ตอนที่ 161 พัฒนาอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ฮ่องเต้ทรงรวบรวมกองกำลังทหารในเมืองหลวงจำนวนห้าหมื่นนายเดินทางไปยังหนานเจียง ตลอดทางเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย เซียวรั่วไห่จัดหมากล้อมลงบนโต๊ะไม้เล็กด้วยความตั้งใจ เหมือนกลัวว่าไป๋ชิงเหยียนจะหดหู่และเบื่อหน่ายระหว่างทางเสียก่อน
ในช่องลับบนรถม้ามีตำรา เสบียงอาหารแห้งที่เก็บได้นาน เตาถ่านต้มน้ำชา ชุดน้ำชา เตาผิงให้ความอบอุ่นขนาดเล็กซึ่งมีฝาครอบสีทองแดง มีแม้กระทั่งของเล็กๆ น้อยๆ อย่างเทียนหอม เห็นได้ว่าชายหนุ่มใส่ใจมากเพียงใด
บัดนี้ฮ่องเต้ส่งทูตไปเจรจาสงบศึกล่วงหน้าก่อนแล้ว ต่อมาจึงส่งองค์รัชทายาทนำทัพออกรบด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
องค์รัชทายาทรู้ว่าการทำสงครามเป็นเรื่องสำคัญจึงไม่กล้าถ่วงเวลา เขานั่งกอดกระโถนอาเจียนอยู่บนรถม้าตลอดทางที่ขรุขระ แต่เขาก็ไม่เคยบ่นหรือสั่งให้ขบวนเคลื่อนที่ช้าลงแต่อย่างใด พยายามอดทนอย่างถึงที่สุด
ทหารห้าหมื่นนายพักอยู่ในค่ายทหาร รถม้าขององค์รัชทายาทได้รับการเชื้อเชิญจากไท่โส่ว[1] ประจำเมืองให้ไปพักที่จวนของเขา งานเลี้ยงต้อนรับของไท่โส่วถูกองค์รัชทายาทที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนักปฏิเสธ
ทว่า งานเลี้ยงจัดเตรียมไว้แล้ว องค์รัชทายาทเหนื่อยจากการเดินทางไม่ยอมเสด็จไปร่วมงาน ไท่โส่วจึงเชิญที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทไปร่วมงานแทน ไป๋ชิงเหยียนอ้างว่าป่วยจึงไม่ได้ไปร่วมด้วย
ไม่ได้ย่างกรายเข้าไปในค่ายทหารหลายปีแล้ว ไป๋ชิงเหยียนยืนมองดูการฝึกฝนต่อสู้ของเหล่าทหารในค่ายอยู่บนเนินสูง ธงสัญลักษณ์ที่ปักอยู่ทั้งสี่ทิศปลิวสะบัดไปมาจนเกิดเสียง เปลวไฟจากเสาคบเพลิงต้นสูงแกว่งสะบัดไปมาทำให้สนามซ้อมรบสว่างโดดเด่นราวกับอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ เหล่าทหารยืนล้อมนายฝึกร่างกายบึกบึนสองคนเป็นวงกลม เสียงตะโกนโห่ร้องค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ช่างดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก
ลมหนาวพัดผ่าน ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกคุ้นเคยกับภาพบรรยากาศเช่นนี้เป็นอย่างมาก ในใจรู้สึกเหมือนได้กลับมายังถิ่นกำเนิด
“คุณชาย ลมแรงแล้ว กลับกันเถิดขอรับ” เซียวรั่วไห่ซึ่งเดินตามหลังไป๋ชิงเหยียนเอ่ยเตือนเสียงเบา
ไป๋ชิงเหยียนถือเตาอุ่นมือไว้ในมือพลางเดินลงจากเนินเขา เอ่ยถาม “เสี่ยวซื่ออยู่ที่ใดแล้ว”
“คุณชายสี่ติดตามกองทัพมาติดๆ บัดนี้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมืองแล้วขอรับ คุณชายวางใจได้ขอรับ ข้าให้คนลอบคุ้มครองคุณชายสี่อยู่ ไม่มีทางปล่อยให้คุณชายสี่เป็นอันใดไปเด็ดขาดขอรับ” เซียวรั่วไห่กล่าวเสียงเบา
“พรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางจงพาเขามาหาข้า! แล้วก็ให้คนส่งจดหมายไปบอกท่านแม่และท่านอาสะใภ้สามของข้าด้วย พวกนางจะได้มิต้องกังวล”
“ขอรับ!” เซียวรั่วไห่รับคำ
ฉินซ่างจื้อยืนอยู่กับบ่าวรับใช้ชายไม่ห่างออกไปนัก เขามองเห็นไป๋ชิงเหยียนในร่างของบุรุษยืนอยู่ไม่ไกลจึงโค้งกายทำความเคารพด้วยสีหน้ายิ้มๆ ท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างมาก
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางฉินซ่างจื้อด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน
ฉินซ่างจื้อเดินมารอไป๋ชิงเหยียนถึงที่นี่แสดงว่ามีเรื่องต้องกล่าวกับนางอย่างแน่นอน บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนแต่งกายเป็นบุรุษเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรีมากนัก
เซียวรั่วไห่เตรียมน้ำชาเสร็จจึงลุกขึ้นไปยืนอยู่ด้านข้างของไป๋ชิงเหยียน สายตาลอบสำรวจไปยังฉินเซียงเซิงที่เคยพักอยู่ที่จวนไป๋แต่บัดนี้กลายเป็นที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทไปแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนและฉินซ่างจื้อนั่งเผชิญหน้ากันอยู่บนโต๊ะ
“จากกันวันที่สิบ นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อพบกันอีกครั้งท่านฉินจะกลายเป็นที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทไปแล้ว ข้าขอดื่มชาคาราวะท่านฉินแทนเหล้าเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยน้ำชาที่ยังคุกรุ่นไปด้วยไอร้อนขึ้น
ฉินซ่างจื้อมองไปทางเซียวรั่วไห่แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ได้สั่งให้เซียวรั่วไห่หลบฉากออกไปแต่อย่างใด เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือลูกน้องคนสนิทของไป๋ชิงเหยียน เขายกถ้วยชาขึ้นจิบแล้ววางถ้วยลง จากนั้นกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ทราบหรือไม่ขอรับว่าการเดินทางไปยังหนานเจียงในครั้งนี้อันตรายสำหรับคุณหนูใหญ่มากเพียงใด”
ไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยน้ำชาลง กำเตาอุ่นมือที่เริ่มเย็นในมือแน่น มองฉินซ่างจื้อพลางกล่าว “ท่านฉินมาเตือนข้าว่ามีอันตราย ข้ารู้สึกซาบซึ้งมากเจ้าค่ะ”
“ข้าเคยได้รับความช่วยเหลือจากคุณหนูใหญ่จึงมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ที่ข้ามารบกวนคุณหนูใหญ่ในคืนนี้ก็เพราะต้องการมาเตือนคุณหนูใหญ่ว่า…ครั้งนี้ไม่ว่าคุณหนูใหญ่จะแพ้หรือชนะ ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปล่อยให้คุณหนูใหญ่มีชีวิตรอดกลับไปได้ขอรับ!” ฉินซ่างจื้อกล่าวอย่างจริงจัง ราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ”ข้ามีแผนที่จะช่วยให้คุณหนูใหญ่หนีไปก่อนที่เราจะเดินทางถึงหนานเจียงขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนในชุดคลุมยาวสีขาวเข้มมองไปทางฉินซ่างจื้อพลางกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “ท่านฉิน ชีวิตของข้าคนเดียวมิได้มีค่ามากมายเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องไปหนานเจียงเจ้าค่ะ”
ฉินซ่างจื้อไม่ได้ถามเหตุผล เขามองไปยังร่างผอมเพรียวของสตรีที่ปลอมกายเป็นบุรุษตรงหน้า อยู่ๆ ก็นึกถึงถ้อยคำที่สลักลึกไปในหัวใจของไป๋ชิงเหยียนในวันที่ญาติของทหารไปก่อเรื่องที่จวนเจิ้นกั๋วกงขึ้นมาได้ หญิงสาวกล่าวว่าต้องมีคนเสี่ยงอันตรายไปปกป้องที่ชายแดนด่านหน้า! ที่นั่นมีชาวบ้านนับแสนที่ไม่มีคนคอยปกป้องคุ้มครอง!
หญิงสาวชี้นิ้วไปยังป้ายของจวนที่อยู่เหนือศีรษะ กล่าวว่าคำว่าเจิ้นกั๋วหมายถึงหากไม่กวาดล้างศัตรูที่มารุกรานชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นให้หมดสิ้น จะสู้จนตัวตาย มีชีวิตอยู่เพื่อชาวบ้าน! สละชีพเพื่อบ้านเมือง! ตระกูลไป๋ต้องการเพียงแค่คุ้มครองชาวบ้านให้มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องหวาดกลัว ปกป้องบ้านเมืองให้มีแต่ความสงบสุข แม้ต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต!
ภายใต้แสงของตะเกียงน้ำมัน มือที่วางอยู่บนเข่าทั้งสองข้างของฉินซ่างจื้อกระชับแน่น เมื่อหวนนึกถึงถ้อยคำที่บาดลึกลงไปในจิตใจของไป๋ชิงเหยียนในวันนั้น เลือดร้อนในกายของเขาก็ยังคงพลุ่งพล่านได้อยู่ดี
ตระกูลไป๋เป็นตระกูลที่มีแต่ความซื่อสัตย์จงรักภักดีสืบต่อกันมาจริงๆ การเสียสละทำเพื่อบ้านเมืองและชาวบ้านฝังลึกอยู่ในกระดูกของพวกเขา
แม้บุรุษตระกูลไป๋จะเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียงแล้ว ทว่า ขอแค่จิตวิญญาณนักสู้ของตระกูลไป๋ยังไม่สลายไป ตระกูลไป๋ยังคงสามารถสร้างวีรกรรมที่เป็นที่จารึกในประวัติศาสตร์ได้อีกยาวนาน ไม่มีทางเสื่อมคลาย
ฉินซ่างจื้อทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเต็มไปด้วยวีรบุรุษผู้กล้า น่าเสียดายและน่านับถือมากขอรับ!”
ฉินซ่างจื้อเป็นวิญญูชน เขาจึงมองไป๋ชิงเหยียนจากมุมมองของวิญญูชน เขานึกว่าที่ไป๋ชิงเหยียนเดินทางไปยังหนานเจียงในวันนี้เพราะต้องการไปคุ้มครองชาวบ้าน ปกป้องบ้านเมืองเพียงอย่างเดียวเฉกเช่นที่เจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงเคยทำ
สนิทกันเพียงผิวเผิน มิกล้ากล่าวสิ่งใดมากกว่านี้ ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากอธิบายกับฉินซ่างจื้อให้มากความ นางรับการคาราวะในครั้งนี้ของฉินซ่างจื้อแทนท่านปู่ ท่านพ่อของนาง
วันต่อมา ยามอิ๋น[2]
สนามซ้อมรบที่กว้างขวางมีเพียงธงที่สะบัดพลิ้วไปมาเท่านั้น ร่างผอมเพรียวของไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ในสนามยิงธนูท่ามกลางแสงไฟสลัว ยืนเตรียมพร้อมอยู่ในท่ามาตรฐานของการยิงธนู หญิงสาวง้างสายธนูจนสุดแรง ทว่า น่าเสียดายที่ผลรับที่ได้กลับไม่เป็นดังที่นางลงแรงไป เมื่อหมดแรง หญิงสาวยังไม่ทันเก็บมือลงลูกศรก็พุ่งทะยานออกไปในระยะอันใกล้จากนั้นหล่นลงบนพื้น หญิงสาวงอตัวเท้ามือทั้งสองข้างไว้ที่หัวเข่าพลางหอบหายใจอย่างแรง แขนทั้งสองข้างปวดร้าวจนสั่นอย่างแรง
เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลไปตามแนวคางของหญิงสาวแล้วหยดลงบนพื้นทีละหยด เสื้อชุ่มไปด้วยเหงื่อกว่าครึ่ง เจ็บแปลบที่ปอดราวกับกำลังจะระเบิดออกมา
ร่างกายของไป๋ชิงเหยียนในตอนนี้ไม่อาจเทียบกับเมื่อก่อนได้เลย ทว่า นางยังจำวิธียิงธนูได้อย่างขึ้นใจ แม้จะต้องเริ่มต้นฝึกใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่แรก อีกทั้งช่วงนี้ไป๋ชิงเหยียนใส่ถุงทรายอยู่ทุกวัน พละกำลังเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว
ก้มตัวใช้มือยันเข่าพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋ชิงเหยียนก็หยัดกายขึ้น หยิบลูกศรออกมาจากกระบอกอีกหนึ่งดอกแล้วเริ่มฝึกต่อ
ชาติที่แล้ว เพื่อต้องการฟื้นคืนวิทยายุทธ์ นางฝึกซ้อมทั้งวันทั้งคืน ลำบากกว่านี้เป็นร้อยเท่า ความลำบากตรงหน้านี้เทียบอันใดไม่ได้เลย ยังไม่เพียงพอ นางรู้ตัวดีว่านางจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน
ฝึกฝนลมปราณ ยกคันธนูและยิงธนูใหม่อีกครั้ง…
เซียวรั่วไห่ยืนมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นของไป๋ชิงเหยียนอยู่ด้านข้าง หวนนึกถึงยามที่ไป๋ชิงเหยียนถูกบังคับให้เรียนยิงธนูในวัยเยาว์ คุณหนูใหญ่เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก นางไม่เคยคิดยอมแพ้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม! เลือกที่จะไม่ทำไปเลย ทว่า หากทำแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าระหว่างทางต้องลำบากทุกข์ทรมานมากเพียงใด ก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้
ตอนนั้นต่างกล่าวกันว่าเสี่ยวไป๋ไซว่มีพรสวรรค์ ฝีมือเก่งกาจเหนือผู้ใด ทว่า ไม่มีผู้ใดรับรู้เลยว่า
ไป๋ชิงเหยียนต้องลำบากทุกข์ทรมานมากเพียงใดถึงจะได้วิทยายุทธ์นี้มา
บัดนี้ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นอกจากความหนักแน่นไม่ย่อท้อ สู้อย่างสุดกำลังที่มีอยู่ในตัวไป๋ชิงเหยียนเหมือนตอนนั้นแล้ว หญิงสาวไม่รีบร้อนแต่กลับสุขุมมั่นคงกว่าเดิมมาก
เพียงไม่กี่วัน จากที่แม้แต่ธนูธรรมดายังง้างไม่ได้ จนในที่สุดก็สามารถง้างธนูเซ่อรื้อได้ กล่าวได้ว่าไป๋ชิงเหยียนมีพัฒนาการที่รวดเร็วมากจริงๆ
———————————————
[1] ไท่โส่ว หมายถึง ผู้ดูแลเมือง เทียบเท่ากับ ผู้ว่าราชการจังหวัด
[2] ยามอิ๋น เวลาระหว่าง 03.00 – 05.00 นาฬิกา