ตอนที่ 76 วีรบุรุษกลับคืน
“คุณหนูใหญ่…” ฉินหมัวมัวรีบถลาเข้าไปหา เห็นดวงตาของหญิงสาวแดงก่ำพลางกำชับให้นางดูแลมารดาของตนให้ดี ฉินหมัวมัวน้ำตาไหลทะลักในทันที
“คุณหนูใหญ่วางใจเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินซื่อจื่อเข้มแข็งมาก เช้าวันนี้ยังกล่าวกับบ่าวอยู่เลยว่าท่านเป็นนายหญิงใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกง เป็นมารดาของคุณหนูใหญ่ท่านต้องทนให้ได้ หากท่านประคองตระกูลไป๋ไว้ไม่ได้ ท่านปกป้องบุตรสาวของตนได้อย่างใดกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ไป๋ชิงเหยียนกำมือแน่นในใจปวดราวเกินบรรยาย
นางนึกถึงท่านพ่อของตนเอง นึกถึงสงครามบุกแคว้นสู่ นางไล่ตามผางผิงกั๋ว แม่ทัพใหญ่ของแคว้นสู่ถึงสามวันสามคืนจนในที่สุดก็ตัดศีรษะของเขามาได้ทำลายแคว้นสู่จนพ่ายแพ้
หลังได้ชัยชนะกลับมา นางมีความสุขมาก ทว่าท่านพ่อกลับบอกว่านางตัดศีรษะของผางผิงกั๋วโดยพละการไม่มีคำสั่งจากกองทัพสั่งให้นางไปรับโทษโบยห้าสิบที!
นางคิดว่าตนเองไม่ผิดจึงเถียงท่านพ่อคอเป็นเอ็น เอ่ยถามท่าน
ข้าตัดศีรษะของแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นสู่ได้ถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดท่านพ่อต้องลงโทษข้าด้วยเจ้าคะ
ท่านพ่อดวงตาแดงก่ำ เขวี้ยงแส้ในมือลงบนพื้นด้วยความโมโห ใช้เท้าถีบหอกเงินในมือของนางจนกระเด็นลอยไปไกล ตะคอกใส่นางอย่างรุนแรง
‘เพราะว่าข้าคือพ่อของเจ้า! ไม่ว่าในสายตาของผู้อื่นเจ้าจะเฉลียวฉลาด อาจหาญสักเพียงใด ในสายตาของพ่อแล้วเจ้าเป็นเพียงลูกสาวที่ต่อให้ตายพ่อมิอาจสูญเสียไปได้!’
ความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตร ก็คือ…ไม่ว่าเวลาใดก็พร้อมเสียสละชีวิตปกป้องบุตรของตนอยู่ด้านหน้าเสมอ
ทว่าต่อจากนี้นางไม่มีท่านพ่ออีกแล้ว! ไม่มีน้องชายอีกแล้ว!
ท่านพ่อของนางเสียชีวิตอยู่ที่เมืองเฟิ่ง
น้องชายของนางเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียง
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า เอ่ยกับฉินหมัวมัวด้วยเสียงที่แหบพร่า
“ฉินหมัวมัวอย่าบอกท่านแม่ว่าข้ามาที่นี่นะ”
ฉินหมัวมัวช่วยไป๋ชิงเหยียนจัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อย พยักหน้าน้อยๆ กล่าวออกมาอย่างยากลำบาก
“ช่วงนี้คุณหนูใหญ่ก็พักผ่อนให้เพียงพอนะเจ้าคะ พอท่านกั๋วกง และบรรดาซื่อจื่อ…กลับมา คุณหนูยังมีเรื่องต้องทำอีกมากเจ้าค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้า จับมือของชุนเถาเดินออกจากเรือนไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางลมหิมะที่หนาวเย็น
มองดูโคมไฟสีขาวซึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคาแกว่งไปมาเพราะลมพัด ไป๋ชิงเหยียนจับมือของชุนเถาแน่น
ลมกรรโชกแรง เมฆหมอกปกคลุม เมืองหลวงกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ท่ามกลางหิมะตกของวันที่ห้า เดือนหนึ่ง รัชศกเซวียนเจียปีที่สิบหก
ยามอิ๋น ทหารเฝ้าประตูทิศใต้ของเมืองหลวงเดินถือโคมไฟออกมาจากค่ายทหาร สั่งให้คนเปิดประตูเมือง
ทหารเฝ้าประตูหมุนกายกลับ มองฝ่าหิมะหนาออกไปเห็นคนเดินเข้ามาจากบริเวณที่เต็มไปด้วยแสงไฟบนถนนซึ่งทอดยาว เมื่อเดินใกล้เข้ามาทหารเฝ้าประตูถึงมองเห็นชัดว่าไม่ได้มีเพียงสามคน เขารีบจับดาบที่เอวเตรียมพร้อมทันที
ผู้ดูแลจวนเจิ้นกั๋วกงรีบวิ่งไปด้านหน้า ทำความเคารพทหารเฝ้าประตูเมืองอย่างนอบน้อมพลางบอกเจตนา
“วันนี้ซิ่นอ๋องจะนำร่างผู้เสียชีวิตกลับมายังเมืองหลวง นายหญิงใหญ่ของจวนข้าพาเหล่าสตรีในจวนมารอต้อนรับที่หน้าประตูเมืองขอรับ”
เมื่อมองเห็นชัดเจนว่าผู้ที่มาแต่งชุดไว้อาลัยพร้อมคาดผ้าไว้อาลัยไว้ที่ศีรษะ ทหารเฝ้าประตูพยักหน้าพลางหลบไปยืนอยู่ด้านข้างเพื่อหลีกทางให้เป็นทหารเหมือนกัน แม้เขาจะไม่เคยไปออกรบ แต่ก็มีใจรักชาวบ้านรักบ้านเมืองเช่นเดียวกัน
วันที่ญาติของทหารซึ่งโลภมากรับเงินที่ผู้อื่นจ้างไปอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง ถ้อยคำที่คุณหนูใหญ่ไป๋กล่าวออกมาในวันนั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มเลือดร้อน น้ำตาคลอแทบอยากติดตามท่านกั๋วกงไปออกรบจวบจนตัวตายเพื่อรับใช้บ้านเมือง
บัดนี้บุรุษตระกูลไป๋ล้วนเสียชีวิตลงที่หนานเจียง สตรีของตระกูลไป๋มารอต้อนรับถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
ต่งซื่อ ฮูหยินซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ฮูหยินสองหลิวซื่อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อ ฮูหยินสี่หวังซื่อ ฮูหยินห้าฉีซื่อซึ่งกำลังตั้งครรภ์ คุณหนูใหญ่ไป๋ชิงเหยียน คุณหนูรองไป๋จิ่นซิ่ว คุณหนูสามไป๋จิ่นถง คุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อที่โดนโบยเมื่อหลายวันก่อนแต่ก็ยังฝืนประคองตัวเองมา รวมถึงฉินหล่าง บุตรเขยคนรองของตระกูลไป๋ ทุกคนยืนอยู่ด้านนอกประตูเมืองทิศใต้ท่ามกลางองครักษ์และบ่าวรับใช้ที่ติดตาม รอคอยวีรบุรุษตระกูลไป๋กลับมาอย่างสงบนิ่ง
เสียงร้องไห้ของบ่าวรับใช้ดังสะอึกสะอื้นมาจากกลุ่มคน คนเหล่านั้นไม่ได้เข้มแข็งดังเช่นผู้เป็นเจ้านาย
หิมะตกหนักบดบังวิสัยทัศน์ นอกจากหิมะหนาแล้ว ไป๋ชิงเหยียนมองเห็นแต่ความมืดมิด
บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงหมดแล้ว พวกคนในเมืองหลวงที่หวาดกลัวอำนาจของตระกูลไป๋ บัดนี้คงมีความสุขจนนอนไม่หลับเลยกระมัง!
ทว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในภายภาคหน้า
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลงดวงตาเป็นประกาย
งูพิษจำศีลในฤดูหนาวและออกล่าในฤดูใบไม้ผลิ
ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน…
ตงซื่อที่ดวงตาแดงก่ำก้มหน้าลง หันไปช่วยกระชับเสื้อคลุมให้ไป๋ชิงเหยียน นิ้วมือสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“ให้พวกเจ้าอยู่ดูแลท่านย่าและน้องสาวอยู่ที่จวนแต่พวกเจ้าก็มิยอมฟัง…”
ไป๋ชิงเหยียนกุมมือที่เย็นเฉียบของมารดาไว้หลวมๆ ดวงตาร้อนผ่าวอีกรอบ กระชับฝ่ามือแน่นขึ้น
“พวกข้าสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่และท่านป้าสะใภ้ได้เจ้าค่ะ พวกข้าไม่ใช่เด็กแล้ว”
ชาติที่แล้วนางล้มป่วย ทิ้งให้ท่านแม่ต้องฝืนประคองตระกูลไป๋อยู่คนเดียว ชาตินี้นางไม่มีทางปล่อยให้ท่านแม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งเช่นนั้นอีกแล้ว
ฮูหยินสองหลิวซื่อกอดไป๋จิ่นซิ่วไว้ในอ้อมกอด น้ำไหลพรูไม่ขาดสาย หากไม่ใช่เพราะยังมีบุตรสาวอยู่นางคงตายตามสามีและบุตรชายไปแล้ว ทว่าบุตรสาวของนางสูญเสียท่านปู่ ท่านพ่อ พี่ชายและน้องชายไปแล้ว นางจะทนให้บุตรสาวต้องสูญเสียแม่อย่างนางไปอีกคนได้อย่างใด
ไม่รู้ว่าจวนของผู้ใดในเมืองหลวงเปิดไฟขึ้นมาก่อน ได้ยินว่าสตรีตระกูลไป๋ไปรอรับศพอยู่ที่ประตูเมืองทิศใต้ ต่างก็รีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ถือโคมไฟออกจากจวน บังเอิญเจอเพื่อนบ้านที่ถือโคมไฟเดินย่ำหิมะออกมาเช่นกัน
“เจ้าก็ได้ยินเหมือนกันใช่หรือไม่ สตรีตระกูลไป๋ไปที่ประตูทิศใต้หมดแล้ว!”
“ใช่น่ะสิ ผู้กล้าของจวนเจิ้นกั๋วกงจะกลับมาวันนี้ พวกเราได้รับความคุ้มครองจากวนเจิ้นกั๋วกงมาทุกชั่วรุ่น ควรจะไปต้อนรับสักหน่อย!”
ทั้งสองคุยกันได้สองประโยค เสียงประตูไม้ข้างๆ ก็เปิดออก ชายฉกรรจ์ซึ่งออกมาจากจวนพร้อมบิดาที่แก่ชรามองเห็นเพื่อนบ้านจึงรีบเอ่ยถาม “พวกเจ้าจะไปประตูเมืองทิศใต้เหมือนกันหรือ”
ทหารเฝ้าประตูเมืองทิศใต้ยืนอยู่บนกำแพง มองเห็นโคมไฟที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดในเมืองหลวงค่อยๆ โผล่ออกมาทีละดวง แสงไฟอบอุ่นส่องออกมาจากโคมไฟ ทยอยกันเดินเข้ามาจากทุกสารทิศ เมื่อเพ่งพิจารณาให้ดีจึงพบว่าเป็นชาวบ้านที่กางร่มถือโคมไฟเดินเกาะกลุ่มกันอยู่ ขบวนยิ่งใหญ่กว่าคืนวันสิ้นปีเสียอีก
หิมะตกกระหน่ำอย่างรุนแรง ท้องฟ้ายังไม่สว่าง
ทหารเฝ้าประตูเมืองทิศใต้มองเห็นภาพนี้ ความรู้สึกมากมายถาโถมอยู่ในใจ ตะโกนขึ้นเสียงดัง
“หรี่ไฟดวงใหญ่ที่ประตูเมืองให้สว่างหน่อย ส่องนำทางให้ดวงวิญญาณผู้กล้าแห่งแคว้นต้าจิ้น”
สตรีตระกูลไป๋ได้ยินคำกล่าวนี้ ตาแดงก่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ต่างยืดกายตรงยืนรอต้อนรับการกลับมาของวีรบุรุษท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก
บรรดาขุนนางในราชสำนักกลัวภัยมาถึงตนเอง ตั้งแต่ที่ข่าวจากหนานเจียงส่งมาถึงเมืองหลวง ท่าทีของฮ่องเต้เหมือนจะไม่เก็บตระกูลไป๋ไว้ เมื่อทราบข่าวจึงไม่กล้าเสี่ยงมาที่ประตูเมืองทิศใต้ดังเช่นคืนวันสิ้นปี
ท่ามกลางบรรดาขุนนางทั้งหมด ขุนนางที่มาแทบนับนิ้วได้ ต่งชิงผิง ต่งชิงเยว่ทราบว่าต่งซื่อพาสตรีตระกูลไป๋มารออยู่ที่หน้าประตูเมืองทิศใต้ ต่างรีบตื่นนอน ล้างหน้าแล้วขี่ม้ามาที่นี่
ต่งซื่อน้ำตาคลอ ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากแต่ก็อดเตือนขึ้นไม่ได้ “ท่านพี่ ชิงเยว่ พวกท่านมิควรมา!”
ต่งชิงผิงเอื้อมมือไปตบไหล่ของต่งซื่อ เอ่ยยิ้มๆ “มิเป็นไร”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของไป๋ชิงเหยียนก็คือเซียวหรงเหยี่ยนมาที่ประตูเมืองทิศใต้พร้อมกับกลุ่มคุณชายเจ้าสำราญอย่างหลู่หยวนเผิงด้วย
หลู่หยวนเผิงทำความเคารพฮูหยินไป๋แต่ละคนอย่างนอบน้อม เซียวหรงเหยี่ยนเพียงแต่ก้มศีรษะให้เล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่กำลังก้มศีรษะตอบ
ไป๋ชิงเหยียนอยู่ในชุดไว้อาลัย คาดผ้าไว้อาลัยไว้ที่ศีรษะ เรือนร่างที่งดงามถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ที่แสนบริสุทธิ์
———————————————
[1] ยามอิ๋น ช่วงเวลาตั้งแต่ 03.00 – 05.00 น.