ตอนที่ 75 แรงสนับสนุน
นั่นสินะ ชาตินี้ บ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของตระกูลไป๋ยังอยู่ครบ
พวกเขายังไม่ได้พาพวกนางพี่น้องหลบหนีแยกกันไปคนละทิศคนละทาง
ขอบตาของไป๋ชิงเหยียนร้อนผ่าว ชาติที่แล้วมารดาของนางทราบข่าวว่าหลิวฮ่วนจางจะกลับมาเมืองหลวงเพื่อฟ้องว่าท่านปู่ทรยศแผ่นดิน เซียวรั่วเจียงและเซียวรั่วไห่ลูกของแม่นมซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายที่ดื่มนมร่วมเต้าเดียวกันกับไป๋ชิงเหยียนพาไป๋จิ่นจื้อหนีจากแคว้นต้าจิ้นไปยังต้าเว่ย
ไป๋จิ่นจื้อแปรพักตร์กลายเป็นคนของแคว้นต้าเว่ย กลายเป็นแม่ทัพที่อาจหาญที่สุดของแคว้นต้าเว่ย เซียวรั่วเจียงและเซียวรั่วไห่กลายเป็นที่ปรึกษาและแม่ทัพที่เก่งกาจคู่กายของไป๋จิ่นจื้อ
“ยามนี้ข้าไม่สะดวกพบพี่ชายทั้งสอง รบกวนถงหมัวมัวจัดหาที่พักให้พวกเขาด้วย พวกท่านรีบร้อนเดินทางกันมาทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก ไปพักผ่อนก่อนเถิด! เรื่องอื่นค่อยคุยกันพรุ่งนี้” ไป๋ชิงเหยียนเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยของถงหมัวมัวก็รู้ได้ทันทีว่าถงหมัวมัวคงไม่ได้หยุดพักตลอดการเดินทาง
ถงหมัวมัวพยักหน้า นางไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะรีบเดินทางกลับมา เมื่อถึงจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนสบายดีนางจึงคลายกังวล ความง่วงเริ่มแทรกซึม อายุมากแล้วสภาพร่างกายของนางจึงฝืนไม่ค่อยไหว
เมื่อเดินออกมาจากห้อง ถงหมัวมัวมองเห็นอิ๋นซวงซึ่งไม่คุ้นหน้านั่งกินลูกอมถั่วอยู่ที่ระเบียงทางเดิน นางขมวดคิ้วแน่นรู้สึกว่ามันไม่เรียบร้อย หันไปถามชุนเถา “เรือนของเรามีคนมาเพิ่มหรือ”
ชุนเถามองดูอิ๋นซวง สีหน้าส่อแววเอ็นดูไม่น้อย รีบเอ่ยบอก “ลืมบอกถงหมัวมัวเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่สั่งให้อิ๋นซวงมาอยู่ที่เรือนชิงฮุยเจ้าค่ะ สมองของเด็กคนนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่พละกำลังแข็งแรงดีมากเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ติดตามรับใช้แม่นางเสิ่นชิงจู๋ คุณหนูใหญ่กล่าวว่าขอแค่นางไม่ทำผิดก็ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดกับเด็กนี่มากนักเจ้าค่ะ”
ถงหมัวมัวพยักหน้าแต่ในใจรู้สึกไม่เห็นด้วย ไร้กฎเกณฑ์ไร้การควบคุม แม้คุณหนูใหญ่จะให้ท้ายแต่ก็ไม่ควรมานั่งทานอาหารกลางลานเช่นนี้ หากผู้อื่นเห็นเข้าจะหาว่าเรือนชิงฮุยไร้กฎระเบียบ
แม้ถงหมัวมัวจะไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่ในใจเตรียมคิดว่าต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคุณหนูใหญ่ เมื่อได้รับอนุญาตจากคุณหนูใหญ่ นางค่อยสอนกฎเกณฑ์และมารยาทให้แก่เด็กนี่ ในสายตาของถงหมัวมัว แม้อิ๋นซวงสมองไม่ดีไม่เป็นไร เรียนรู้กฎระเบียบช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ควรตามใจนางเพราะความสงสารเห็นใจ เช่นนั้นเท่ากับเป็นการทำร้ายนาง
“เจ้าไปรับใช้คุณหนูใหญ่เถิด!” ถงหมัวมัวเอ่ยกับชุนเถา
ชุนเถาพยักหน้า เมื่อเข้าไปในห้องเห็นไป๋ชิงเหยียนหยิบเสื้อคลุมออกมา จึงรีบเข้าไปช่วยหญิงสาวใส่ “คุณหนูใหญ่จะไปที่ใดเจ้าคะ”
“ไปที่เรือนท่านย่าสักหน่อย”
ไป๋ชิงเหยียนก้าวเข้าไปในเรือนฉางโซ่ว เห็นองค์หญิงใหญ่และเจี่ยงหมัวมัวยืนนิ่งอยู่ใต้โคมไฟ หญิงสาวยื่นเตาอุ่นมือส่งให้ชุนเถาจากนั้นเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป “เหตุใดท่านย่าจึงมายืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
ดวงตาขององค์หญิงใหญ่แดงก่ำราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา เมื่อเห็นไป๋ชิงเยียนเดินมาจึงยกยิ้มที่มุมปาก เอื้อมมือดึงไป๋ชิงเหยียนเข้ามากอด ชี้ไปที่ต้นสนกลางลานหญ้าแล้วเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “ท่านปู่ของเจ้าเป็นคนปลูกต้นสนต้นนั้นด้วยตัวเอง! ปีนั้นย่ากับปู่ของเจ้าย้ายมาที่เรือนฉางโซ่ว…”
องค์หญิงใหญ่กล่าวถึงตรงนี้ก็ก้มหน้ามองดูหลานสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของตน ยิ้มทั้งน้ำตา “ตอนนั้นเรือนนี้เรียกว่าเรือนหรงโซ่ว แต่ท่านปู่ของเจ้ากล่าวว่า เขามิได้หวังหรงโซ่ว เขาหวังแค่ว่าเขาและภรรยาจะมีอายุยืนดังต้นสนก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเรือนนี้เป็นฉางโซ่ว”
เจี่ยงหมัวมัวซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เบนหนีหน้าอย่างกลั้นไม่อยู่ ใช้มือป้องปากน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
องค์หญิงใหญ่สูดจมูกเล็กน้อย รู้สึกเจ็บปวดขมขื่นราวกับกำลังเคี้ยวผลไม้ที่มีรสฝาด
“ท่านย่า กลับไปในห้องเถิดเจ้าค่ะ ด้านนอกลมแรง” หญิงสาวก้มหน้าซ่อนดวงตาที่เปียกชื้นของตัวเอง ประคององค์หญิงใหญ่เข้าไปในห้อง เตรียมผ้าชุบน้ำอุ่นให้องค์หญิงใหญ่ซับหน้า องค์หญิงใหญ่จึงค่อยๆ สงบลง
“ฝ่าหิมะมากลางดึกเช่นนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ” องค์หญิงใหญ่ส่งผ้าชุบน้ำอุ่นให้เจี่ยงหมัวมัว ฉุดมือไป๋ชิงเหยียนให้นั่งลงข้างกายของนาง สั่งให้เจี่ยงหมัวมัวยกซุปไก่ร้อนๆ มาให้ไป๋ชิงเหยียน
“เรื่องลูกอนุของท่านอารองเจ้าค่ะ บัดนี้บ่าวในจวนต่างลือกันว่าไป๋ชิงเสวียนจะสืบต่อตำแหน่งเจิ้นกั๋วกง ศพของท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและพวกน้องชายจะมาถึงในอีกสามวัน ข้าอยากถามท่านย่าว่าจะจัดการกับลูกอนุผู้นี้อย่างไรเจ้าคะ”
องค์หญิงใหญ่สับสนว้าวุ่นใจมาก นึกถึงภาพตอนที่ตนและบรรดาลูกสะใภ้ปรึกษาหารือเรื่องนี้กัน เอ่ยถามไป๋ชิงเหยียนกลับ “อาเป่าคิดเช่นไร”
หญิงสาวกุมมือองค์หญิงใหญ่ เอ่ยออกมาอย่างไม่รีบร้อน “ลูกอนุผู้นี้นิสัยโหดร้าย ไร้คุณธรรม ไม่คู่ควรกับคำว่าเจิ้นกั๋วเจ้าค่ะ หากยกตำแหน่งนี้ให้เขา เกรงว่าเขาจะทำให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นร้อยปีของตระกูลไป๋ต้องแปดเปื้อน กระทั่งนำหายนะมาสู่ตระกูลไป๋ของเราเจ้าค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า แต่ต้องยอมสละตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงที่คนทุกรุ่นของตระกูลไป๋แลกมาด้วยชีวิตไปเช่นนี้หรือ
“การที่มีญาติของทหารมาอาละวาดหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงในวันนี้ กลับเป็นการเตือนจวนเจิ้นกั๋วกงของเราว่ามีคนกำลังจ้องจะเล่นงาน ใส่ร้ายจวนเจิ้นกั๋วกงของเราให้พินาศเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าเกียรติยศของตระกูลไป๋อยู่ที่ใจคน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือขอถอดยศเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวเองเพื่อปกป้องตระกูลไป๋เอาไว้เจ้าค่ะ”
“ขอถอดยศด้วยตัวเอง…” ไม่ใช่ว่าองค์หญิงใหญ่ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้
หญิงสาวพยักหน้า “พิจารณาจากหน้าที่และความรับผิดชอบแล้ว ไป๋ชิงเสวียนไม่มีความสามารถมากเช่นนั้น แทนที่จะทำให้ตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงกลายเป็นตำแหน่งหัวโขน มิสู้ย้ายกลับไปยังซั่วหยางอย่างกล้าหาญดีกว่าเจ้าค่ะ ให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นว่าตระกูลไป๋ยอมแพ้ เช่นนี้จะได้รักษาชีวิตของคนในตระกูลไป๋ รักษาชื่อเสียงนับร้อยปีของตระกูลเอาไว้ได้เจ้าค่ะ”
“ส่วนไป๋ชิงเสวียน หากท่านย่าต้องการก็สามารถเก็บเขาไว้ข้างกายเพื่ออบรมสั่งสอนได้เจ้าค่ะ หากภายภาคหน้าเขามีความสามารถ สร้างอนาคตได้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลไป๋ที่ยอมถอยในวันนี้จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเขาในวันข้างหน้าเจ้าค่ะ ต่อให้ไป๋ชิงเสวียนจะไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆ แต่ตระกูลไป๋ของเราก็ยังมีเด็กในท้องของท่านอาสะใภ้ห้าอยู่ หากท่านอาสะใภ้ห้าคลอดลูกชาย ตระกูลไป๋ก็มีโอกาสกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเจ้าค่ะ!”
คำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนทำให้องค์หญิงใหญ่กระจ่างแจ้ง นั่นสินะ นางลืมไปได้อย่างไรว่ายังมีเด็กในท้องของลูกสะใภ้ห้าอีกคน!
หากถอย ตระกูลไป๋ยังมีทางรอดอีกทาง! หากไม่ถอย…ตระกูลไป๋สู้จนสุดกำลัง สุดท้ายต่อให้บุตรอนุนั่นได้ตำแหน่งเจิ้นกั๋วกง เกรงว่าชื่อเสียงของตระกูลไป๋ก็คงอยู่ต่อได้อีกไม่นาน
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า กระพริบตาที่แดงก่ำมองไปยังไป๋ชิงเหยียนที่ยังคงกล่าวเสียงแผ่วเบา นางยกมือขึ้นลูบเส้นผมสีดำขลับของหลานสาว อดถอนหายใจออกมามิได้ หลานสาวของนางเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ความฉลาด ไหวพริบในการวางแผนไม่เป็นรองผู้ใด หากหลานสาวของนางเป็นบุรุษ ตระกูลไป๋คงมิต้องกังวลว่าจะไม่มีผู้สืบทอด!
ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากเรือนขององค์หญิงใหญ่ เดิมทีอยากไปอยู่เป็นเพื่อนต่งซื่อ เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้องของต่งซื่อ นางห้ามมิให้ฉินหมัวมัวเข้าไปรายงาน เดินแหวกม่านเข้าไปด้านในก็ได้ยินเสียงร้องไห้แผ่วเบาของมารดา
ไป๋ชิงเหยียนมองผ่านฉากกั้นซึ่งทำจากไม้หนานมู่บางๆ ทั้งยี่สิบฉาก เห็นลางๆ ว่าท่านแม่นั่งอยู่หน้ากระจกทองแดง มือหนึ่งกำปิ่นปักผมที่ท่านพ่อทำด้วยตัวเองเพื่อมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้ท่านแม่ของนาง ในอ้อมกอดมีเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ท่านแม่เย็บเป็นของวันปีใหม่ให้ไป๋ชิงอวี๋ น้องชายแท้ๆ ของนาง ท่านแม่ก้มหน้าร้องไห้เบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่
เสียงร้องไห้ของท่านแม่ทำให้ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกเหมือนโดนบีบรัดหัวใจ ท่านแม่ผู้แข็งนอกอ่อนในของนางสูญเสียสามีและบุตรชายไปในชั่วข้ามคืน จะไม่ปวดใจได้อย่างไรกัน
หญิงสาวไม่ได้รบกวนท่านแม่ นางยืนอยู่หลังฉากกั้นชั่วครู่จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้อง
———————————————
[1] หรงโซ่ว คำอวยพรให้มีอายุยืนยาว ร่างกายแข็งแรงเป็นร้อยๆ ปี
[2] ฉางโซ่ว แปลว่าอายุยืน