ตอนที่ 106 บุญคุณ
“หวังว่าเมื่อตระกูลบรรพบุรุษรับเงินไปแล้ว จะปล่อยให้สตรีแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่กันอย่างสงบสุขนะเจ้าคะ!” ไป๋ชิงเหยียนถอนหายใจยาว “ฟ้ามืดแล้ว ให้คนพาให้ท่านลุงทั้งสามไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ! หลังจากเสร็จพิธีศพของจวนเจิ้นกั๋วกง มารดาของข้าจะให้คนคุ้มครองส่งท่านลุงทั้งสามกลับซั่วหยาง!”
ไป๋จิ่นจื้อได้ยินก็ถลาไปด้านหน้าอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “พี่หญิงใหญ่! พวกเขาปฏิบัติต่อจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นนี้…”
“จวนเจิ้นกั๋วกงยอมโดนใต้หล้ารังแก แต่จะมิยอมรังแกใต้หล้าเด็ดขาดนี่คือคุณธรรม!”
ไป๋ฉีอวิ๋นเกลียดจนอยากฉีกเนื้อทุกคนในจวนเจิ้นกั๋วกงออกเป็นชิ้นๆ เขาจะกล้าอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงต่อได้อย่างใดกัน
“มิ…มิต้องหรอก พวกข้ามีที่พักแล้ว!” ไป๋ฉีอวิ๋นจับมือญาติผู้น้องซึ่งเป็นบุตรอนุแน่นเตรียมเดินจากไป
“ท่านลุงเจ้าคะ แม้ว่าซั่วหยางจะมิไกลจากเมืองหลวงมาก แต่ก็มิได้ใกล้สักเท่าใด ท่านลุงนำเงินสี่แสนห้าหมื่นตำลึงกลับไปเช่นนี้เกรงว่าอาจจะไม่ปลอดภัย จวนเจิ้นกั๋วกงจัดพิธีศพอยู่ไม่มีกำลังคนมากพอที่จะแบ่งไปคุ้มครองท่านลุงทั้งสามกลับซั่วหยาง เพื่อความปลอดภัยแล้วท่านลุงรอให้เสร็จพิธีศพก่อนดีหรือไม่เจ้าค่ะ จวนเจิ้นกั๋วกงจะได้ให้คนคุ้มครองส่งท่านทั้งสามกลับซั่วหยางอย่างปลอดภัย”
“พี่หญิงใหญ่!” ไป๋จิ่นจื้อโมโหจนตาแดงฉาน เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
ไม่รอให้ไป๋ฉีอวิ๋นกล่าว ท่านชายบุตรอนุที่เป็นคนรับตั๋วเงินรีบเอ่ยขึ้น
“พวกข้ามาเพื่อเคารพศพ และมาเพื่อเรื่องที่ท่านกั๋วกงรับปากเอาไว้ ต้องอยู่รอจนกว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะทำพิธีเสร็จแล้วค่อยเดินทางกลับอยู่แล้วขอรับ! ทว่าพวกข้าคงมิกล้ารบกวนให้คนคุ้มครองส่งกลับหรอกขอรับ มิเช่นนั้นพวกข้าคงรู้สึกผิดมากกว่าเดิม”
ในเมื่อกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว ไป๋ชิงเหยียนจึงพยักหน้ารับสั่งให้คนเชิญเซียวหรงเหยี่ยนไปจิบน้ำชาที่โถงรับรองด้านในเพื่อแสดงความขอบคุณ
ไป๋ฉีอวิ๋นและท่านชายอีกสองท่านเดินจากไปท่ามกลางสายตาของชาวบ้าน
ชาวบ้านที่ห้อมล้อมอยู่อดรู้สึกไม่ได้ว่าไป๋ชิงเหยียนอ่อนแอเกินไป
“แม้จะกล่าวว่ายินยอมให้ใต้หล้ารังแก แต่จะมิยอมรังแกใต้หล้า ทว่าตระกูลไป๋บรรพบุรุษไป๋ทำตัวเลวทรามเช่นนี้กับจวนเจิ้นกั๋วกง คุณหนูใหญ่ไป๋กล้าบีบให่ฮ่องเต้ประหารซิ่นอ๋อง เหตุใดพอเผชิญหน้ากับตระกูลบรรพบุรุษจึงอ่อนแอถึงเพียงนี้กัน”
ชาวบ้านซึ่งถือโคมไฟเดินจับกลุ่มกันกลับจวนวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างต่างนานา
“เหตุใดจึงอ่อนแอนะหรือ! อยู่ใต้ชายคาบ้านผู้อื่น จำเป็นต้องก้มหัวน่ะสิ ไม่ได้ยินที่ฮูหยินซื่อจื่อกล่าวหรืออย่างใด สตรีของจวนเจิ้นกั๋วกงจะย้ายกลับไปอยู่ที่ซั่วหยางหลังจากเสร็จพิธีศพ จะทำเช่นใดได้ พวกนางเป็นเพียงหญิงหม้าย และเด็กสาวกำพร้าพ่อจะแข็งข้อกับตระกูลบรรพบุรุษได้อย่างใดกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ สตรีกลางคนที่ใจอ่อนผู้หนึ่งน้ำตาซึมด้วยความสงสาร
“จวนเจิ้นกั๋วกงมีแต่ความจงรักภักดี เหตุใดถึงมีจุดจบเช่นนี้กัน หากท่านกั๋วกงทราบคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่!”
“ก็ตายตาไม่หลับน่ะสิ! เมื่อครู่…ตอนที่ผู้อื่นปักธูปก็ยังดีๆ อยู่เลย แต่พอท่านชายของตระกูลบรรพบุรุษจากซั่วหยางปักธูป ธูปก็หักเป็นสองท่อน สองครั้งเลยนะ! เปลวไฟจากเทียนสะบัดไปมาทั้งๆ ที่ไม่มีลม วิญญาณท่านกั๋วกงสำแดงฤทธิ์อย่างใดเล่า!”
“โอ้ย! ฟ้ามืดเช่นนี้ เหตุใดเจ้าต้องกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วย พิลึกคนจริงๆ!”
“กลัวอันใด จวนเจิ้นกั๋วกงเสียชีวิตเพื่อปกป้องชาวบ้านอย่างพวกเรา ตายไปแล้วเขาจะเป็นวิญญาณมาทำร้ายพวกเราหรืออย่างใด! ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังคงปกป้องคุ้มครองพวกเราอยู่ดี ปีศาจร้ายตนใดก็ไม่มีทางทำร้ายพวกเราได้หรอก”
ฟ้าค่อยๆ มืดสนิทลง ถนนสายยาวที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดง และเป็นถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวงถูกหมอกขาวปกคลุมทั่วทั้งถนน มองเห็นได้ลางๆ ว่าชาวบ้าน พ่อค้าล้วนเปลี่ยนโคมไฟเป็นสีขาว คงเป็นเพราะต้องการไว้อาลัยให้ดวงวิญญาณวีรบุรุษของจวนเจิ้นกั๋วกงที่พลีชีพเพื่อชาวบ้าน
โคมไฟสีขาวที่แขวนอยู่ตามระเบียงทางเดินยาวของจวนเจิ้นกั๋วกงแกว่งไปมาตามแรงพัดของสายลม
ไม่นานหิมะก็ตกลงมาราวกับเศษเกลือป่น หล่นกระทบลงบนโคมไฟ และผ้าไหมสีขาว เกิดเป็นเสียงดังเปาะแปะขึ้น
ต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่ในโถงรับรอง อธิบายกับเซียวหรงเหยี่ยนอย่างชัดเจนว่าจวนเจิ้นกั๋วกงขอยืมใช้เพียงแค่ชื่อของเขาเท่านั้น
“ครานี้จวนเจิ้นกั๋วกงติดหนี้บุญคุณเซียวเซียนเซิงหนึ่งครั้งนะเจ้าคะ รบกวนเซียวเซียนเซิงร่วมแสดงละครฉากนี้กับจวนเจิ้นกั๋วกงจนจบได้หรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงของต่งซื่อดังขึ้นเนิบๆ
เซียวหรงเหยี่ยนวางถ้วยน้ำชาในมือลง กล่าวอย่างจริงจัง “ฮูหยินซื่อจื่อยกย่องข้าเกินไปแล้วขอรับ แม้ข้าจะโง่เขลาไปบ้างแต่ก็รู้ดีว่าคุณหนูใหญ่ไป๋มองแผนการของข้าออกจึงหยิบยื่นโอกาสให้ข้าใช้จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมาย”
“บัณฑิต กสิกร กรรมกร พ่อค้าวาณิชย์ พ่อค้ามักโดนดูถูกมากที่สุด จวนเจิ้นกั๋วกงมิเคยดูถูกฐานะของข้าแต่กลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ข้าซาบซึ้งใจนักขอรับ หวังว่าฮูหยินซื่อจื่อและคุณหนูใหญ่ไป๋จะเปิดโอกาสให้ข้าได้ตอบแทนบุญคุณบ้าง”
สิ่งที่ทำให้คนทุกคนบนโลกเห็นค่ามีเพียงของสามสิ่งเท่านั้น หนึ่งคืออำนาจ สองคือชื่อเสียง สามคือเงินทอง ทั้งสามสิ่งนี้มักจะมาด้วยกันเสมอ
มีอำนาจอยู่ในมือจึงจะได้มาซึ่งเงินทองและชื่อเสียง
ชื่อเสียงสามารถสร้างอำนาจและเงินทองได้
เงินทองสามารถสร้างอำนาจและชื่อเสียงได้
ในสามสิ่งนี้สิ่งที่ได้มาง่ายที่สุดคือเงินทอง รองมาคืออำนาจ ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ได้มายากที่สุด…
ในเมื่อเซียวหรงเหยี่ยนต้องการใช้ชื่อเสียงความเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งในใต้หล้าเดินทางไปทั่วทุกแคว้น ต้องการได้รับเกียรติจากขุนนางผู้สูงศักดิ์หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิของทุกแคว้น ชายหนุ่มก็ต้องทำให้ชื่อเสียงของตัวเองไปอยู่ในจุดสูงสุด เมื่อมีชื่อเสียงไม่ว่าเซียวหรงเหยี่ยนจะเดินทางไปยังแคว้นใด เขาจะได้ไม่ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้บุคคลสูงศักดิ์เหล่านั้น แค่มีบัตรเชิญก็สามารถเข้าพบคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
ความจริงครานี้ที่เซียวหรงเหยี่ยนอ้างเรื่องความจงรักภักดีเข้ามาพัวพันกับจวนเจิ้นกั๋วกงก็เพราะต้องการตอกย้ำชื่อเสียงเรื่องความร่ำรวยของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
ไป๋ชิงเหยียนหยิบยื่นโอกาสในการยืนอยู่เหนือตระกูลไป๋ โอกาสในการสร้างชื่อเสียงอันดีงามให้แก่เซียวหรงเหยี่ยน สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อชายหนุ่มในการติดต่อ สร้างความสัมพันธ์กับทุกแคว้นในภายภาคหน้าเป็นอย่างมาก ด้วยสติปัญญาของเซียวหรงเหยี่ยนแล้ว ชายหนุ่มต้องเข้าใจเป็นอย่างดี
ต่งซื่อมองดูบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่ใต้แสงไฟ ดวงตาของเขาสงบนิ่งและล้ำลึก ใบหน้าถูกแสงจากเปลวไฟส่องกระทบทำให้ยิ่งดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้น แม้เป็นพ่อค้า แต่มิได้อวดเบ่งความร่ำรวยเลยสักนิด ท่าทีสง่างาม สุภาพทั้งวาจาและการกระทำ น้ำเสียงสุขุมนุ่มนวล ทำให้คนรู้สึกประทับใจยิ่งนัก
ต่งซื่อกำเตาอุ่นมือแน่น ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ มองไปทางเซียวหรงเหยี่ยนพลางพยักหน้าน้อยๆ
เซียวหรงเหยี่ยนเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง แม้ดวงตาที่ลึกล้ำราวกับบ่อน้ำลึกคู่นั้นจะทำให้คนมองไม่เห็นถึงก้นบึ้ง ทว่า ต่งซื่อสัมผัสได้ว่าตอนที่เซียวหรงเหยี่ยนสนทนากับนาง ชายหนุ่มมิได้มีสิ่งใดปกปิด เขาเปิดเผยตรงไปตรงมา รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของจวนเจิ้นกั๋วกงจริงๆ
ต่งซื่อไม่ได้หวังจะได้รับการตอบแทนใดๆ จากเซียวหรงเหยี่ยนในภายภาคหน้า นางแค่ชอบคบหา สนทนากับคนฉลาด เช่นนี้จะไม่ไม่สิ้นเปลืองแรงและเวลา
“ต้องขอบคุณที่เซียวเซียนเซิงช่วยรั้งซิ่นอ๋องให้ตอนอยู่ที่ประตูเมืองทิศใต้ด้วยเจ้าค่ะ แถมวันนี้ยังช่วยชีวิตสตรีจวนเจิ้นกั๋วกงไว้อีก” ต่งซื่อมองดูหิมะที่ตกอยู่ทางด้านอก “หิมะตกถนนลื่น เซียวเซียนเซิงเดินกลับอย่างระมัดระวังนะเจ้าคะ อีกสามวัน จวนเจิ้นกั๋วกงจะนำเงินสี่แสนห้าหมื่นตำลึงไปคืนเจ้าค่ะ ชิงเหยียน ส่งเซียวเซียนเซิงด้วย…”
เซียวหรงเหยี่ยนลุกขึ้นยืนทำความเคารพต่งซื่ออย่างนอบน้อม จากนั้นเดินตามไป๋ชิงเหยียนออกไปจากโถงรับรอง
“เซียวเซียนเซิงค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ…” ไป๋ชิงเหยียนย่อกายเคารพ
ท่ามกลางแสงไฟตรงระเบียงทางเดินที่ทอดยาว สาวใช้ถือโคมไฟเดินนำทางอยู่ด้านหน้า เซียวหรงเหยี่ยนเดินเคียงคู่ไปกับไป๋ชิงเหยียน ชุนเถาและบรรดาสาวใช้รวมถึงองครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนเดินตามหลังคนทั้งคู่อยู่ไม่ไกลนัก
ไร้เสียงสนทนาตลอดทาง สุดท้ายเซียวหรงเหยี่ยนจึงกล่าวขึ้นก่อน
“ยอมโดนใต้หล้ารังแก แต่จะมิยอมรังแกใต้หล้า ถ้อยคำนี้…เกรงว่าคงรู้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้ทรงต้องตัดสินพระทัยเรื่องซิ่นอ๋องภายในวันมะรืนแน่นอนขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด
จวนเจิ้นกั๋วกงแสดงเจตจำนงว่าจะย้ายกลับไปที่ซั่วหยางให้ฮ่องเต้ได้ประจักษ์แล้ว
———————————————
[1] อยู่ใต้ชายคาบ้านผู้อื่น จำเป็นต้องก้มหัว หมายถึง เมื่อคนเรามีอำนาจบารมีไม่เท่ากับผู้อื่นหรือต้องการพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ทางที่ดีควรก้มหัวให้แก่พวกเขา มิเช่นนั้นอาจนำภัยมาสู่ตัว