ตอนที่ 136 เป็นตายไปพร้อมกัน
บ่าวรับใช้ซึ่งขี่ม้าเร็วเข้ามาไม่ต้องการเป็นที่สะดุดตาของทุกคนจึงลงจากหลังม้าจากที่ไกลๆ จากนั้นเดินไปหยุดอยู่ทางด้านหลังไป๋ชิงเหยียนอย่างรีบร้อน เอ่ยเสียงเบา
“คุณหนูใหญ่ บ่าวรับใช้ชายของเหลียงอ๋องมาแล้วขอรับ ให้ทองจำนวนมากแก่หญิงชราเฝ้าประตูเพื่อให้นางไปเรียกชุนเหยียนออกมาพบขอรับ! หญิงชรารอยู่ที่จวน ถงหมัวมัวสั่งให้บ่าวขี่ม้าเร็วมาถามคุณหนูใหญ่ว่าควรจัดการอย่างไรดีขอรับ”
มาจริงๆ ด้วย…
นางรู้อยู่แล้วว่าเหลียงอ๋องทนไม่ไหว เขาต้องลงมือในวันที่จวนเจิ้นกั๋วกงกำลังวุ่นวายกับพิธีเคลื่อนขบวนศพอย่างแน่นอน
หญิงสาวประสานมือไว้ที่หน้าท้อง หยัดกายตรงมองไปทางป้ายหลุมศพของท่านปู่ ท่านพ่อและบุรุษตระกูลไป๋คนอื่นๆ จากนั้นเอ่ยขึ้นช้าๆ
“หากคนของเหลียงอ๋องไม่พบชุนเหยียน เขาไม่มีทางกลับไปหรอก บอกถงหมัวมัวว่าไม่ต้องรีบร้อน เมื่อคนตระกูลไป๋และชาวบ้านที่ไปส่งวิญญาณเดินมาถึงถนนของเมืองหลวง ถงหมัวมัวค่อยให้หญิงชราเฝ้าประตูไปแจ้งชุนเหยียนว่าถงจี๋รอพบนางอยู่นอกจวน หากพวกเขาเพียงแค่สนทนากัน ก็สั่งให้คนจับตาดูว่าพวกเขากล่าวสิ่งใดบ้าง หากพวกเขาแลกของสิ่งใดกัน จงจับตัวพวกเขาต่อหน้าทุกคนจากนั้นพาตัวมาให้องค์หญิงใหญ่และคนตระกูลไป๋”
“ขอรับ!” บ่าวรับใช้รับคำ หันไปคำนับหลุมศพสามครั้งแล้วจากไปอย่างเร็ว
อีกห้าวัน ไป๋จิ่นถงก็จะจากไปแล้ว นางรู้สึกไม่สบายใจ
“พี่หญิงใหญ่ อีกห้าวันข้าก็จะไปจากที่นี่แล้ว ข้ารู้สึกไม่สบายใจ กลัวว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่…”
“มิต้องกลัว ที่จวนมีท่านแม่ของพี่อยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอก” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
ขอแค่วันนี้จัดการเหลียงอ๋องได้สำเร็จ ตระกูลไป๋ก็จะไม่มีเรื่องเลวร้ายอันใดอีกแล้ว
ไป๋จิ่นถงเงยหน้ามองไปยังต่งซื่อที่ยืนน้ำตาคลออยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคนอย่างสงบนิ่ง
หลิวซื่อ หลี่ซื่อ ฉีซื่อร้องไห้จนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน หวังซื่อยืนตาเลื่อนลอยราวกับคนไร้วิญญาณไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ทว่า ต่งซื่อกลับยืนหลังตรง สงบนิ่งและมั่นคง
นึกถึงหลายวันที่ผ่านมา ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ดูแลประคับประคองตระกูลไป๋ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เมื่อเผชิญกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่ ตระกูลไป๋สับสนวุ่นวายไปหมด ทว่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กลับรับมือกับทุกอย่างอย่างมีสติ จัดการเรื่องทุกเรื่องได้อย่างเหมาะสมเรียบร้อย นางยังต้องกังวลสิ่งใดอีก!
ต่งชิงเยว่นำบรรดาแม่ทัพขุดหลุมฝังร่างของบุรุษตระกูลไป๋ผู้จงรักภักดีด้วยตัวเอง เขาปักจอบลงไปในดินที่แข็งราวกับน้ำแข็ง มองดูป้ายหลุมศพของเจิ้นกั๋วกงไป๋เวยถิง เอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา
“สวมเกราะไว้บนร่าง สู้รบกับศัตรูร่วมกับทุกคน…”
บทเพลงประจำกองทัพไป๋!
สวมเกราะไว้บนร่าง สู้รบกับศัตรูร่วมกับลูกชาย เมื่อได้ยินสองประโยคนี้ ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกขมขื่นในใจ ความเจ็บปวดทรมานถาโถมเข้าใส่ ดวงตาของหญิงสาวพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา
“จับดาบที่ใช้ฆ่าฟันศัตรูแน่น เป็นตายไปพร้อมกับทุกคน…”
เหล่าทหารเริ่มทยอยร้องตามต่งชิงเยว่เปลี่ยนความโศกเศร้าให้กลายเป็นเสียงเพลงที่น่าประทับใจ เปล่งเสียงร้องตะโกนออกมา
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางน้าชายของตัวเอง น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาไหลทะลักออกมาเป็นสาย
“ปกป้องแผ่นดิน คุ้มครองชาวบ้าน นักรบผู้กล้าต้องไม่หวาดกลัว ไม่ตายจะไม่ยอมถอดเกราะ บุรุษคนดีของแคว้น…”
ไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถงที่เดิมทียังควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว
บทเพลงที่พวกนางได้ยิน และฝึกร้องมาตั้งแต่เกิด เมื่อร้องออกมาพร้อมกันเช่นนี้ทำให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในสงคราม นึกย้อนไปถึงค่ำคืนก่อนออกรบที่ทุกคนสวมชุดเกราะยืนสาบานว่าหากไม่ตายจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
มือที่ถือไม้เท้าหัวพยัคฆ์ขององค์หญิงใหญ่สั่นเทาจนถือไม้เท้าไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลพราก…
หากไม่ตายจะไม่ยอมถอดเกราะเด็ดขาด!
บุรุษทุกคนของตระกูลไป๋ทำได้อย่างที่กล่าว!
แม้กระทั่งเสี่ยวสือชี คุณชายคนเล็กสุดของตระกูลก็ทำได้!
ในโลกนี้ ผู้ใดจะจงรักภักดี ปกป้องบ้านเมือง คุ้มครองชาวบ้านได้มากเท่ากับตระกูลไป๋บ้าง
ตอนนี้เวลานี้ องค์หญิงใหญ่รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ครั้งหนึ่ง…เสด็จพี่เคยตรัสถามนางว่าบรรดาองค์ชายทั้งหมด ผู้ใดเหมาะจะครอบครองบัลลังก์ นางเสนอชื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นางรู้สึกว่าเขามีศีลธรรม เป็นคนใจกว้าง มีเมตตา นางนึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ฮ่องเต้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะกลายเป็นคนขี้หวาดระแวงเช่นนี้
รถม้าของตระกูลไป๋จอดรออยู่นานแล้ว บ่าวรับใช้ประคองเจ้านายที่ร้องไห้จนไม่มีแรงยืนขึ้นไปบนรถม้า ชาวบ้านเดินตามหลังรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วกง เสียงร้องไห้เบากว่าตอนมาเล็กน้อย
องค์หญิงใหญ่เอนกายพิงหมอนบนรถม้า น้ำตายังคงไม่หยุดไหล
เจี่ยงหมัวมัวที่น้ำตาอาบหน้ารินน้ำชาร้อนให้องค์หญิงใหญ่ กล่าวเตือน
“องค์หญิงใหญ่หยุดร้องไห้เถิดเพคะ เดี๋ยวจะปวดตานะเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หลับตาลงพลางส่ายหน้า เจ็บคอจนดื่มน้ำไม่ลง
ไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นถงและไป๋จิ่นจื้อนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกัน
ไป๋จิ่นจื้อไม่เคยไปออกรบพร้อมกับกองทัพ ไม่มีประสบการณ์ร่วมร้องเพลงนี้พร้อมกับเหล่าทหารทุกคน แม้รู้สึกปวดใจเมื่อได้ยินเพลงนี้ ทว่า คงเจ็บปวดไม่เท่าไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถง ที่เมื่อได้ยินเพลงนี้ก็เจ็บปวดลึกไปถึงขั้วกระดูกจนแทบจะขาดใจ
มองดูพี่สาวทั้งสามคนดวงตาแดงก่ำ หลับตาลงไม่กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น ไป๋จิ่นจื้อเจ็บปวดใจ
“พี่หญิงใหญ่…”
ไป๋ชิงเหยียนค่อยๆ ลืมตาขึ้น กล่าวกับไป๋จิ่นจื้อ
“พอถึงเมืองหลวง ฉินหมัวมัวและถงหมัวมัวจะเข้าจับกุมตัวชุนเหยียนที่ลอบนัดพบกับบ่าวรับใช้ชายของเหลียงอ๋อง หากพวกเขาสองคนแลกเปลี่ยนจดหมายแก่กัน เมื่อพวกเขาสารภาพทุกอย่างออกมาหมดสิ้น เสี่ยวซื่อ เจ้าจงแกะจดหมายฉบับนั้นแล้วอ่านออกมาต่อหน้าทุกคน”
“นางชั่วชุนเหยียนนั่นยังกล้าลอบติดต่อกับคนของจวนเหลียงอ๋องอีกหรือเจ้าคะ!” ไป๋จิ่นจื้อเดือดดาลถึงขีดสุด ต่อยไปบนหมอนนุ่มข้างกายอย่างแรง
”พี่หญิงใหญ่ไม่ควรไว้ชีวิตนางตั้งแต่แรกเจ้าค่ะ ควรจะโบยนางให้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นเลย!”
“พี่หญิงใหญ่เคยกล่าวว่าเก็บชุนเหยียนไว้ยังมีประโยชน์ เพื่อรอวันนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” ไป๋จิ่นซิ่วมองไปทางไป๋ชิงเหยียนพลางเอ่ยถาม
หญิงสาวพยักหน้า “หากมีจดหมายจริงๆ พวกเจ้าฟังแล้วก็จะรู้เองว่าผู้ที่ต้องการให้ตระกูลไป๋พังพินาศคือผู้ใดกันแน่!”
“พี่หญิงใหญ่หมายถึง…เหลียงอ๋องหรือเจ้าคะ” ไป๋จิ่นถงเบิกตาโพลง
ไป๋จิ่นจื้อก็ไม่อยากจะเชื่อ
“แต่ว่าเหลียงอ๋องเป็นเพียงองค์ชายอ่อนแอไร้ความสามารถคนหนึ่งเท่านั้นนะเจ้าคะ! เป็นคนที่ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อ๋องช้าที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด หากไม่ใช่เพราะทูตจากซีเหลียงเรียกฐานะของเหลียงอ๋องผิดในงานเลี้ยงในวังปีที่แล้ว ฮ่องเต้คงไม่ทรงแต่งตั้งเขาเป็นอ๋องหรอกเจ้าค่ะ”
“นี่คือสิ่งที่เจ้าควรเรียนรู้จากเหลียงอ๋อง!” ไป๋ชิงเหยียนมองหน้าไป๋จิ่นจื้อน้องสาวคนที่สี่ของนาง
“เหลียงอ๋องแสร้งทำตัวเป็นคนอ่อนแอ ไร้ความสามารถจนไม่เป็นที่น่าสงสัย มีเปลือกนอกเป็นคนอ่อนแอเช่นนี้ เกิดเรื่องขึ้นมากมายก็คงไม่มีผู้ใดสงสัยมาถึงตัวของเหลียงอ๋อง เขาสามารถลงมือทำทุกอย่างอยู่ในที่มืดได้ตามใจปรารถนา เสี่ยวซื่อ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ไป๋จิ่นซิ่วมองดูแววตาคมกริบของพี่หญิงใหญ่ที่เต็มไปด้วยไอสังหาร สีหน้าของนางซีดลงเรื่อยๆ นางนึกว่า…เหลียงอ๋องจริงใจต่อพี่หญิงใหญ่ ถึงขนาดต้องการแต่งงานกับพี่หญิงใหญ่โดยไม่สนใจเรื่องที่พี่หญิงใหญ่มีบุตรยาก
“พี่หญิงใหญ่ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่เจ้าคะ”
“เข้าใจผิดหรือไม่ อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้รู้เอง”
ถงจี๋ที่ยืนรออยู่นอกจวนเจิ้นกั๋วกงซ่อนมือทั้งสองไว้ข้างในเสื้อ เขาหนาวจนต้องย่ำเท้าไปมา เป่ามือทั้งสองข้างของตัวเองแล้วเอามือไปลูบใบหูที่ใกล้จะแข็งเพราะความหนาว
“ท่านถง…ท่านขึ้นไปรอบนรถม้าก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
คนบังคับรถม้าของจวนเหลียงอ๋องเอ่ยโน้มน้าวถงจี๋
ถงจี๋ส่ายหน้า เหลียงอ๋องสั่งให้เขาจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จมิเช่นนั้นจะไล่เขาออกจากจวน เขาร้อนใจดั่งไฟสุม ไม่จัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จเขาจะไปนั่งรออยู่บนรถม้าอย่างสงบได้อย่างไร
นึกถึงเรื่องนี้ ถงจี๋ขอบตาร้อนผ่าว หันหลังไปเช็ดน้ำตา “ข้าจะรออยู่ตรงนี้!”