ตอนที่ 100 ปล้น
ไป๋ชิงเหยียนกวักมือเรียกให้พวกนางเขยิบเข้ามาใกล้ๆ สามพี่น้องยืนชิดกันเป็นวงกลม ไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้น “พี่อยากให้พวกเจ้าแสดงละครสักฉาก”
ถงหมัวมัวประสานมือไว้ที่หน้าท้อง มองดูสามพี่น้องปรึกษาหารือกัน นางขมวดคิ้วแน่นด้วยความเป็นกังวล
เมื่อไป๋ชิงเหยียนอธิบายจบ ดวงตาของไป๋จิ่นจื้อเป็นประกายขึ้นมาในทันที “พี่หญิงใหญ่รู้นิสัยของข้าดี ข้าไม่ห่วงเรื่องชื่อเสียงอันใดนั่นหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่างครั้งนี้พวกเราได้เปรียบ! พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ เสี่ยวซื่อจะไม่ทำให้เรื่องแย่ลงเด็ดขาด ข้าจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้เจ้าค่ะ!”
กล่าวจบ ไป๋จิ่นจื้อเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าไปในห้องโถงรับรอง ทำความเคารพต่งซื่ออย่างรีบร้อน จากนั้นหันกลับไปด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “ตระกูลไป๋ของข้ากำลังจัดพิธีศพ โลงศพยี่สิบกว่าโลงตั้งอยู่ที่กลางลานหญ้า สตรีตระกูลไป๋กำลังเผชิญปัญหา พวกท่านในฐานะตระกูลบรรพบุรุษไม่เพียงไม่ช่วยเหลือ แต่กลับอาศัยโอกาสนี้มาแย่งเงินจากตระกูลไป๋! พวกท่านยังมียางอายอยู่หรือไม่!”
“เสี่ยวซื่อ ถอยออกมา…”
ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นถงเดินจับมือกันเข้ามาในห้องโถง ทั้งสองทำความเคารพต่งซื่อ
ท่านชายบุตรอนุที่มาจากซั่วหยางทั้งสองคนเห็นไป๋ชิงเหยียนใจก็กระตุกวาบในทันที หลานสาวคนโตของจวนเจิ้นกั๋วกงร้ายกาจมากเกินไป กล้าถึงขนาดบีบให้ฮ่องเต้ประหารโอรสที่เกิดจากฮองเฮา จะไม่ให้คนรู้สึกหวาดกลัวนางได้อย่างใด
“ข้าไม่ถอย! พวกเขาเป็นผู้ใดกันถึงกล้าชี้นิ้วใส่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เช่นนี้ หากเทียบบรรดาศักดิ์…ท่านป้าสะใภ้มียศเป็นถึงฮูหยินเก้ามิ่งขั้นที่หนึ่ง ส่วนพวกเขาแก่ขนาดนี้แล้วยังเป็นได้แค่ซิ่วไฉเท่านั้น มีสิทธิ์อันใดมาเหิมเกริมต่อหน้าท่านป้าสะใภ้ใหญ่เช่นนี้ หากเทียบศักดิ์ในตระกูล หึ…” ไป๋จิ่นจื้อยิ้มเย็น
“ตอนนั้นท่านปู่เทียดของข้ามีบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกสี่คน นอกจากบุตรชายคนโตซึ่งเป็นท่านปู่ทวดของข้าแล้ว บุตรชายอีกสามคนล้วนเสียชีวิตในสนามรบโดยไม่มีทายาทสืบสกุล ท่านปู่ทวดของข้าเห็นว่าในเมื่อท่านรับตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงคอยปกป้องคุ้มครองแคว้นต้าจิ้น ท่านอาจทำหน้าที่ประมุขของตระกูลบรรพบุรุษได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงตัดสินใจรับบุตรอนุมาเป็นบุตรภรรยาเอกของท่านปู่เทียดเพื่อรับช่วงต่อตำแหน่งประมุข บุตรอนุท่านนี้ก็คือท่านปู่ของท่าน! ดังนั้นหากเปรียบเทียบจากรากเหง้าแล้ว ครอบครัวของท่านมีชาติกำเนิดมาจากอนุ! มีสิทธิอันใดมาเหิมเกริมกับสะใภ้คนโตของทายาทสายตรงของตระกูลไป๋เช่นนี้กัน!”
สิ่งที่ไป๋ฉีอวิ๋นเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือการที่มีคนเอาเรื่องที่ท่านปู่ของเขาเป็นบุตรอนุออกมาป่าวประกาศ ตอนที่ไป๋ฉีอวิ๋นยังเด็ก เมื่อมีปัญหาขัดแย้งกันในตระกูล พวกท่านปู่สี่ ท่านปู่หกมักใช้ฐานะของท่านปู่กดเขาเอาไว้
บัดนี้เด็กน้อยอย่างไป๋จิ่นจื้อยังนำฐานะของท่านปู่มากล่าวเช่นนี้ ไป๋ฉีอวิ๋นจะไม่โมโหได้อย่างใด
“เจ้า! ต่งซื่อ…นี่คือการอบรมสั่งสองของจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“บุตรอนุต่อให้ยกย่องให้กลายเป็นบุตรของภรรยาเอก ทว่า ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่มาตั้งแต่เด็ก เห็นได้ชัดเลยว่าขาดการอบรมสั่งสอน! ตัวเองไร้การอบรมสั่งสอนไม่พอ ยังทำลายหลานของตัวเองอีกต่างหาก!” ไป๋จิ่นถงกล่าวขึ้น
จวนเจิ้นกั๋วกงมีกฎในการเลี้ยงดูบุตรที่เกิดจากอนุอย่างเข้มงวดมาก บุตรที่เกิดจากอนุทุกคนห้ามพบปะกับมารดาผู้ให้กำเนิด บุตรอนุทุกคนล้วนมีแม่นมเลี้ยงดูอยู่ข้างกายมารดาเอกของแต่ละคน หากไม่ถึงวันตรุษจีนห้ามบุตรอนุพบเจอกับมารดาผู้ให้กำเนิดเด็ดขาด หากพบว่าบุตรอนุคนใดลอบพบกับมารดาผู้ให้กำเนิดของตัวเองจะโดนโทษโบยจนตายทั้งอนุและบุตรอนุ
ที่ท่านกั๋วกงตั้งกฎนี้ขึ้นมาเพราะกลัวว่าหากบุตรของภรรยาเอกเสียชีวิตลงที่สนามรบทั้งหมด บุตรอนุไม่สนิทสนมผูกพันกับมารดาเอก ชีวิตภายภาคหน้าของมารดาเอกอาจต้องทุกข์ทรมาน ดังนั้นเขาจึงตั้งกฎนี้ขึ้นมา
อนุของตระกูลไป๋คือบ่าวรับใช้ขั้นที่หนึ่ง แม้มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ ทว่าบ่าวก็คือบ่าว ไม่ว่ายิ่งใหญ่สักเพียงใดก็เป็นเพียงบ่าวอยู่ดี
ทายาทของตระกูลไป๋ แม้เกิดจากอนุแต่ก็เป็นนาย
นาย บ่าว ไม่เหมือนกัน
ไป๋จิ่นถงเป็นบุตรอนุ หลังจากนางเกิดมาก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายของหลี่ซื่อ แม้ว่าอาหารและเครื่องแต่งกายจะเทียบไม่ได้กับบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ที่สำคัญมารดาเอกไม่เคยปฏิบัติต่อนางไม่ดี นางเองก็ไม่เคยโกรธแค้น
“ต่งซื่อ! ท่านมองดูลูกอนุในจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านดูถูกท่านประมุขเฉยๆ เช่นนี้หรือ!” ไป๋ฉีอวิ๋นไม่อยากลดตัวลงไปทะเลาะกับเด็กสาวสองคน จึงทำได้เพียงอาละวาดกับต่งซื่อ
“ต่งซื่อเป็นคำที่ท่านเรียกได้หรืออย่างใดกัน!” ไป๋จิ่นจื้อเอื้อมมือไปจับแส้ที่เอวด้านหลังทันที แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่าแส้ของตนไม่ได้อยู่ที่ด้านหลัง
“หากท่านลุงต้องการปรึกษาเรื่องของตระกูลบรรพบุรุษ ก็จงขอขมาท่านแม่ของข้าอย่างนอบน้อมด้วยเจ้าค่ะ โปรดปรับท่าทีของท่านให้อ่อนลงก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกัน…” ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงตรงที่นั่งซึ่งถัดจากต่งซื่อ
ท่านชายบุตรอนุทั้งสองยกถ้วยน้ำชาขึ้นแสร้งทำเป็นดื่มชา ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น มีเพียงไป๋ฉีอวิ๋นที่มองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง
“ผู้ใหญ่กำลังคุยกันอยู่ เด็กอย่างเจ้ามิควรแทรกขึ้น”
“ท่าน…” สิ่งที่ไป๋จิ่นจื้อทนไม่ได้ที่สุดก็คือการเห็นผู้อื่นไม่เคารพพี่หญิงใหญ่ของนาง
“ข้าเป็นบุตรสาวคนโตของจวนเจิ้นกั๋วกง นามของข้ามีคำว่าชิงเช่นเดียวกับบุตรชายของตระกูลไป๋! ข้าเคยออกรบ เคยตัดศีรษะของแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู เคยกำจัดแคว้นสู่จนดับสูญ ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและน้องชายของข้าเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียง ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบความรุ่งเรืองของตระกูลไป๋ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!”
ดวงตาสงบนิ่งของไป๋ชิงเหยียนมองไปยังไป๋ฉีอวิ๋น ไอสังหารแผ่ออกมาอย่างไม่คิดปกปิด
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นกั๋วกง เหตุใดข้าจะเข้ามาแทรกมิได้”
รังสีความโหดเหี้ยมที่ได้มาจากการออกรบฆ่าฟันศัตรูแผ่กระจายไปทั่วห้องโถงรับรอง ทำให้คนเสียวสันหลังวาบอย่างอดไม่ได้
“ถงหมัวมัว พาไป๋จิ่นถงและไป๋จิ่นจื้อไปกราบขอขมาวิญญาณของท่านปู่และท่านพ่อ ในเมื่อตอนนั้นท่านปู่ทวดมีชื่อเป็นบุตรของท่านย่าเทียดแล้ว เช่นนั้นท่านก็คือบุตรของภรรยาเอก ห้ามกล่าวถึงเรื่องนี้อีก! หากยังทำผิดอีก จงไปรับโทษโบยคนละสิบที!”
“พี่หญิงใหญ่!” ไป๋จิ่นจื้อคอแข็ง “ข้าไม่ยอมรับ!”
ไป๋จิ่นถงขมวดคิ้วจูงมือไป๋จิ่นจื้อออกไปด้านอก “ไปเถิด อย่าทำให้พี่หญิงใหญ่โมโห!”
ถงหมัวมัวกล่าวเตือนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ “หากคุณหนูสี่มิยอมไปแล้วคุณหนูใหญ่เรียกหลูผิงมา คุณหนูสี่จะโดนโบยนะเจ้าคะ”
ไป๋จิ่นจื้อตาแดงก่ำ โดนไป๋จิ่นถงลากออกไปด้านนอก นางเดินออกไปแต่ยังคงเถียงไม่หยุด “ข้าไม่ยอมรับ! ไม่ยอมรับ! คนจากตระกูลบรรพบุรุษเห็นว่าตระกูลไป๋ของเราเหลือเสียงสตรีที่เป็นหม้าย และเด็กกำพร้าจึงมาปล้นเราเช่นนี้!”
สีหน้าของท่านชายบุตรของอนุทั้งสองประเดี๋ยวคล้ำประเดี๋ยวซีดเผือด ก้มหน้างุดไม่เอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น
“ท่านลุงจะกล่าวต่อหรือไม่เจ้าคะ หากไม่กล่าว ข้ากับท่านแม่จะไปเฝ้าวิญญาณที่ห้องโถงทำพิธีแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างเนิบๆ
หญิงสาวต้องการบังคับให้ไป๋ฉีอวิ๋นขอขมาต่งซื่อให้ได้
ต่งซื่อจัดเครื่องแต่งกายของตัวเองให้เรียบร้อย “ชิงเหยียน พวกเราไปกันเถิด!”
ไป๋ฉีอวิ๋นหน้าเสีย ยกมือคาราวะต่งซื่อ “ฮูหยินซื่อจื่อโปรดอภัยด้วยขอรับ!”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองทางต่งซื่อแวบหนึ่ง กล่าวขึ้น “ท่านแม่ เรื่องของตระกูลบรรพบุรุษถือเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อท่านลุงร้อนใจจนไม่อาจไปเคารพศพท่านปู่ ท่านพ่อและบรรดาท่านอาก่อนได้ เช่นนั้นเราก็มาคุยเรื่องนี้กันก่อนเถิดเจ้าค่ะ เมื่อคุยจบแล้ว เชิญท่านลุงไปจุดธูปเคารพศพท่านปู่ ท่านพ่อและท่านอาของข้าอย่างเคารพด้วยนะเจ้าคะ”
ท่านชายบุตรอนุทั้งสองได้ยินเช่นนี้จึงรีบกล่าวขึ้น “แน่นอนอยู่…แน่นอนอยู่แล้ว!”
“ท่านแม่ ในเมื่อท่านลุงทั้งสามไม่ได้มาเพื่อเคารพศพ แต่มาเพื่อขอเงินไปซ่อมแซมหอบรรพชน สุสานบรรพชน สำนักศึกษา แล้วยังต้องการซื้อที่นาแจกจ่ายคนในตระกูลอีก! เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านลุงกล่าวว่ามิอาจลดวัสดุในการทำป้ายสุสานได้ เช่นนั้นหมายความว่าท่านต้องการซ่อมแซมวัดของบรรพชนด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ต่งซื่อหันไปมองไป๋ชิงเหยียน ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของบุตรสาว จึงตัดสินใจลอบสังเกตการณ์อยู่นิ่งๆ ไปก่อน
———————————————
[1] ซิ่วไฉ เป็นการสอบรอบที่หนึ่งในระดับอำเภอ โดยจะดำเนินการสอบโดยขุนนางประจำอำเภอต่างๆ ต้องผ่านการสอบรอบนี้จึงจะสามารถสอบขุนนางขั้นต่อๆ ไปได้