ตอนที่ 156 ไม่เข้าใจ
“พี่หญิงใหญ่ด้านนอกลมแรง กลับเข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนกุมมือไป๋จิ่นซิ่วแน่น ไม่รู้ว่าจากกันวันนี้…จะได้พบกันอีกเมื่อใด สองพี่น้องดวงตาแดงก่ำทั้งคู่
“ไปเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงเบาหวิว
ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้า หันกลับไปมองหลิวซื่อที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา จากนั้นทำก้มศีรษะความเคารพต่งซื่ออย่างนอบน้อม
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ฝากดูแลท่านแม่ด้วยนะเจ้าคะ”
“เด็กดี ลุกขึ้นเถิด” ต่งซื่อพยุงไป๋จิ่นซิ่วให้ลุกขึ้น ลูบมือของนางอย่างแผ่วเบา “เจ้าวางใจเถิด!”
หลิวซื่อเป็นห่วงบุตรสาว ทว่า เมื่อนึกได้ว่าไป๋ชิงเหยียนใช้จวินกงจากหนานเจียงแลกตำแหน่งฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุดมาให้บุตรสาว ซ้ำยังขอร้ององค์รัชทายาทให้เสด็จไปส่งไป๋จิ่นซิ่วที่จวนจงหย่งโหวด้วยพระองค์เอง สายตาของนางหยุดอยู่ที่ร่างที่ดูอ่อนแอของไป๋ชิงเหยียน รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
สงครามที่หนานเจียงมีแต่อันตราย บุรุษตระกูลไป๋ล้วนเสียชีวิตลงที่นั่น หากไป๋ชิงเหยียนไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมา นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไรกัน!
“ท่านแม่ ข้าไปแล้วนะเจ้าคะ”
ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวจบก็หมุนตัวก้าวขึ้นไปบนรถม้า นางมองไปทางไป๋ชิงเหยียนแวบหนึ่ง สุดท้ายก็โน้มกายเข้าไปด้านในรถ
วันนั้น คุณหนูรองตระกูลไป๋นั่งรถม้าประจำตัวขององค์หญิงใหญ่กลับไปยังจวนจงหย่งโหว โดยมีองค์รัชทายาท คุณหนูสามและคุณหนูสี่ตระกูลไป๋ไปส่งด้วยตัวเอง ชาวบ้านรับรู้ข่าวก็อดทึ่งในคุณธรรมและความเที่ยงตรงของตระกูลไป๋มิได้
ว่ากันว่าสามีภรรยาเป็นคนคนเดียวกัน ทว่า เมื่อเกิดปัญหามักหนีหายไปคนละทาง หากเป็นผู้อื่นเมื่อตระกูลสามีถูกล้อมไว้เช่นนี้ หากภรรยาไว้ทุกข์อยู่ที่ตระกูลฝั่งมารดา คงต้องหาข้ออ้างหลบซ่อนอยู่ที่ตระกูลฝั่งมารดาแน่นอน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคุณหนูรองตระกูลไป๋ที่ตอนนั้นถูกน้องสาวทั้งสองคนของสามีเล่นงานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดจนถูกหามออกมาจากจวนหย่งโหวเช่นนั้น
ทว่า คุณหนูรองตระกูลไป๋กลับตัดสินใจกลับไปยังจวนจงหย่งโหวทันทีที่เสร็จพิธีศพของตระกูลไป๋ ช่างเป็นคนที่มีคุณธรรมเสียจริง
เมื่อคุณหนูทั้งสองของจวนจงหย่งโหวทราบว่าองค์รัชทายาทที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเสด็จมาส่งไป๋จิ่นซิ่วกลับจวนด้วยพระองค์เอง อีกทั้งเรียกไป๋จิ่นซิ่วว่าญาติผู้น้องที่หน้าจวนจงหย่งโหว ก่อนจากไปยังกำชับกับทหารที่เฝ้าหน้าจวนจงหย่งโหวให้คอยดูแลไป๋จิ่นซิ่ว และคนรอบกายของนางให้ดี คุณหนูทั้งสองคนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคุณหนูรองซึ่งอายุยังน้อย นางเอาแต่ขดตัวอยู่บนเตียงด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าอู๋หมัวมัวจะปลอบอย่างไรก็ไร้ผล
“เราจะทำเช่นไรกันดี!” คุณหนูรองฉินนั่งตัวสั่นเทาอยู่บนเตียง มองไปทางอู๋หมัวมัวทั้งน้ำตา
“ไป๋จิ่นซิ่วกลับมาแล้ว พวกเรา…พวกเราไม่มีทางรอดแล้วใช่หรือไม่”
อู๋หมัวมัวถือโจ๊กไก่ฉีกอยู่ในมือ น้ำตาไหลพราก
“คุณหนูรองมิต้องกลัวนะเจ้าคะ! มิต้องกลัวเจ้าค่ะ ตระกูลไป๋รักชื่อเสียงยิ่งกว่าสิ่งใด นางไม่กล้าทำร้ายคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ!”
“ก็เพราะว่าตระกูลไป๋คำนึงถึงชื่อเสียงอย่างไรเล่า พวกเขามีชื่อเสียงที่ดี! ก่อนหน้านี้ข้ากับน้อง…”
คุณหนูใหญ่ฉินไม่กล้ากล่าวต่อ เอาแต่กอดน้องชายคนเล็กแน่น เอ่ยพลางสะอึกสะอื้น
“ท่านพ่อเสียชีวิตแล้ว พวกเราสามพี่น้องไม่มีคนคอยคุ้มครอง นางต้องกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน! หากท่านแม่อยู่ก็ดีสิ ท่านต้องปกป้องพวกเราอย่างแน่นอน!”
ภายในห้องนอนของคุณหนูรองตระกูลฉิน ขณะที่ทั้งเจ้านายและบ่าวกำลังหวาดกลัวไม่รู้จะทำอย่างไรดี ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการลงมาอีกหนึ่งฉบับ คุณหนูทั้งสองของจวนฉินแทบหมดสติไปในทันที
ขุนนางผู้เป็นตัวแทนประกาศราชโองการยืนอยู่หน้าจวนจงหย่งโหว ประกาศแต่งตั้งไป๋จิ่นซิ่วเป็นฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุด
ได้ยินว่าหลังจากที่องค์รัชทายาทส่งไป๋จิ่นซิ่วที่จวนจงหย่งโหวแล้วเสด็จกลับไป พระองค์กลัวว่าไป๋จิ่นซิ่วจะถูกรังแกจึงรีบเข้าวังไปทูลขอให้ฮ่องเต้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ไป๋จิ่นซิ่วทันที
ชาวบ้านต่างสรรเสริญว่าองค์รัชทายาททรงมีเมตตากรุณา ฮ่องเต้ทรงมีคุณธรรม จากนั้นชาวบ้านก็นึกขึ้นมาได้ว่าไป๋จิ่นซิ่วถูกทำร้ายจนเกือบเสียชีวิตอยู่ที่จวนจงหย่งโหว เมื่อเชื่อมโยงไปถึงคดีเสบียงอาหารที่หนานเจียงที่ฉินเต๋อเจามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็สรุปได้ว่าฉินเต๋อเจาคงร่วมมือกับคนชั่วอย่างเหลียงอ๋องและหลิวฮ่วนจาง ทำร้ายบุรุษตระกูลไป๋ตั้งแต่แรกแล้ว มิเช่นนั้นจะปล่อยให้บุตรสาวของตัวเองทำร้ายคุณหนูรองของตระกูลไป๋ทั้งๆ ที่เพิ่งแต่งงานเข้าไปได้อย่างไรกัน
แม้จงหย่งโหวฉินเต๋อเจาจะเสียชีวิตไปแล้ว ทว่า ยังคงถูกติฉินนินทาจากคนทั่วหล้า ชื่อเสียงของเหลียงอ๋องก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน ทำร้ายกระดูกสันหลังหลักของแคว้นต้าจิ้นเพราะความแค้นส่วนตัว ทำให้วีรบุรุษผู้ภักดีต้องจบชีวิตลงที่หนานเจียง แคว้นต้าจิ้นต้องส่งทูตไปเจรจาสงบศึกกับซีเหลียงและหนานเยี่ยน ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!
เมื่อเชื่อมโยงเรื่องที่หลิวฮ่วนจางทรยศบ้านเมืองกับคดีเสบียงอาหารที่หนานเจียงเข้าด้วยกัน ชาวบ้านที่พอมีความรู้ยังสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ นับประสาอันใดกับผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่ที่มีหลักฐานอยู่ในมือกัน
เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่หลู่จิ้นยังไม่หายข้องใจ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือองค์ชายที่มีสิทธิ์ได้ครอบครองราชบัลลังก์ บัดนี้แคว้นต้าจิ้นถูกกดดันจากกองทัพที่ร่วมมือกันของซีเหลียงและหนานเยี่ยน ตระกูลไป๋ออกรบกับศัตรูเพื่อปกป้องบ้านเมือง ต่อให้ซิ่นอ๋องจะอยากได้จวินกงมากเพียงใดก็คงไม่โง่ถึงขั้นทำร้ายบุรุษตระกูลไป๋ทั้งตระกูลทั้งๆ ที่สงครามยังไม่รู้แพ้รู้ชนะเช่นนี้หรอก
หากเป็นจริงดังที่เหลียงอ๋องกล่าวว่าเขาทำตามคำสั่งของซิ่นอ๋อง ทว่า ตอนนั้นซิ่นอ๋องเองก็อยู่ที่หนานเจียง เขาไม่กลัวว่าตัวเองจะเสียชีวิตลงด้วยหรืออย่างไรกัน
หากเหลียงอ๋องใส่ร้ายซิ่นอ๋องเพื่อเอาตัวรอด เหตุใดเหลียงอ๋องต้องทำเช่นนั้นด้วย ต่อให้ซิ่นอ๋องเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียง ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ต้องตกเป็นของฉีอ๋อง ไม่ใช่เขาอยู่ดี!
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ!
หลู่จิ้นนั่งอยู่ในคุกต้าหลี่ท่ามกลางแสงไฟที่ริบหรี่ เขาครุ่นคิดถึงปัญหานี้ซ้ำไปซ้ำมาขณะฟังเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของถงจี๋ตอนโดนทรมาน
“ใต้เท้า บ่าวรับใช้ชายผู้นั้นสลบไปแล้วขอรับ”
ได้ยินเสียงรายงานของขุนนางไต่สวน หลู่จิ้นเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างเป็นจังหวะ กล่าวออกมาอย่างช้าๆ
“สาดน้ำให้ตื่น ทรมานต่อ…”
…
จวนไป๋
“ด้านนอกมีแต่คำสรรเสริญองค์รัชทายาทเต็มไปหมดเจ้าค่ะ! ฮูหยินสอง คุณหนูรองของเราอายุเพียงเท่านี้ก็ได้เป็นฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุดแล้วนะเจ้าคะ ถือเป็นคนแรกของเมืองหลวงเลยเจ้าค่ะ!”
ได้ยินเสียงรายงานอย่างดีใจของบ่าวรับใช้ หลิวซื่อไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย
ตำแหน่งฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุดของบุตรสาวได้มาได้อย่างไร หลิวซื่อรู้ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่ไป๋ชิงเหยียนแลกมาด้วยการเอาชีวิตไปเสี่ยงที่หนานเจียงเชียวนะ!
ดวงตาของหลิวซื่อร้อนผ่าว นึกถึงคำกำชับของบุตรสาว ต่งซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้ากดบริเวณหน้าอกไว้พลางกล่าวออกมา
“ไปหยิบเสื้อเกราะที่ข้าสั่งให้คนทำให้คุณชายน้อยเมื่อปีที่แล้วออกมา”
หลิวซื่อสั่งให้คนทำเสื้อเกราะไว้ให้บุตรชายเมื่อปีที่แล้ว ผู้ใดจะคาดคิดว่ายังไม่ทันจะส่งไปที่หนานเจียง บุตรชายกลับเสียชีวิตลงแล้ว
หลายวันก่อนหลัวหมัวมัวนำเสื้อเกราะที่สั่งทำเสร็จแล้วกลับมา หลิวซื่อร้องไห้อย่างเจ็บปวดไปยกใหญ่ จากนั้นสั่งให้หลัวหมัวมัวนำเสื้อเกราะไปเก็บไว้ในหีบ
ในเมื่อบัดนี้ไป๋ชิงเหยียนจะเดินทางไปยังหนานเจียง อาสะใภ้อย่างนางไร้ประโยชน์ ช่วยเหลือสิ่งใดไม่ได้ ก็ขอมอบเสื้อเกราะอันนี้ให้นาง ขอให้พระคุ้มครองให้นางกลับมาอย่างปลอดภัย!
เรือนชิงฮุย เจี่ยงหมัวมัวและชุนเถาเริ่มจัดเตรียมสัมภาระสำหรับเดินทางไปยังหนานเจียงให้ไป๋ชิงเหยียนแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้ชุนเถาหยิบโล่เงิน หอกหงอิงและคันธนูเซ่อรื้อ[1]ของนางออกมา
ชุนเถาถอนหายใจ สั่งให้คนเปิดหีบไม้ที่แดงที่มีฝุ่นจับออก ด้านในมือโล่สีเงิน หอกหงอิง และคันธนูพร้อมลูกศรของไป๋ชิงเหยียนเก็บอยู่
ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่แกว่งไปมา เมื่อมองเห็นแหวนยิงธนูกระดูกซึ่งผ่านการใช้งานมาอย่างหนักวางอยู่บนโล่เงิน หญิงสาวจึงหยิบขึ้นมาสวมไว้ที่นิ้วโป้งแล้วพิจารณาดูอย่างละเอียดท่ามกลางแสงไฟ
แหวนยิงธนูเรียกอีกอย่างว่าแหวนปานจื่อ ท่านปู่มอบให้นางตอนนางเรียนยิงธนู สิ่งนี้มีไว้สำหรับยิงธนู แต่ต่อมาขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ที่ร่วมสถาปนาแคว้นต้าจิ้นพร้อมกับจักรพรรดิเกาจู่ไม่ยอมให้ลูกหลานของตนเรียนการต่อสู้ สิ่งนี้จึงกลายเป็นเพียงเครื่องประดับอย่างหนึ่งของตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้น
แหวนยิงธนูที่ทำจากกระดูกของนางวงนี้ถูกเหงื่อกัดเซาะจนกลายเป็นรอยดำบางจุด เทียบไม่ได้กับแหวนธนูสีดำล้ำค่าที่มีชื่อเสียงของท่านปู่เลยสักนิด
———————————————
[1] ธนูเซ่อรื้อ แปลตามตัวว่าธนูยิงพระอาทิตย์ เป็นอาวุธวิเศษในสมัยโบราณชนิดหนึ่ง เนื่องจากเทพโฮ่วอี้ที่ใช้ธนูยิงพระอาทิตย์ให้เหลือเพียงดวงเดียว ดังนั้นจึงเรียกธนูชั้นเลิศว่าธนูเซ่อรื้อ