ตอนที่ 105 อับอายขายหน้าคนทั่วแคว้น
ท่านชายบุตรอนุจากซั่วหยางที่ยืนอยู่ทางด้านขวาของไป๋ฉีอวิ๋นกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม เมื่อกล่าวจบก็รีบเอื้อมมือไปดึงแขนไป๋ฉีอวิ๋น เขาอยากถือโอกาสนี้พาไป๋ฉีอวิ๋นหลบหนีไปจากที่นี่ อย่างไรสียชื่อเสียงของตระกูลก็สำคัญมากกว่าเงินทอง พวกเขาทำผิดก่อน หากยังเผชิญหน้ากันต่อไปเช่นนี้เรื่องอาจจะแดงขึ้นมาได้
ไป๋จิ่นจื้อเข้าไปขวางทางทั้งสามคนไว้อย่างรวดเร็ว กัดฟันกรอด ตะคอกเสียงดัง “ตอนนี้ทำเป็นอ้างว่าไม่กล้ารับความหวังดี! เมื่อครู่คนที่ข่มขู่ให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้านำเงินสี่แสนห้าหมื่นตำลึงมามอบให้ภายในวันพรุ่งนี้มิใช่พวกท่านหรอกหรือ! พวกท่านบีบให้พวกเราใช้เงินซื้อทางรอดมิใช่หรือ! เอาแต่พร่ำบอกว่าท่านปู่ของข้าเป็นคนมีคุณธรรมเพื่อต้องการสื่อว่าสตรีของจวนเจิ้นกั๋วกงอกตัญญู ใส่ร้ายตระกูลบรรพบุรุษ ท่านคิดว่าข้าโง่จนฟังไม่ออกหรืออย่างไร! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านกล้าสาบานต่อหน้าดวงวิญญาณของท่านปู่หรือไม่ว่าพวกท่านไม่เคยบังคับข่มขู่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ หากพวกท่านกล้าสาบาน วันนี้ข้า ไป๋จิ่นจื้อจะยอมตายเพื่อใช้ชดความผิดที่ล่วงเกินตระกูลบรรพบุรุษเอง พวกท่านกล้าหรือไม่!”
ท่านชายที่มาจากซั่วหยางทั้งสามคน ผู้ใดจะกล้าสาบานกันเล่า!
สิ้นเสียงตวาดอย่างโมโหของไป๋จิ่นจื้อ ม้าที่ควบม้าอย่างเร็วถูกกระตุกบังเหียนให้หยุดลงที่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง
เซียวหรงเหยี่ยนในชุดเสื้อคลุมสีขาวกระโดดลงมาจากหลังม้า ส่งแส้ม้าให้องครักษ์ติดตาม จัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบอยู่หน้าประตูจวน จากนั้นก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดของจวนเจิ้นกั๋วกง
เซียวหรงเหยี่ยนเดินเข้ามาในจวนอย่างสงบนิ่ง ทำความเคารพศพอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงหันไปโค้งกายทำความเคารพต่งซื่อ
ต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพกลับ ไม่รอให้เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวสิ่งใด ไป๋ชิงเหยียนชิงกล่าวขึ้นก่อน “เซียวเซียนเซิงคงได้พบพ่อบ้านของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านต้องการซื้อกิจการและที่ดินทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วกงหรือไม่เจ้าคะ ตระกูลบรรพบุรุษค่อนข้างใจร้อน ต้องการเงินภายในวันพรุ่งนี้ ข้ากับมารดาไตร่ตรองดูแล้ว…ผู้ที่สามารถรวบรวมเงินจำนวนห้าหกหมื่นตำลึงมาได้ภายในคืนเดียวคงมีเพียงแค่พ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างเซียวเซียนเซิงเท่านั้นเจ้าค่ะ! เดิมทีอยากรอให้ท่านตอบตกลงก่อนจึงจะให้พ่อบ้านกับผู้ดูแลนำสัญญาไปให้ท่าน นึกไม่ถึงเลยว่าเซียวเซียนเซิงจะมาด้วยตัวเองเช่นนี้”
เซียวหรงเหยี่ยนมองดูไป๋ชิงเหยียนเอ่ยพูดอย่างไม่รีบร้อนด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ชายหนุ่มยื่นมือไปทางด้านหลัง ผู้ติดตามรีบยื่นกล่องไม้สีแดงที่สลักอย่างประณีตและดูมีราคาส่งให้เซียวหรงเหยี่ยน
เซียวหรงเหยี่ยนประคองกล่องไว้ในมือ น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าวขึ้นช้าๆ “ความจงรักภักดีของตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วหล้า ข้าชื่นชมในความจงรักภักดีของจวนเจิ้นกั๋วกงมาก ข้าเป็นเพียงพ่อค้าฐานะต้อยต่ำ สิ่งที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้ก็มีเพียงวัตถุนอกกายเหล่านี้เท่านั้น นี่คือตั๋วเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากโรงเงินฮุ่ยทง เพิ่งประทับตราออกมา หากไม่พอ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำมาให้อีกสองร้อยล้านตำลึง!
ฮูหยินซื่อจื่อและคุณหนูใหญ่ไป๋เชิญบอกมาได้เลยขอรับ มากกว่านี้ข้าก็หามาให้ได้ขอรับ!”
ร่างสูงสง่าของเซียวหรงเหยี่ยนยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงของโคมไฟและเปลวเทียวที่สะบัดพลิ้วไปมาในห้องโถงทำพิธีศพของตระกูลไป๋
แสงเทียนที่มีอยู่เต็มห้องส่องกระทบใบหน้าที่รูปงามสมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม ดวงตาที่ลึกล้ำราวกับบ่อน้ำลึกเป็นประกายระยิบระยับเพราะแสงสะท้อนของเปลวเทียน กิริยาท่าทางดูอบอุ่นและสูงส่งยิ่งนัก
ไป๋ชิงเหยียนรู้อยู่แล้วว่าหากหยิบยื่นโอกาสไปให้เซียวหรงเหยี่ยน เซียวหรงเหยี่ยนมีแต่จะทำให้มันดียิ่งกว่าที่นางคาดคิด
การปฏิบัติต่อสตรีจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างนอบน้อมเช่นนี้ เขาได้แสดงความร่ำรวยของตัวเอง อีกทั้งยังได้ชื่อเสียงที่ดีงามอีกด้วย
ได้ยินชาวบ้านพากันวิจารณ์ว่าเซียวหรงเหยี่ยนมีคุณธรรมสูงส่ง ดวงตาของหญิงสาวเคร่งขรึมลงยิ่งกว่าเดิม
หลังจากวันนี้เป็นต้นไป สมญานามพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าของเซียวหรงเหยี่ยนก็เป็นที่แน่นอนแล้ว ทั้งยังพ่วงด้วยชื่อเสียงพ่อค้าที่มีคุณธรรมอีกด้วย
ต่งซื่อย่อกายลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ “ขอบคุณเซียวเซียนเซิงที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเจ้าค่ะ จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นหนี้บุญคุณเซียวเซียนเซิง ทว่าการค้าย่อมมีการแลกเปลี่ยน ทำตามกฎเถิดเจ้าค่ะ เซียวเซียนเซิงให้พ่อบ้านผู้ดูแลมาตรวจสอบกิจการร้านค้าและที่ดินของจวนเจิ้นกั๋วกงกับผู้ดูแลบัญชีของจวนเราได้เลยเจ้าค่ะ ควรให้เท่าใดก็เท่านั้น! พวกเราจะไม่เอาเงินของเซียวเซียนเซิงเพิ่มแม้แต่ตำลึงเดียวเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินซื่อจื่อ…”
ต่งซื่อยกมือขึ้นสื่อไม่ให้เซียวเซียนเซิงกล่าวโน้มน้าวอีก สีหน้าอ่อนโยน “เซียวเซียนเซิงยื่นมือเข้าช่วยเหลือในตอนที่จวนเจิ้นกั๋วกงกำลังเผชิญกับปัญหาก็มากพอแล้วเจ้าค่ะ! ทุกคนในจวนเจิ้นกั๋วกงซาบซึ้งในบุญคุณครั้งนี้ ทว่าจวนเรามีกฎของตระกูลที่เคร่งครัด ต่อให้จะยากจนข้นแค้นสักเพียงใดก็จะมิรับเงินของชาวบ้านแม้แต่แดงเดียว! จวนเจิ้นกั๋วกงมิอาจทำผิดกฎของตระกูลได้ ขอทะนงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีเจ้าค่ะ! อีกอย่างจวนเจิ้นกั๋วกงยังมีสตรีอย่างพวกข้าอยู่ มิได้อับจนหนทางถึงเพียงนั้นเจ้าค่ะ”
เซียวหรงเหยี่ยนโค้งคำนับขอขมาต่งซื่อ “ข้าเลอะเลือนเองขอรับ แม้บุรุษของจวนเจิ้นกั๋วกงจะเสียชีวิตในสนามรบหมดแล้ว ทว่าความทะนงในศักดิ์ศรีของจวนเจิ้นกั๋วยังคงอยู่ ข้านับถือมากขอรับ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำตามที่ฮูหยินซื่อจื่อกล่าวมาเถิดขอรับ…”
“ทว่า…” เซียวหรงเหยี่ยนกวาดสายตามองไปยังท่านชายจากซั่วหยางที่โดนไป๋จิ่นจื้อขวางทางไว้ทั้งสามคน เอ่ยขึ้น “ในเมื่อท่านชายทั้งสามของตระกูลบรรพบุรุษจากซั่วหยางรีบร้อนถึงเพียงนี้ ให้ตั๋วเงินพวกเขาไปก่อนก็ได้ขอรับ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ของจวนเจิ้นกั๋วกงคือพิธีศพ จัดพิธีศพให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นค่อยตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดก็ได้ ฮูหยินซื่อจื่อคิดเช่นไรขอรับ”
“เซียวเซียนเซิงช่างมีน้ำใจยิ่งนัก จวนเจิ้นกั๋วกงรู้สึกซาบซึ้งมากเจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนคำนับขอบคุณเสร็จจึงกล่าวขึ้น “ท่านแม่ เรื่องการตรวจสอบบัญชีคงต้องตรวจสอบกันอีกหลายวัน ในเมื่อพวกเรารับปากกับท่านลุงทั้งสามคนไว้แล้วว่าจะรวบรวมให้ครบภายในวันพรุ่งนี้ ก็มิอาจผิดสัญญาได้เจ้าค่ะ บัดนี้จวนเจิ้นกั๋วกงกำลังจัดพิธีศพ ไม่มีเวลาว่าง ในเมื่อเซียวเซียนเซิงเชื่อใจจวนเจิ้นกั๋วกง เช่นนั้นก็ให้เซียวเซียนเซียงมอบเงินจำนวนสี่แสนห้าหมื่นตำลึงให้ท่านลุงทั้งสามไปก่อน เมื่อเสร็จพิธีศพ พวกเราค่อยมาตรวจบัญชีกันภายหลัง”
ต่งซื่อพยักหน้า “เช่นนั้นก็รบกวนเซียวเซียนเซิงด้วยนะเจ้าคะ”
เซียวหรงเหยี่ยนยื่นกล่องไม้ในมือให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง องครักษ์หยิบตั๋วเงินแสนตำลึงจำนวนสี่ใบและตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงจำนวนห้าใบออกมาจากกล่อง มือหนึ่งถือกล่องไม้ใส่ตั๋วเงิน มือหนึ่งถือตั๋วเงินเดินไปหยุดอยู่หน้าไป๋ฉีอวิ๋น ยื่นตั๋วเงินในมือส่งให้เขาด้วยท่าทีสบายๆ
ไป๋ฉีอวิ๋นไม่ใช่คนโง่ หากเขารับเงินสี่แสนห้าหมื่นตำลึงนี้ในภายหลังก็มิเป็นอันใด ทว่า เกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ แขกที่มาเคารพศพและชาวบ้านต่างรับรู้กันทั่วว่าตระกูลบรรพบุรุษบีบให้สตรีจวนเจิ้นกั๋วกงขายทรัพย์สมบัติของตระกูลเพื่อรวบรวมเงินให้พวกเขา บัดนี้มีพ่อค้านำเงินมาให้จวนเจิ้นกั๋วกง หากเขารับเงินนี้ไว้ตอนนี้ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋คงอับอายขายหน้าคนทั่วแคว้นจริงๆ
ไป๋จิ่นจื้อกล่าวเหน็บแนมไป๋ฉีอวิ๋น “ท่านลุง ตั๋วเงินมาแล้ว เหตุใดท่านไม่กล้ายื่นมือไปรับตั๋วเงินเล่าเจ้าคะ ท่านคงมิได้กลัววิญญาณท่านปู่ของข้าหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ หรือท่านปู่ของข้ามิได้รับปากว่าจะช่วยเหลือท่าน ท่านเพียงแค่กุเรื่องพวกนี้ขึ้นเพื่อหวังปล้นทรัพย์สมบัติของจวนเจิ้นกั๋วกงกันเจ้าคะ!”
ไป๋ฉีอวิ๋นอดนึกถึงเรื่องที่เปลวเทียนสะบัดแกว่งไปมาทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัด รวมถึงธูปที่หักถึงสองครั้งขึ้นมาไม่ได้ ฝ่ามือของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อ
ไป๋จิ่นซิ่วที่คุกเข่าอยู่หน้าพิธีมาโดยตลอดเอ่ยขึ้น “ท่านลุงลังเลเช่นนี้ หรือเรื่องที่น้องหญิงสี่ของข้ากล่าวเป็นความจริงเจ้าคะ ท่านลุงกลัวว่าหากรับเงินก้อนไปโดยไม่รู้จักผิดชอบดีเช่นนี้ วิญญาณของท่านปู่จะตามไปคิดบัญชีกับท่านในตอนกลางคืนหรืออย่างไรเจ้าคะ”
ไป๋ฉีอวิ๋นหวาดกลัวจนถอยหลังหนี ฝืนทำเป็นเข้มแข็ง “เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลอันใด! นี่…เดิมทีเราตกลงเรื่องนี้กันไว้นานแล้ว!”
แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่า ไป๋ฉีอวิ๋นก็ไม่กล้ายื่นมือไปรับตั๋วเงินเสียที เขามีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
กลายเป็นท่านชายบุตรอนุซึ่งยืนอยู่ด้านหลังไป๋ฉีอวิ๋นกัดฟันเดินไปข้างหน้า ยื่นมือทั้งสองข้างไปรับตั๋วเงินมา