ตอนที่ 67 ชื่อเสียงนับร้อยปี
ถ้อยคำพวกนี้กลั่นออกมาจากใจของไป๋ชิงเหยียน หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ นางไม่มีทางกบฏ สิ่งที่ตระกูลไป๋จงรักภักดี…ไม่ใช่ราชวงศ์ แต่เป็นชาวบ้านแห่งแคว้นต้าจิ้น
ดวงตาคมกริบขององค์หญิงใหญ่จ้องนิ่งไปยังไป๋ชิงเหยียน ยังคงคลางแคลงใจ กลัวว่าหลานสาวที่นางรักมากที่สุดจะโกหกนาง
ไป๋ชิงเหยียนกุมมือขององค์หญิงใหญ่แน่น เอ่ยขึ้นช้าๆ “ตอนข้าอายุห้าขวบ เคยได้ยินท่านปู่และท่านพ่อกล่าวถึงนักปราชญ์ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงและผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเซิงเรื่องที่พวกท่านถกเถียงกันว่าปฐมจักรพรรดิเป็นจักรพรรดิที่ดีหรือโหดร้าย ข้าเลยกล่าวว่าหากปฐมจักรพรรดิทรงทำให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี พระองค์ก็ทรงเป็นจักรพรรดิที่ดี น่าเลื่อมใส”
“ตอนข้าอายุแปดขวบ ท่านปู่พยายามรื้อคดีเก่าของเจี่ยนฉงเหวิน ขุนนางผู้ตรวจการสูงสุดขึ้นมาอีกครั้ง ถงกุ้ยเฟยและตระกูลฝั่งมารดาของนางติดคุกโทษฐานใส่ร้ายขุนนางผู้บริสุทธิ์ ผู้ตรวจการเจี่ยงฉงเหวินได้รับการล้างมลทิน แต่เขาโดนโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรไปแล้ว แม้กระทั่งหลานชายคนเล็กของเจี่ยงฉงเหวินซึ่งอายุเพียงแค่สี่ขวบก็ตามขึ้นแท่นประหารไปด้วย เด็กน้อยซึ่งยังไม่ประสีประสาคิดว่ากำลังเล่นสนุกกับคนในครอบครัว ก่อนโดนตัดศีรษะยังกล่าวอ้อนมารดาว่าเมื่อกลับถึงบ้านเขาจะกินลูกอม”
น้ำเสียงของหญิงสาวสะอื้น “วันที่ผู้ตรวจการเจี่ยงฉงเหวินได้รับการล้างมลทิน ท่านปู่ถามข้าอีกครั้งว่า อาเป่าคิดว่าจักรพรรดิที่ดีเป็นเช่นไร! ข้าตอบไปว่า ปกครองแคว้นด้วยทศพิธราชธรรม ไม่ทำผิดต่อราษฎรคือจักรพรรดิที่ดี!”
“ตอนอายุสิบสามปี ข้าติดตามท่านปู่ไปออกรบกลับมา ท่านปู่ถามข้าอีกครั้งว่าจักรพรรดิที่ดีเป็นเช่นไร ข้าเห็นซากศพมากมาย เห็นเลือดละลานไปทั่ว เห็นชาวบ้านล้มตายแทบไม่มีเหลือ สามีภรรยาต้องพลัดพราก! รู้ว่าการที่แผ่นดินสงบสุขร่มเย็นนั้นมีค่ายิ่งและหาได้ยากยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ข้าตอบท่านปู่ว่า…จักรพรรดิที่ทำให้ทั่วหล้าสงบสุขได้คือจักรพรรดิที่ดี!”
“บัดนี้ ชาวบ้านทั่วแคว้นต้าจิ้นกินดีอยู่ดี แต่ชาวบ้านที่หนานเจียงกลับยังต้องทุกข์ทรมานจากสงคราม ภายในแคว้นต้าจิ้นยังไม่สงบสุข หากข้าคิดกบฏเพราะความแค้นส่วนตัว…จะเผชิญหน้ากับชาวบ้านเหล่านั้นได้อย่างไร จะเผชิญหน้ากับความจงรักภักดีของตระกูลไป๋ที่มีมาทุกรุ่นได้อย่างไร จะเผชิญหน้ากับคำสอนของตระกูลไป๋ได้อย่างไร สิ่งที่ข้าต้องการมิใช่การกบฏแต่ข้าต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลไป๋! ต้องการ…ให้พวกขุนนางชั่วช้าที่ใส่ร้ายตระกูลไป๋ที่กล้าหาญและจงรักภักดีว่า ดึงดันออกรบ ต้องการให้ฮ่องเต้ที่เอาแต่หวาดระแวงในตระกูลไป๋จดจำความดีของตระกูลไป๋เอาไว้ ละเว้นทางรอดให้แก่สตรีที่เหลืออยู่ของตระกูลไป๋ ไม่ได้ต้องการเข่นฆ่าผู้ใด ข้าทำผิดหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวอดทนกับความเศร้าโศกปวดร้าวในใจต่อไปไม่ไหว น้ำเสียงสูงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อกล่าวจบน้ำตาไหลอาบทั่วใบหน้า องค์หญิงใหญ่ปวดใจจนแทบสลาย ดึงหลานสาวคนโตเข้ามากอดไว้แน่น กล่าวสิ่งใดไม่ออก ได้แต่เปล่งเสียงร้องไห้ออกมา
ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากโกหกท่านย่า แต่ก็ไม่ได้กล่าวความจริงออกมาทั้งหมด
ใช่ ตอนนี้นางไม่คิดจะกบฏ แต่นางกำลังปูทางเพื่อสิ่งนี้อยู่!
ไป๋ชิงเหยียนจะไม่กบฏก็ได้ แต่ตระกูลไป๋ต้องมีกองกำลังที่มากพอจะสั่นคลอนอำนาจของราชวงศ์นี้
ความสงบสุขของทั่วหล้าที่ท่านปู่ต้องการ นางต้องทำให้ได้!
อำนาจบารมีบนจุดสูงสุดที่ท่านปู่ไม่กล้าอาจเอื้อม นางก็จะเอามาให้ได้!
ตระกูลไป๋ของนางยินดีเป็นขุนนางที่จงรักภักดี คอยสนับสนุนราชวงศ์หลิน แต่นางก็ต้องการให้ราชวงศ์หลินรับรู้เช่นกันว่าตระกูลไป๋ที่ได้ใจราษฎร ตระกูลไป๋ที่ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรมสามารถแทนที่ราชวงศ์หลินได้!
ฮ่องเต้ทรงหวาดกลัวว่าตระกูลไป๋จะมีบารมีมากเกินไปจนเข้าควบคุมอำนาจราชสำนักมิใช่หรือ นางจะทำให้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรเอง! จะทำให้พระองค์ทรงเจอกับที่ทรงหวาดกลัวมาโดยตลอด!
นางจะเปลี่ยนแปลงราชบัลลังก์ให้กลายเป็นบัลลังก์ที่ตระกูลไป๋เป็นผู้กำหนด ราษฎรทั่วทั้งแผ่นดินเป็นผู้กำหนด
“อาเป่าไม่ผิด! ย่าผิดเอง! ย่าไม่ควรสงสัยในตัวเจ้า! ย่าผิดเอง…”
ด้านนอก เจี่ยงหมัวมัวได้ยินถ้อยคำเปิดใจของสองย่าหลานที่ต่างร้องไห้ขอโทษพลางกอดกันแน่น นางทั้งเสียใจและดีใจในเวลาเดียวกัน ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาบริเวณหางตา ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี
องค์หญิงใหญ่อายุมากแล้ว ผ่านการร้องไห้อย่างหนักบวกกับความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ ร่างกายจึงเหนื่อยจนฝืนต่อไปไม่ไหว ไป๋ชิงเหยียนและเจี่ยงหมัวมัวช่วยปรนนิบัติให้ท่านพักผ่อน
ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากเรือนฉางโซ่ว พ่อบ้านเหาในชุดไว้อาลัยสีขาวรีบเดินเข้าไปหาพลางกล่าว “คุณหนูใหญ่ จู่ๆ ก็มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นพ่อแม่ของทหารแห่งกองทัพไป๋มาร้องไห้ก่นด่าอยู่ที่หน้าประตูจวนขอรับ หาว่าท่านกั๋วกงดึงดันออกรบจนทหารนับหมื่นของกองทัพไป๋ต้องสังเวยชีวิตไปด้วย ทำให้ลูกชายของพวกเขาต้องตาย ต้องการให้ตระกูลไป๋คืนความยุติธรรมให้พวกเขาขอรับ!”
ฝีเท้าของไป๋ชิงเหยียนชะงัก แม้ว่าเมื่อคืนจะมีชาวบ้านมากมายมารอฟังข่าวจากหนานเจียงพร้อมกับตระกูลไป๋ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง ทว่า หากไม่มีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง ญาติของทหารเหล่านี้จะแน่ใจได้อย่างไรว่าบุตรชายของตนเสียชีวิตลงที่หนานเจียงแล้ว เหตุใดวันนี้จะกล้ารวมตัวกันมาอาละวาดที่จวนเจิ้นกั๋วกงทั้งๆ ที่ข่าวเพิ่งส่งมาถึงเมื่อคืน
“บ่าวไม่กล้าตัดสินใจว่าควรจัดการเช่นไรกับพ่อแม่ของทหารเหล่านั้นขอรับ ฮูหยินซื่อจื่อเพิ่งได้พักผ่อน ฉินหมัวมัวไม่อยากรบกวน บ่าวจึงต้องมาขอความเห็นจากคุณหนูใหญ่ขอรับ” พ่อบ้านเหาขมวดคิ้วแน่น
ไป๋ชิงเหยียนคิดมาตลอดว่าคำคนนั้นน่ากลัว แต่หากใช้อย่างถูกต้องมันก็จะกลายเป็นที่พึ่งที่สำคัญของนาง กลายเป็นดาบที่นางสามารถใช้ได้
ทว่า บัดนี้มีคนจงใจใช้ชาวบ้านมาทำร้ายตระกูลไป๋ของนาง ช่างดีจริงๆ !
แต่น่าเสียดายเพราะนางมีบันทึกสถานการณ์กองทัพอยู่ในกำมือแล้ว
ดวงตาของหญิงสาวขรึมลงเล็กน้อย ในสมองเหมือนมีสิ่งใดแล่นปลาบขึ้นมา ทำให้นางกระจ่างแจ้งในทันที…
ตอนที่อู๋เจ๋อยื้อลมหายใจเฮือกสุดท้ายนำม้วนไม้ไผ่กลับมาได้กล่าวไว้ว่า มีคนไล่ตามฆ่าฟางเหยียน แม่ทัพแห่งค่ายเหมิงหู่ซึ่งมีหน้าที่คุ้มครองส่งม้วนไม้ไผ่กลับมา โชคดีที่พวกเสิ่นชิงจู๋ช่วยฟางเหยียนไว้และได้ม้วนไม้ไผ่มาครอบครอง
พวกสุนัขรับใช้ของซิ่นอ๋องแย่งชิงบันทึกสถานการณ์กองทัพทั้งห้าท่อนไปไม่ได้คงรู้สึกหวาดกลัว จึงคิดอุบายนี้ขึ้นมาเพื่อหยั่งเชิงตระกูลไป๋ อาจถึงขั้นบีบให้ตระกูลไป๋แสดงบันทึกสถานการณ์กองทัพออกมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
เกรงว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังต้องมีวิธีรับมือแล้วแน่ๆ ขอแค่ตระกูลไป๋กล้ายอมรับว่าบันทึกกองทัพอยู่ในมือ วันนี้เขาต้องบีบให้ตระกูลไป๋มอบบันทึกนั้นออกมา ไม่ยอมให้บันทึกนี้ปรากฏต่อหน้าสาธารณะชนอย่างแน่นอน
หญิงสาวหลับตาลง หากนางเป็นที่ปรึกษาของซิ่นอ๋อง นางจะทำเช่นไร
นางจะเกณฑ์คนไปอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง จงใจทำให้ชื่อเสียงที่มีมานับร้อยปีของตระกูลไป๋ต้องแปดเปื้อนเพื่อหยั่งเชิงดูว่าบันทึกกองทัพอยู่ในมือของตระกูลไป๋หรือไม่
หากโหดเหี้ยมกว่านั้นอีกสักหน่อย นางจะลอบสังหารผู้ที่มาก่อเรื่องหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงสักสองสามคน จากนั้นกระจายข่าวออกไปว่าจวนเจิ้นกั๋วกงฆ่าญาติของทหารในกองทัพของตัวเองอย่างโหดเหี้ยม แพร่ข่าวว่าจวนเจิ้นกั๋วรับแต่คำเชยชมห้ามวิจารณ์เรื่องของจวนเจิ้นกั๋วกงเด็ดขาด ทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพื่อป้องกันในกรณีที่ตระกูลไป๋ได้บันทึกกองทัพไปครอบครอง ซิ่นอ๋องกลับเมืองหลวงมาจะได้ไม่โดนชาวบ้านโกรธแค้น ด่าทอ
พ่อบ้านเหาเห็นว่าหญิงสาวหลับตาไปนาน ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาเสียที ราวกับวิญญาณไม่อยู่ในร่าง จึงส่งเสียงเรียกเบาๆ “คุณหนูใหญ่…”
“สั่งคนจับตาดูชาวบ้านที่ห้อมล้อมอยู่เอาไว้ให้ดี หากมีผู้ใดน่าสงสัยให้จับมาสอบถามทันที!”
พ่อบ้านเข้าใจในทันทีว่าคุณหนูใหญ่ต้องการจะสื่อว่ามีคนจงใจส่งญาติของทหารกล้าเหล่านี้มาก่อความวุ่นวาย มีจุดประสงค์ไม่ดีต่อจวนเจิ้นกั๋วกง
พ่อบ้านเหามีสีหน้าเตรียมพร้อมขึ้นมาทันที “คุณหนูใหญ่วางใจได้ขอรับ!”
“ไปเถิด ออกไปดูสักหน่อย”
“คุณหนูใหญ่โปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปตามองครักษ์หลูผิงมาด้วยเพื่อความปลอดภัยขอรับ!” พ่อบ้านเหากล่าวอย่างรอบคอบ
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเดินไปถึงหน้าประตูจวนพร้อมกับพ่อบ้านเหาและองครักษ์หลูผิง ก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของคุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อดังมาจากนอกประตูจวน
“ขนาดฮ่องเต้องค์ก่อนยังตรัสว่าตระกูลไป๋ของข้าไม่เคยมีคนไร้ความสามารถ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ! ปกติยามท่านปู่ของข้าออกรบสิ่งที่ท่านกังวลมากที่สุดก็คือความใจร้อนวู่วามหวังแต่จะได้ความดีความชอบ! การดึงดันออกรบอะไรนั่นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ! พวกไม่รู้ความคนใดกล่าววาจาชุ่ยๆ ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงของข้าอีก ข้าจะหวดแส้ส่งพวกเจ้าไปให้ไกลเลย!”