหย่งโหวทั้งหมด หากวันนี้พี่หญิงใหญ่ไม่อาละวาดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ไม่รู้ว่าวันหน้านางจะโดนแม่สามีทรมานรังแกเช่นใดอีก
บรรดาสตรีในเรือนหลังปลอบขวัญไป๋จิ่นซิ่วเสร็จก็ทยอยกันเดินออกมาจากเรือนชิงจู๋ เจี่ยงหมัวมัวถึงเชิญฉินหล่างเข้าไปในเรือนชิงจู๋
ไป๋จิ่นจื้อยืนอยู่หน้าประตูห้องของไป๋จิ่นซิ่ว จ้องไปที่ฉินหล่างที่กำลังเดินเข้ามาด้วยตาที่แดงก่ำ กำแส้ที่อยู่ด้านหลังแน่น เมื่อเห็นว่าเจี่ยงหมัวมัวส่ายหน้าให้นาง หญิงสาวจึงกัดฟันคลายแส้ในมือลง ขณะเดินผ่านฉินหล่างก็ยังมิวายกระแทกไหล่ชายหนุ่มอย่างแรงด้วยความโมโห
ฉินหล่างเข้ามาในห้องก็เห็นไป๋จิ่นซิ่วใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจอ่อนระทวย นั่งเอนพิงหัวเตียงอยู่ ชายหนุ่มละอายใจยิ่งนัก ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยอยากเอ่ยถามว่าไป๋จิ่นซิ่วดีขึ้นแล้วหรือไม่ แต่พอนึกถึงตอนที่ไป๋จิ่นซิ่วบาดเจ็บแต่เขากลับโดนเจี่ยงซื่อห้ามไม่ให้ไปดูอาการนาง ก็รู้สึกว่าตนเองขี้ขลาดมาก ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมาดี
จนในห้องมีเสียงปะทุของกองไฟในเตาผิงดังขึ้นเล็กน้อย ฉินหล่างจึงรีบโค้งกายลงสุด อึกอักไม่กล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
“เสื้อของซื่อจื่อบางมาก รบกวนเจี่ยงหมัวมัวไปหยิบเสื้อคลุมมาให้เขาสักตัวเถิด” น้ำเสียงนุ่มนวลของไป๋จิ่นซิ่วเอ่ยขึ้นเบาๆ
เจี่ยงหมัวมัวรีบให้บ่าวถอดเสื้อคลุมของฉินหล่างออก คลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวหนาแทน รินชาร้อนให้ ย้ายเตาผิงมาวางไว้ข้างๆ ฉินหล่าง จากนั้นจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไปให้หมด ส่วนตัวเองเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง
ไม่นานนัก ฉินหล่างที่คุยกับไป๋จิ่นซิ่วเสร็จแล้วเดินอย่างเหม่อลอยออกมาจากห้อง โค้งกายให้เจี่ยงหมัวมัวเล็กน้อย “ฉินหล่างขอตัวก่อน วันหลังจะมาคาราวะองค์หญิงใหญ่กับท่านแม่ยายขอรับ!” กล่าวจบก็เดินออกจากเรือนชิงจู๋ไปอย่างรีบร้อนโดยไม่รอสาวใช้ถือโคมไฟให้