ตอนที่ 93 เสนอตัวออกรบ
องค์หญิงใหญ่ที่เอาแต่เป็นกังวลอยู่ในห้องโถงด้านข้าง ได้ยินถ้อยคำนี้จึงวางใจลง แผ่นหลังที่เกร็งแข็งเอนพิงลงบนหมอนนุ่ม แม้หลับตาอยู่แต่น้ำตาก็ยังไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
อารมณ์เกรี้ยวกราดของไป๋ชิงเหยียนเมื่อครู่ ทำให้ฮ่องเต้ทรงเกิดความคิดสังหารอยู่หลายครา
ทว่าเมื่อกล่าวประโยคนี้ออกไป ชีวิตหลานสาวคนโตของนางปลอดภัยแล้ว
ยังดีที่ความแค้นไม่ได้ครอบงำจิตใจของไป๋ชิงเหยียน นางยังรู้จักปกป้องชีวิตของตัวเอง
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังสตรีในชุดไว้อาลัยสีขาวที่คุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงอย่างสำรวม ช่างเหมือนไป๋ซู่ชิวผู้หยิ่งผยองผู้นั้นมากจริงๆ
ทรงสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่สุดในพระทัย ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองไปยังสตรีที่สบตากับเขาอยู่ นิ่งสงบราวกับพระภิกษุชราภาพ
บนโลกนี้ ขุนนางที่จงรักภักดีหาได้ง่าย ขุนนางที่จงรักภักดีและมีความสามารถหาได้ยาก ทว่า ขุนนางที่มีความสามารถก็มักจะถูกขุนนางชั่วช้าใส่ร้าย ถูกจักรพรรดิหวาดระแวง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮ่องเต้ทรงยืดกายตรง ตรัสขึ้นอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยอย่างอ่อนแรง “ซิ่นอ๋อง…เราจะถอดยศเขาให้กลายเป็นเพียงสามัญชน กักบริเวณอยู่แต่จวนซิ่น ส่วนหลิวฮ่วนจางจะโดนโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร ผลลัพธ์เช่นนี้ เจ้าพอใจหรือไม่!”
“เสด็จพ่อ!? เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ซิ่นอ๋องเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ คุกเข่าคลานไปด้านหน้าตะโกนร้องไห้ออกมา “เสด็จพ่อ ข้าเป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮานะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้กัดฟันกรอด ผิดหวังในตัวโอรสที่เกิดจากฮองเฮาองค์นี้เป็นอย่างมาก พิโรธถึงขีดสุด น้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ลากซิ่นอ๋องออกไป ร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
ตัดใจประหารโอรสที่เกิดจากฮองเฮามิได้!
ฮ่องเต้ไม่ประหารมิเป็นไร นางจะฆ่าเอง ที่ปล่อยให้ซิ่นอ๋องมีชีวิตต่ออีกหน่อยเพราะอยากทรมานเขาเท่านั้นเอง
หญิงสาวก้มศีรษะคำนับฮ่องเต้ด้วยความเคารพ “หวังว่าฝ่าบาทจะทรงตรวจสอบเนื้อหาในม้วนไม้ไผ่เรื่องที่เสบียงอาหารไปไม่ถึงเมืองเฟิ่งอย่างละเอียดและคืนความยุติธรรมให้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษตระกูลไป๋ด้วยนะเพคะ!”
เห็นหญิงสาวย่อกายลง ผมยาวสลวยหล่นลงประบ่า ฮ่องเต้หลับตาลงข่มไอสังหารไว้
ช่างเถิด สตรีที่หยิ่งยโสเหมือนดั่งซู่ชิวผู้นี้ ปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่แทนซู่ชิวก็แล้วกัน
“ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องเสบียงอาหารคือจงหย่งโหวฉินเต๋อเจา น้องสาวคนรองของเจ้าเพิ่งแต่งเข้าจวนจงหย่งโหว…”
“ฝ่าบาท ฉินหล่างสละตำแหน่งซื่อจื่อและย้ายออกจากจวนจงหย่งโหวแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงตรัสชมเองว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ ตระกูลไป๋ขอเพียงความยุติธรรม มิได้ต้องการกวาดล้างทั้งตระกูลเพคะ”
“เราจะตรวจสอบเรื่องเสบียงอาหารอย่างละเอียด!” ฮ่องเต้เดินอ้อมโต๊ะน้ำชา ประทับลงบนบัลลังก์มังกรด้วยท่าทีองอาจ ทอดพระเนตรนิ่งไปยังไป๋ชิงเหยียนครู่หนึ่ง จากนั้นตรัสถามขึ้น “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าแคว้นต้าจิ้นต้องเจรจาสงบศึกกับหนานเยี่ยนและซีเหลียง เบื้องหลังยังมีต้าเหลียงและหรงตี๋จ้องจะเข้ามาขอส่วนแบ่ง คำกล่าวนี้ตรงประเด็นและเฉียบแหลมมาก หากไม่เจรจาสงบศึก กองทัพของซีเหลียงและหนานเยี่ยนจะบุกเข้าโจมตีแคว้นเรา หากเจรจาสงบศึก หรงตี๋ ต้าเหลียงก็คอยจ้องอยู่ตาเป็นมัน”
ฮ่องเต้เม้มปากแน่น ไม่ตรัสสิ่งใด รอให้ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
เทพแห่งสงครามที่เจิ้นกั๋วกงไป๋เวยถิงเคยกล่าวชมไว้ ฮ่องเต้อยากจะเห็นความสามารถของนางเหมือนกัน
เดิมทีไป๋ชิงเหยียนวางแผนไว้ว่าเมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจะเดินทางไปที่หนานเจียง ทว่า นึกไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะทรงยื่นโอกาสมาตรงหน้านางเช่นนี้
นางต้องไปที่หนานเจียง นอกจากจะไปตามหาและรับตัวบุรุษตระกูลไป๋ที่อาจโชคดีรอดชีวิตแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือรากฐานของกองทัพไป๋อยู่ที่หนานเจียง
แมลงร้อยขาตายก็ไม่ล้ม กองทัพคือสิ่งที่ตระกูลไป๋ควรจัดการดูแลมากที่สุด เพียงแค่โบกมือเรียกก็จะมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง เป็นสิ่งที่ไม่ว่าตระกูลใดในแคว้นต้าจิ้นก็ไม่อาจทำได้!
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก้มศีรษะแนบพื้นพลางกล่าว “เราไม่อาจหลีกเลี่ยงสงครามที่หนานเจียงได้เพคะ ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด การแบ่งดินแดน ชดใช้เงิน เจรจาสงบศึกและยอมอ่อนข้อให้เป็นเพียงการพักรบกับซีเหลียงและหนานเยี่ยนแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากหรงตี๋ ต้าเหลียงเข้ามาร่วมด้วยจะยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ ทว่า หากเราพลิกสถานการณ์ซึ่งพ่ายแพ้และสูญเสียกองกำลังไปมากมายในครั้งนี้จนกลับมาชนะได้อีกครั้ง ทุกแคว้นจะตระหนักถึงบารมีของต้าจิ้น ไม่กล้ามารุกรานเราอีก”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ มั่นใจว่าจะชนะหรือไม่”
ฮ่องเต้ตรัสถามจบก็ลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย ในงานเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสที่กำจัดแคว้นสู่ได้สำเร็จ เจิ้นกั๋วกงไป๋เวยถิงเคยกล่าวว่าหลานสาวของเขามีพรสวรรค์ด้านการรบ เขาเพียงแต่ยิ้มๆ ไม่เอ่ยสิ่งใด ในใจคิดเพียงว่าไป๋เวยถิงกล่าวเกินจริง แม้ว่าหลานสาวของเขาจะตัดศีรษะของแม่ทัพใหญ่ผางผิงกั๋วแห่งแคว้นสู่ได้ ทว่า ต้องมีคนคอยช่วยเหลือนางอย่างแน่นอน
ทว่า บัดนี้ เขากลับต้องมาปรึกษาและวางแผนการรบกับสตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่เขาเคยดูถูกเช่นนี้
ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงนึกถึงคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนเมื่อครู่ที่ว่า ไป๋เวยถิงเคยกล่าวชมว่าเขาเป็นฮ่องเต้ที่มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่
อดหวนนึกถึงคำกล่าวที่เขาเคยกล่าวกับเจิ้นกั๋วกงไม่ได้…ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ ขอมอบอำนาจทางทหารให้ ไม่มีวันคลางแคลงใจเด็ดขาด
ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจของฮ่องเต้ เขาหลับตาลง
ถามว่าเสียใจหรือไม่…สูญเสียขุนนางที่มีความสามารถและจงรักภักดีไปเช่นนี้ เขาเสียใจ!
หากจะกล่าวว่าไม่เสียใจ…สูญเสียขุนนางที่มีบารมีมากล้นมาหลายชั่วอายุคน ต่อจากนี้จะไม่มีผู้ใดสั่นคลอนราชบัลลังก์ของเขาได้อีกแล้ว เขาไม่เสียใจ
ความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยในใจ เป็นเพียงความรู้สึกโหวงเหวงที่สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปเท่านั้นเอง
“เช่นนั้นควรส่งผู้ใดไปออกรบดี” ไป๋ชิงเหยียนเข้าใจความหมายแฝงที่ฮ่องเต้ต้องการจะสื่อ เงยหน้ามองดูบุคคลที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง “ทหารกล้าหาได้ง่ายดาย ทหารที่มีความสามารถมีเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น”
ฮ่องเต้เอนกายพิงหมอนนุ่มสีทองกำมือแน่น
“หม่อมฉันอยู่ในช่วงไว้ทุกข์มิควรไปออกรบ แต่หม่อมฉันยอมเป็นคนอกตัญญูเพื่อแสดงความจงรักภักดี! หากฝ่าบาททรงเชื่อพระทัยตระกูลไป๋ ไป๋ชิงเหยียนขอสาบานด้วยเกียรติยศของตระกูลไป๋ที่มีมานับร้อยปี หากกำจัดผู้ที่มารุกรานแคว้นของเรามิได้ หม่อมฉันจะสู้จนตัวตายเพคะ! ทว่า หากฝ่าบาทมิทรงเชื่อตระกูลไป๋อีกแล้ว…”
ดวงตาของฮ่องเต้วาวโรจน์ “หากเราไม่เชื่อ จะเป็นเช่นไร”
“เช่นนั้นหม่อมฉันทูลขอให้ฝ่าบาททรงอดทนเพื่อชาวบ้านอีกสักนิด…ส่งองค์ชายสักพระองค์ติดตามไปคุมกองทัพด้วย ส่วนจวินกง! ตระกูลไป๋มิต้องการ หลังจากรบชนะในครั้งนี้ แคว้นอื่นๆ คงเกรงกลัวแคว้นต้าจิ้นไปอีกนาน ถึงเวลานั้นต้าจิ้นคงมีเวลาฝึกฝนทหารกล้าขึ้นมาใหม่ หม่อมฉันจะกลับไปอยู่บ้านเกิดที่ซั่วหยาง ไว้ทุกข์ให้ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและบรรดาน้องชายเพคะ”
มือที่ลูบหมอนอยู่ของฮ่องเต้ชะงัก ไป๋ชิงเหยียนหมายความว่าจะยกจวินกงทั้งหมดให้องค์ชายที่ติดตามไปเช่นนั้นหรือ
ฮ่องเต้เม้มปาก “เจ้ายินดียกจวินกงให้อย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าหม่อมฉันกล่าวไว้ชัดเจนกลางงานเลี้ยงคืนนั้นแล้วเพคะ ตระกูลไป๋มิเคยอยากได้จวินกง สิ่งที่ตระกูลไป๋ทุกรุ่นสละชีพปกป้องไว้คือความสงบสุขของบ้านเมือง ความสงบสุขของชาวบ้าน จิตวิญญาณของตระกูลไป๋คือหากไม่สามารถกำจัดผู้ที่มารุกรานบ้านเมือง รังแกชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นให้หมดไปได้ พวกเราจะสู้มิถอยเพคะ!”
ฮ่องเต้กระชับมือแน่นกว่าเดิม
หากไม่สามารถกำจัดผู้ที่มารุกรานบ้านเมือง รังแกชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นให้หมดไป จะสู้มิถอย!
หากเขามีความสามารถ บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตหมดทั้งตระกูลเช่นนี้ ฮ่องเต้เสียใจแต่ไม่เสียดาย ทว่าบัดนี้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไปแล้ว
เขาเจ็บปวดใจราวกับโดนแมลงป่องต่อย
เดิมทีเขาเคยให้สัญญาไว้ว่าจะไม่มีวันคลางแคลงใจ ทว่าเขากลับหวาดระแวงในตัวเจิ้นกั๋วกง
แต่เขาจะเสียใจภายหลังไม่ได้ เจิ้นกั๋วกงมีบารมีมากเกินไป ราชวงศ์หลินแห่งแคว้นต้าจิ้นจะจบลงที่เขาไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาคงรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษตระกูลหลิน
ยอมฆ่าผิดดีกว่าปล่อยไป เขาทำถูกแล้ว! เขาคือจักรพรรดิ สิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ถูกต้อง!
มือของฮ่องเต้สั่นเทาเล็กน้อย ครู่ใหญ่จึงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าพาท่านย่าที่อยู่ห้องโถงด้านข้างของเจ้ากลับไปเถิด เราขอเวลาคิดก่อน…”
ไป๋ชิงเหยียนคำนับแนบพื้น เดินออกมาจากท้องพระโรง เห็นท่านย่ายืนอยู่รอนางอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก
ดวงตาแดงก่ำของสองย่าหลานประสานสายตากัน ประคองกันเดินออกไปจากวังโดยไม่เอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น
“เจ้าต้องการบีบบังคับให้ฮ่องเต้ประหารซิ่นอ๋องจึงเสนอตัวออกรบ เสนอตัวไปที่หนานเจียงเช่นนั้นหรือ” นิ้วมือขององค์หญิงใหญ่เย็นเฉียบ
“มิใช่ว่าข้าเสนอตัวออกรบ แต่ข้าจำเป็นต้องไปเจ้าค่ะ สิ่งที่ข้ากล่าวกับฮ่องเต้ในวันนี้ มิได้กล่าวออกไปเพราะต้องการขู่ให้กลัวเจ้าค่ะ”
———————————————
[1] แมลงร้อยขาตายก็ไม่ล้ม เป็นสำนวนเปรียบเทียบตระกูลที่มีอำนาจมาก แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้แต่รากฐานที่แข็งแกร่งของพวกเขายังคงอยู่ ไม่มีทางล่มสลายไปอย่างง่ายดายแน่นอน