ตอนที่ 70 พ่ายแพ้ยับเยิน
แม้จะไม่รู้ว่ากระดาษแผ่นนั้นมาจากคุณหนูใหญ่ไป๋ และนางรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาแล้วหรือไม่
แต่ในเมื่อบัดนี้ผู้ที่ส่งสารไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอันใดอีก ไม่มีวี่แววว่าจะมาทวงบุญคุณ และไม่ได้เปิดเผยฐานะของเขา ชายหนุ่มจึงตัดสินใจตั้งรับอยู่นิ่งๆ ไปก่อน
ทว่าเขาคาดเดาว่าคุณหนูใหญ่ไป๋ที่ฉลาดหลักแหลม ฝีมือเก่งกาจผู้นี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระดาษแผ่นนี้อย่างแน่นอน
“พี่สาวไป๋!” หลู่หยวนเผิงควบม้าเข้าไปใกล้กลุ่มคน กระตุกม้าให้หยุดจากนั้นกระโดดลงจากหลังม้า จูงเชือกม้าพลางเดินฝ่ากลุ่มคนไปที่บันไดอย่างรีบร้อน ชายหนุ่มโค้งกายทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อม จากนั้นหันไปเอ่ยกับคนที่มาอาละวาดซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง
“เช้าวันนี้ข้ากับสหายเซียวได้ข่าวมาว่ามีคนซื้อตัวญาติของทหารกลุ่มหนึ่งจ้างให้มาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง คงเป็นคนพวกนี้แน่…”
เมื่อได้ยินคำว่าสหายเซียว ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นทันที
เซียวหรงเหยี่ยนสวมเสื้อคลุมขนหนูสีเทาตัวหนาเดินจูงมาใกล้เข้ามาท่ามกลางการอารักขาของบรรดาองครักษ์นับสิบ ท่าทียังคงสุขุมสง่างามเช่นเคย
ชาวบ้านที่ห้อมล้อมอยู่ได้ยินเสียงตะโกนขององครักษ์จึงหันกลับไปมอง
เห็นองครักษ์ร่างสูงใหญ่สีหน้าเย็นชามีดาบเสียบไว้ที่บริเวณเอว เดินลากชายสองคนซึ่งร่างโชกไปด้วยเลือดไปทางจวนเจิ้นกั๋วกงชาวบ้านต่างแหวกทางให้เขา
“พี่สาวไป๋! เช้าวันนี้ข้าได้ยินเรื่องของบุรุษทั้งสิบเจ็ดแห่งตระกูลไป๋ ข้าเสียใจเป็นที่สุด ข้าพบกับสหายเซียวระหว่างทางที่มาจวนเจิ้นกั๋วกง ได้ยินพ่อบ้านจวนเซียวกำลังรายงานกับสหายเซียวว่าตอนที่เขานำเงินไปแจกจ่ายให้ครอบครัวยากจนแทนสหายเซียว นึกไม่ถึงว่าขณะเดินผ่านวัดร้างแถบชานเมืองจะได้ยินคนว่าจ้างญาติของทหารให้ไปก่อความวุ่นวายที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง สั่งให้คนพวกนี้กล่าวว่าท่านกั๋วกงดึงดันออกรบเพราะอยากมีชื่อจารึกในบันทึก อยากสร้างผลงานจนไม่สนชีวิตของทหาร! กล่าวจบเขาก็ให้เงินพวกนี้คนละห้าสิบตำลึง”
“วิธีโหดเหี้ยมอันใดเช่นนี้! นี่มันต้องการบีบให้สตรีที่เหลืออยู่ของจวนเจิ้นกั๋วกงไปตายชัดๆ!” ไป๋จิ่นถงกำมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่น
ญาติของทหารที่มาอาละวาดอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงสั่นเทาไปทั้งร่าง หลู่หยวนเผิงรู้ชัดเจนแม้กระทั่งสถานที่นัดพบ เรื่องนี้น่าจะถูกเปิดโปงแล้วมีคนอยากจะหนีแต่ถูกชาวบ้าน และองครักษ์ดักไว้เสียก่อน นางจึงคุกเข่าลง โขกศีรษะลงบนพื้นอย่างอ้อนวอนพลางสารภาพทุกอย่างออกมาจนหมด
“คุณหนูใหญ่โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิดเจ้าค่ะ! สองคนนั้นให้เงินพวกข้าคนละยี่สิบตำลึง จ้างให้ข้ามาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง”
“คุณหนูใหญ่! ข้าไม่เอาเงินแล้วเจ้าค่ะ! ข้าให้ท่าน ให้ท่านหมดเลยเจ้าค่ะ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว คุณหนูไว้ชีวิตข้าเถิดเจ้าค่ะ!”
“พี่สาวไป๋ ท่านลองเดาสิว่าเรื่องมันเป็นเช่นใด” หลู่หยวนเผิงสะบัดชายชุดเสื้อคลุม ชี้แส้ม้าในมือไปยังร่างของชายที่มีเลือดท่วมตัวบนพื้น
“ชายสองคนนี้รอให้กลุ่มคนโง่พวกนี้กลับไปที่วัดร้าง เตรียมจะฆ่าปิดปากคนโง่เห็นแก่เงินพวกนี้ จากนั้นโยนความผิดให้จวนเจิ้นกั๋วกง หวังทำให้ชื่อเสียงจวนเจิ้นกั๋วกงแปดเปื้อน!”
ญาติของทหารที่มาอาละวาดได้ยินก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด หวาดกลัวเป็นที่สุด ต่างพากันคลานไปด้านหน้า โขกศีรษะลงบนพื้นอ้อนวอนขอชีวิต
“คุณหนูใหญ่ไป๋! พวกข้าสติเลอะเลือนจึงรับเงินจากพวกมันแล้ว มาอาละวาดที่จวนเจิ้นกั๋วกงเช่นนี้ แต่ว่า…ข้ามีลูกชายแค่คนเดียว หากลูกข้าตายไปแล้วจริงๆ ข้าก็อยากได้เงินมาไว้ใช้ยามแก่เฒ่าเจ้าค่ะ”
“ใช่ พวกข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ หากลูกชายของพวกข้าตายไปแล้วจริงๆ คนแก่อย่างพวกข้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเช่นใดกัน”
ไป๋ชิงเหยียนยืนตัวตรงอยู่บนบันได มองดูกลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ด่าทอว่าท่านปู่ของนางทำให้บุตรชายของพวกเขาต้องตาย บัดนี้กำลังคุกเข่าอ้อนวอนทั้งน้ำตา หญิงสาวไม่รู้สึกอันใด มองไปยังชายสองคนที่โดนองครักษ์กุมตัวไว้อย่างแน่นหนาแล้วเอ่ยถามขึ้น “ผู้ใดสั่งให้พวกเจ้าทำ”
ชายสองคนถูกกดจนขยับเขยื้อนไม่ได้ หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น “รับเงินทำงานแทนผู้อื่น ชาวยุทธภพก็มีความภักดี และกฎของชาวยุทธภพเอง พวกข้าสมควรตายในเมื่อเก่งสู้เขามิได้ เมื่อโดนจับได้เช่นนี้พวกข้าก็ยอมรับ คุณหนูใหญ่ไป๋จะฆ่าจะแกงอย่างใดก็เชิญตามสบาย”
“ช่วยคนชั่วช้าใส่ร้ายป้ายสีทหารกล้าผู้เสียสละเพื่อบ้านเมือง จงใจทำร้ายสตรีที่เหลืออยู่ของจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างไร้ความปราณีเช่นนี้ พวกเจ้าคู่ควรเอ่ยคำว่าภักดีอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนแหบพร่า เหมือนไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไปแล้ว ใจหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็งนางหลับตาลงพลางกล่าวขึ้น
“ร่างของบุรุษตระกูลไป๋ยังไม่ทันฝัง ก็มีคนอยากให้ตระกูลไป๋พินาศทั้งตระกูลแล้ว! ช่างเถิด ตระกูลไป๋จงรักภักดีเป็นที่รับรู้กันทั่วหล้า ท่านปู่เสียชีวิตแล้ว บุรุษตระกูลไป๋ไม่หลงเหลือสักคน ตระกูลไป๋ของข้ามิได้ทำผิดต่อคำว่าเจิ้นกั๋ว!”
น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนเยือกเย็นไม่ยินดียินร้าย ทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนล้า ช่างแตกต่างจากหญิงสาวที่มีแต่ด้วยความโกรธ เผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่มาก่อความวุ่นวายหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างเข้มแข็งเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน แต่กลับยิ่งรู้สึกน่าสลดอย่างที่สุด ราวกับว่าจิตใจของนางตายด้านกับความเสียใจนั้นไปแล้ว
หญิงสาวย่อกายคาราวะหลู่หยวนเผิง “จวนไป๋กำลังวุ่นวาย ผู้ดูแล บ่าวรับใช้ล้วนปลีกตัวมิได้เลย รบกวนคุณชายหลู่ช่วยนำตัวชายสองคนนี้ไปส่งที่จวนว่าการจิงเจ้าอิ่นได้หรือไม่เจ้าคะ ตระกูลไป๋เชื่อว่าจิงเจ้าอิ่นจะคืนความยุติธรรมให้ตระกูลไป๋ได้”
หลู่หยวนเผิงยังไม่ได้สติ รับคำอย่างเลื่อนลอย “ได้อยู่แล้วขอรับ!”
สายตาของไป๋ชิงเหยียนเหลือบมองไปทางเซียวหรงเหยี่ยนซึ่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่นอกกลุ่มคน ด้านหลังของชายหนุ่มมีองครักษ์ติดตามอยู่สิบกว่าคน ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมปักลายเมฆสีขาว คาดเข็มขัดซึ่งขอบเป็นหยกสีทอง ช่างดูสง่างามยิ่งนัก
ใบหน้าของชายหนุ่มสง่างามคมคายและตราตรึงใจเป็นอย่างมาก แต่กลับมีรัศมีของความเป็นบัณฑิตแผ่ออกมา มุมปากมักจะอมยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ดวงตาล้ำลึกและยากจะค้นหา สุขุม อ่อนโยน สง่างาม บุรุษตระกูลสูงศักดิ์น้อยคนนักที่จะเป็นเช่นนี้
หญิงสาวไม่โง่ นางรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าเซียวหรงเหยี่ยนยืมมือของหลู่หยวนเผิงส่งชายสองคนนี้มาที่จวนเจิ้นกั๋วกง
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้เซียวหรงเหยี่ยนเป็นการขอบคุณ น้ำใจครั้งนี้…ไป๋ชิงเหยียนขอรับไว้
“คุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อฟาดแส้ใส่ชาวบ้าน ลุงผิงยึดแส้ของคุณหนูสี่ กุมตัวนางเข้าจวนเตรียมรับโทษตามกฎของตระกูล”
กล่าวจบหญิงสาวหมุนกายช่วยพยุงร่างไป๋จิ่นซิ่วซึ่งใบหน้าเปื้อนเลือด ยิ้มให้ไป๋จิ่นซิ่วน้อยๆ
“พี่หญิงใหญ่…” ไป๋จิ่นซิ่วสะอื้น น้ำตาไหลพราก
“มิต้องร้องไห้ ไปเถิด!” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนราวกับโล่งใจ นางประคองน้องสาวเอาไว้ในอ้อมแขน เดินกลับเข้าไปในจวน
ไป๋จิ่นถงทำความเคารพหลู่หยวนเผิง กุมตัวไป๋จิ่นจื้อซึ่งยังคงโมโหเข้าไปในจวนด้วยตัวเอง
หลู่หยวนเผิงมองตามแผ่นหลังที่ดูเศร้าสลดของไป๋ชิงเหยียน กำแส้ในมือแน่น เขาไม่คิดเลยว่าการที่เขานำตัวชายสองคนนี้มาที่จวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อขอความดีความชอบจะทำให้หญิงสาวที่แข็งแกร่ง องอาจผู้นั้นรู้สึกสิ้นหวังเช่นนี้ ชายหนุ่มสะเทือนใจกับคำว่า ‘เตี้ยน’ ที่แปะอยู่หน้าประตูจวนจู่ๆ ในใจก็รู้สึกเศร้าสร้อย และบันดาลโทสะขึ้น
ก่อนหน้านี้ที่หน้าหอหม่านเจียง สตรีที่ดูบอบบางผู้นั้นเต็มไปด้วยความทระนง ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจงรักภักดีซึ่งกลั่นออกมาจากใจ ความรักที่มีต่อชาวบ้าน ล้วนตราตรึงใจของทุกคน ท่าทีเด็ดขาดที่จัดการกับลูกอนุผู้นั้นช่างมีเสน่ห์มาก
ร่างผอมเพรียวที่ยืดกายตรงอยู่ที่วังหลวงในคืนนั้น หญิงสาวรักความยุติธรรม และตรงไปตรงมา มีแต่ความจงรักภักดี ราวกับว่าไม่ว่าจะโจมตีนางเช่นใดก็มิอาจสั่นคลอนความทระนงในตัวของนางได้ แต่บัดนี้นางพ่ายแพ้ยับเยินเพราะชาวบ้านที่คนทุกรุ่นของตระกูลไป๋สละชีวิตเพื่อปกป้องไว้!