จีเฉวียน “เราไม่ได้ตาบอด”
หลงเซียวยังคงสงบนิ่ง กราบทูลอย่างไร้อารมณ์ต่อไป “ฝ่าบาท หัวลูกศรดอกนี้มาจากแคว้นเหยียน ตีขึ้นมาจากเหล็กดำ”
“แคว้นเหยียน?” ตู๋กูเจวี๋ยลูบศีรษะที่เกือบจะถูกแทงทะลุของตนเอง ค่อยหันไปมองดูก้อนกรวดที่หล่นอยู่บนพื้นแวบหนึ่งอย่างนึกขึ้นได้
เมื่อครู่หากมิใช่ว่าก้อนกรวดก้อนนั้นกันเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าตอนนี้เขาคงจะต้องไปพบกับพญายมเสียแล้ว
เขามองออกไปโดยรอบ ที่ด้านหลังของตนเองยังคงเป็นป่าทึบของหนานเจียงผืนนั้น ไม่พบเจอใครหรืออะไรที่พิเศษทั้งสิ้น
คงจะเป็น……องครักษ์ลับของฮ่องเต้ที่คอยดูแลความปลอดภัยพวกเขาละมั้ง
ตู๋กูเจวี๋ยเก็บก้อนกรวดชิ้นนั้นขึ้นมา ซุกเอาไว้ในเสื้อตัวใน
ภายในรถม้า จีเฉวียนค่อยๆ ใช้ผ้าห่มห่อตัวตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างเรียบร้อย ถึงได้แง้มผ้าม่านหน้าต่างรถขึ้นมามุมหนึ่ง กวาดพระเนตรมองดูลูกศรดอกนั้นอย่างเรียบเฉย
พระดรรชนีที่เรียวยาวยื่นออกมาจากม่านหน้าต่าง ลายมังกรบนชายแขนฉลองพระองค์งดงามปราณีต ท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่เวิ้งว้างเช่นนี้ กลับให้ความรู้สึกพิเศษชนิดหนึ่ง
ทันทีที่ฮ่องเต้ทรงแย้มม่านรถม้า ในทะเลทรายก็บังเกิดลมพัด สายลมหอบเอาทรายละเอียดกลุ่มหนึ่งคลุ้งขึ้นมา
หลังจากนั้นก็ปรากฏเงาของผู้คนกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านหลังผืนทราย
ฮ่องเต้ทรงรับลูกธนูมาจากมือของหลงเซียว พลิกเบาๆ ลูกศรดอกนั้นก็พุ่งย้อนไปในลมทะเลทราย
พุ่งเข้าใส่ศีรษะของคนผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มนั้น
ฝ่ายนั้นก็ตกตะลึงไปในทันที เพียงแค่ครู่เดียว ก็ถูกองครักษ์ลับของฝ่าบาท ‘เชิญ’ เข้ามา
รอจนเมื่ออยู่เบื้องหน้า ถึงได้เห็นว่าใบหน้าเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกันดี
เหยียนหยุนคิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ถึงว่า พึ่งกลับจากต้าโจวไปยังแคว้นเหยียน แค่ไม่นานก็ได้เจอกับจีเฉวียนอีกแล้ว
ม่านถูกเปิดแง้มๆ เอาไว้ บดบังดวงพักตร์ของจีเฉวียนเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่พระสิริโฉมเพียงครึ่งเดียวที่ได้เห็นก็ยังต้องถือว่าสูงส่งสง่างามเกินใครเทียบแล้ว
ราวกับฟ้าส่งพระองค์มาประสูติเพื่อเป็นราชา ไม่จำเป็นและไม่ต้องหาข้ออื่นข้อใดมาเปรียบเทียบอีก
ข้างกายของเหยียนหยุน มีสตรีในชุดกระโปรงสีเขียวผู้หนึ่ง นางย่อมเป็นเหยียนเฉียวหลัว
ยามนี้ บนมวยผมของเหยียนเฉียวหลัว มีลูกธนูดอกนั้นปักอยู่ เมื่อได้พบกับจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง หัวใจของนางก็สั่นสะท้าน
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางประคองแผนที่ขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือไปถวาย เขากลับไม่ได้เหลือบแลเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับเดินทางมาแล้ว
“โอ้ว ทั้งสองพระองค์ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ตอนที่อยู่ในวังหลวงแคว้นต้าโจวของพวกเรายังเอาแต่ฆ่าแกงกันเองอยู่เลย ตอนนี้ดีกันแล้ว ก็เลยจูงมือกันมายังสถานที่อันตราย จิตใจที่เปิดเผยเช่นนี้ทำให้กระหม่อมต้องยอบรับนับถือแล้ว” ตู๋กูเจวี๋ยพอเห็นหน้าพวกเขา ก็เปิดกล่องเสียงขึ้นมาในทันที
เหยียนหยุนกับเหยียนเฉียวหลัวสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
เหยียนเฉียวหลัวก็ยังคงกล่าวนำออกไปก่อน “เหตุการณ์ในวังหลวงของต้าโจวนั้นเดิมทีก็เป็นความเข้าใจผิดกัน ข้ากับเสด็จพี่รัชทายาทจะอย่างไรก็เป็นพี่ชายกับน้องสาวกัน ไหนเลยจะมีความแค้นไม่เลิกราได้”
“เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า จะได้พบกับฝ่าบาทในที่แห่งนี้ เฉียวหลัวยังนึกว่าฝ่าบาทมิได้ใส่พระทัยในสิ่งของนอกกายเสียอีก”
เหยียนเฉียวหลัวกล่าวถากถางอย่างเต็มที่ สายตาของนางเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นและเย็นชา นางเชิดคอขึ้นตั้งตรง เพ่งมองเข้าไปด้านในรถม้า
ถึงแม้ว่าม่านหน้าต่างแง้มไว้เพียงครึ่งเดียว แต่ก็ยังคงสามารถมองเห็นเงาของคนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังได้ คนผู้นั้นคล้ายจะถูกห่อตัวเอาไว้
ยามค่ำคืนในทะเลทรายอากาศเหน็บหนาว ผู้ที่มีคุณสมบัติจะนั่งอยู่ในรถม้าของฮ่องเต้ได้ไหนเลยจะเป็นแค่เพียงคนธรรมดา?
เหยียนเฉียวหลัวกล่าวพลางก็ปลดลูกศรที่ปักอยู่บนมวยผมออกมาถือเอาไว้ในมือหันไปหาจีเฉวียน “ฝีมือของฝ่าบาทยังคงยอดเยี่ยมเหมือนดังหลายปีก่อน ลูกศรดอกนี้หากเบนลงมาอีกเพียงเล็กน้อย เกรงว่าเฉียวหลัวคงต้องลงไปนอนจมกองเลือดแล้ว”
“ฝ่าบาททรงมีฝีมือยิงธนูในระยะร้อยก้าว [1] แต่ว่าลูกศรดอกนี้กลับเสียบเข้ามาในมวยผมของเฉียวหลัว นี่ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะไว้ชีวิตข้า”
นางคิดจะกล่าวต่อไป กลับได้ยินจีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ตรัสอย่างเย็นชาสุดว่า “จะให้เจาะหัวเจ้า เราก็ไม่ติดอะไร”
เหยียนเฉียวหลัว “…….”
นางได้แต่กำหมัดอย่างเงียบๆ เมื่อคิดถึงการหยามหมิ่นยามที่อยู่ในต้าโจว ในใจก็ยิ่งแค้นเคือง
หลังจากถูกแคว้นเหยียนไถ่ตัวกลับไป ด้วยความโปรดปรานที่พระบิดามีให้นาง ทำให้นางรอดพ้นมาได้อีกครั้ง
อย่าว่าแต่เรื่องนี้เป็นเพราะรัชทายาทเกิดความคิดฆ่าฟันนางขึ้นมาก่อน นางอย่างมากก็แค่ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุไปเท่านั้น เหยียนหยุนเองก็ไม่ต้องการให้พระบิดาทรงซักไซร้ไล่เรียง ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสองปรึกษากันรอบหนึ่ง ก็เปลี่ยนเสื้อเกราะเป็นแพรพรรณ [2]
ก่อนที่จะมายังแคว้นเซอปี่ซือนี้ ทั้งสองต่างก็ตระหนักดีแล้วว่า ที่นี่มีอันตรายนานับประการ จึงสมควรต้องร่วมมือกันก่อน
พอเห็นว่าเหยียนเฉียวหลัวชักจะเลือดขึ้นหน้าจนใกล้จะกลายเป็นสุนัขบ้า เหยียนหยุนก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท ทะเลทรายแห่งนี้เดิมทีก็มีอันตรายมากอยู่แล้ว ที่พวกเรายิงธนูออกมาเพียงเพราะต้องการหยั่งเชิงสภาพแวดล้อม คิดไม่ถึงว่าเกือบจะทำให้ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นเรื่องที่มิได้จงใจจริงๆ”
จีเฉวียนประทับนั่งอย่างองอาจ สองเนตรหงส์หรี่มองเขา ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หลงเซียว ลองปล่อยธนูใส่กลุ่มของแคว้นต้าเหยียนดู ตอนนี้ลมทะเลทรายกำลังแรง พวกเจ้าก็มองเห็นไม่ถนัด จะยิงเจ็บยิงตายไปบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา”
หลงเซียวประกบสองหมัดเข้าด้วยกัน ถวายคำนับครั้งหนึ่ง “พะยะค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาธนูคันหนึ่งมาจากที่ใด พอง้างจนสุดก็ปล่อยออกไปในทันที
เสียงลูกศรหลุดออกจากแล่งดัง ‘ฟี้ว’ ก็ปักฉึกลงไปบนเกราะตรงแขนของเหยียนเฉียวหลัวในทันที
ลูกศรปักลึกทะลุแขนเสื้อ แม้นางจะหลบอย่างว่องไว ก็ยังคงกลายเป็นแผลลากยาว
หลงเซียวยิงลูกศรออกไปหลายดอกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ บนร่างของเฉียวหลัวก็กลายเป็นมีสีสันเพิ่มพูนขึ้นมา
เหยียนหยุนเองก็มิได้ดีกว่ากันเท่าไร บนน่องปรากฏแผลขึ้นแห่งหนึ่ง ถึงแม้เป็นเพียงปอกหนังโดยมิได้เฉือนเนื้อ แต่กลับเจ็บปวดเป็นที่สุด
เขาขมวดคิ้วจนแนบแน่น จดจ้องไปยังจีเฉวียน
ตอนนี้จีเฉวียนมิเพียงมีฝีมือดีมีอำนาจ แม้แต่องครักษ์ลับข้างกายก็แข็งแกร่งจนผู้คนต้องตระหนก
ที่เขากล้ามายังแคว้นเซอปี่ซือ คงจะต้องมีความมั่นใจอยู่เป็นแน่
ตัวเขาที่ฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย ความเคลื่อนไหวของร่างกายรับรองได้ว่ารวดเร็วเป็นที่สุดแต่กลับไม่อาจเทียบกับองครักษ์ลับของจีเฉวียนได้
คนที่เขานำมาด้วยยิ่งไม่มีแม้แต่โอกาสจะโต้ตอบ เขาและเหยียนเฉียวหลัวต่างก็บาดเจ็บจนน่าอนาถ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ถึงได้ตรัสว่า “คนอย่างเรา ไม่เคยสนใจฟังคำพูดไร้สาระของผู้อื่นมาก่อน พอหนวกหูจนปวดหัวขึ้นมา ก็อยากฆ่าคน”
ประโยคนี้พอตรัสออกไป ทั้งเหยียนหยุนและเหยียนเฉียวหลัวก็ถึงกับพูดไม่ออก
คำพูดไร้สาระของพวกเขาต่อให้มีมากเพียงไร ก็คงจะไม่มีทางเยอะไปกว่าตู๋กูเจวี๋ยได้กระมั้ง?
นิสัยที่มีสองมาตราฐานของเขาดูเหมือนว่าจะมากเกินไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันมองออกมาจากด้านใน ก็รู้สึกว่าเงาหลังของจีเฉวียนบดบังสายตาของนางจนหมดสิ้น
เขาทรงฉลองพระองค์สีดำลายทอง เฉพาะที่ปลายแขนและคอเสื้อปักลายมังกร ฉลองพระองค์นี้ตัดมารับกับรูปร่างอย่างพอดิบพอดี ส่งเสริมให้เห็นช่วงหัวไหล่ที่แกร่งดั่งสันดาบและเอวสอบผอมเพรียว
ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันก็รู้อยู่แล้วว่าเขามีรูปร่างที่ดีมากๆ แต่กลับไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งสังเกตดู
ยามนี้เมื่อได้มองเงาหลังของเขา ถึงยิ่งรู้สึกว่าน่าหลงใหลจริงๆ
“ประเด็นหลักของเจ้ามันผิดที่ไปแล้วหรือเปล่า? คนแคว้นเหยียนทั้งสองคนนั่นมาอย่างไม่ประสงค์ดีต่างหาก” พอวิญญาณทมิฬเห็นประกายตาของนางก็ต้องส่ายหัวอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร ยัยเด็กนี้ก็จริงๆ เลย นี่มันเวลาใดกันแล้ว มองเงาหลังคนก็มองจนหลงละเมออยู่ได้
ตู๋กูซิงหลันลูบศีรษะกลมๆ ของมันเบาๆ ค่อยยิ้มจางๆ “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องให้พวกเราลงมือคลี่คลายปัญหา เช่นนั้นยังจะต้องลงมืออีกทำไมกัน?”
ที่นางร่วมมือกับฮ่องเต้ ก็มิใช่ว่าอยากจะสบายหรอกหรือ?
ในเมื่อเป็นเรื่องที่จีเฉวียนสามารถจัดการเองได้ เรื่องอะไรนางจะต้องแหย่เท้าเข้าไปด้วยเล่า?
ที่ด้านนอกรถม้า เหยียนหยุนและเหยียนเฉียวหลัวต่างก็รู้สึกอึดอัดขัดเขินอย่างยิ่ง
เมื่อเปรียบเทียบกับจีเฉวียนแล้ว พวกนางก็เลี้ยงแต่คนไร้ประโยชน์เอาไว้ทั้งนั้น
เหยียนเฉียวหลัวกุมต้นแขนที่บาดเจ็บเอาไว้ สีหน้าก็อึมครึม “ฝ่าบาท แคว้นต้าเหยียนของพวกเราได้ส่งมอบดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงและทรัพย์สมบัติมากมายนับไม่ถ้วนออกไปแล้ว เรื่องเมื่อครั้งก่อนๆ ก็ล้วนแต่ผ่านไปแล้ว พวกเราเพียงแต่มาพบกันโดยบังเอิญ เหตุใดจึงต้องมาลงไม้ลงมือกันด้วย?
——
[1] 百步穿杨 [bǎi bù chuān yáng]
[2] 化干戈为玉帛 (huà gān gē wéi yù bó) เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย