ตอนที่ 167 แผ่นดินย่อยยับ
ไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนให้เซียวรั่วไห่เพิ่มน้ำหนักในถุงทรายให้นางทุกวันเพื่อเพิ่มพละกำลังของนางให้แข็งแรงยิ่งขึ้น วันที่สิบไป๋ชิงเหยียนเริ่มฝึกซ้อมยิงธนูอย่างหนักที่เขาอวี้ชิง
วันที่สิบห้าที่กองทัพเดินทางไปถึงเมืองจั้ง ไป๋ชิงเหยียนสามารถยกคันธนูเซ่อรื้อ ยิงเป้าธนูฟางจนล้มลงโดยธนูเพียงดอกเดียว
เซียวรั่วไห่เห็นความพยายามในการฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อยกคันธนูให้ได้ของไป๋ชิงเหยียนมาตั้งแต่ต้น ขอบตาของเขาร้อนผ่าว “คุณชาย…”
ไป๋ชิงเหยียนใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้า หยิบลูกธนูออกมาจากกระบอกอีกหนึ่งดอก มองไปทางเซียวรั่วไห่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ลากเป้าออกไปไกลกว่านี้…”
เซียวรั่วไห่พยักหน้า วิ่งตรงไปยังเป้าธนูฟางแล้วยกมันขึ้น ย้ายให้ห่างออกไปอีกห้าจั้ง เพิ่มน้ำหนักของเป้าธนูเข้าไปอีก
ไป๋ชิงเหยียนซึ่งเหงื่อซึมทั่วใบหน้ายกคันธนูพลางง้างสายธนู ดวงตาคมกริบล้ำลึกจ้องนิ่งไปยังจุดสีแดงกลางเป้า
“ฟิ้ว!”
เม็ดเหงื่อที่ติดอยู่ตรงขนตายาวของหญิงสาวหยดลงบนพื้นทันทีที่หญิงสาวลดคันธนูลง
ลูกธนูลอยฟิ้วไปกลางอากาศ เทียบกับสิบห้าวันที่ผ่านมา ครั้งนี้เต็มไปด้วยพลังและไอสังหารอย่างแรงกล้า เสียงของลูกธนูยาวดังชัดท่ามกลางความเงียบสงบในยามค่ำคืน สิ้นเสียงของหนักกระทบกัน เป้าธนูฟางที่เซียวรั่วไห่เพิ่มน้ำหนักเข้าไปสั่นคลอนเล็กน้อยจากนั้นหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม ลูกศรยังคงปักโดนที่จุดแดงใจกลางเป้าเหมือนเดิม
ไม่พอ ยังไม่พอ…
หญิงสาวหยิบลูกธนูขึ้นมาอีกหนึ่งดอก ง้างสายธนูอีกครั้ง
ไป๋จิ่นจื้อยืนอยู่ทางด้านหลังไป๋ชิงเหยียน ในสนามซ้อมรบรายล้อมไปด้วยบรรดาแม่ทัพและทหารมากมาย
หลายวันมานี้เรื่องที่คุณหนูใหญ่ไป๋ตื่นมาซ้อมยิงธนูเป็นประจำทุกวันในยามอิ๋นแพร่กระจายไปทั่วทั้งกองทัพ แม่ทัพสือพานซาน แม่ทัพเจินเจ๋อผิงและแม่ทัพจางตวนรุ่ยที่มาออกรบในครั้งนี้ด้วยล้วนออกมายืนดู
ไป๋จิ่นจื้อค่อนข้างเป็นกังวล กลัวว่าองค์รัชทายาทจะรู้ถึงความเก่งกาจของพี่หญิงใหญ่ หลังจากได้รับชัยชนะ…จะไม่ปล่อยให้พี่หญิงใหญ่มีชีวิตรอดกลับไป
แม่ทัพเจินเจ๋อผิงมองดูร่างสูงเพรียวงามสง่าของไป๋ชิงเหยียนนิ่ง เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพของซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงไป๋ฉีซานทับซ้อนอยู่ในตัวของสตรีผู้แข็งแกร่งเบื้องหน้า
แม่ทัพเจินเจ๋อผิงยังไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในท่ายิงธนูได้องอาจไปกว่าไป๋ฉีซาน อีกทั้งยังไม่เคยเห็นผู้ใดมีฝีมือยิงธนูเก่งกาจไปกว่าไป๋ฉีซานอีกแล้ว ทว่า ไป๋ชิงเหยียนช่างเก่งกาจไม่แพ้ผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อย…
“น่าทึ่ง ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ” แม่ทัพสือพานซานเอ่ยชมอย่างทึ่งๆ
“ผู้ใดกล่าวว่าหลานสาวคนโตของจวนเจิ้นกั๋วกงได้รับบาดเจ็บจนไร้ซึ่งวิทยายุทธกัน นี่มันคนไร้วิทยายุทธที่ใดกัน” มีคนถามขึ้น
“นางคงเริ่มฝึกใหม่หลังจากที่ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและน้องชายเสียชีวิตไปแล้วกระมัง!”
แม่ทัพจางตวนรุ่ยกำดาบที่อยู่ข้างกายแน่น นึกถึงสงครามกวาดล้างแคว้นสู่ในปีนั้นที่เขาติดตามท่านกั๋วกงไปออกรบด้วย
เด็กสาวที่ได้สมญานามว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ผู้นี้ มือหนึ่งถือหอกเงินทรงพลัง มือหนึ่งถือธนูเซ่อรื้อไร้เทียมทาน ทุกครั้งที่ออกรบมักจะพาองครักษ์สาวข้างกายของนางบุกอยู่ที่ด่านหน้า ทำลายล้างศัตรูอย่างกล้าหาญ ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก!
หากเทียบกันแล้ว ไป๋ชิงเหยียนในตอนนี้ไม่มีความทะนงเลือดร้อนเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว บัดนี้นางฝึกซ้อมซ้ำไปซ้ำมาทุกวันอย่างยากลำบากด้วยความมีสติ นางก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในทุกๆ วัน อย่างน่าทึ่ง กล่าวได้ว่าพัฒนาอย่างก้าวกระโดดก็คงไม่เกินไป
ที่กล่าวกันว่าตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงไม่เคยมีคนไร้ความสามารถ…
เป็นดังคำกล่าวจริงๆ !
แม้ได้รับบาดเจ็บจนสูญเสียวิทยายุทธไป ทว่า หลังจากผ่านการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เด็กสาวคนนี้กลับยืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง พยายามสุดความสามารถ สุดแรงกำลังจนกลายเป็นหลานสาวที่สามารถปกป้องรักษาเกียรติยศที่มีมานับร้อยปีของจวนเจิ้นกั๋วกงเอาไว้ได้
สำหรับแม่ทัพจางตวนรุ่ยที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพไป๋ เขาเข้าใจจิตวิญญาณของการยอมหักไม่ยอมงอ การยืนหยัดไม่ยอมแพ้ของตระกูลไป๋ได้ดี
ขณะที่กองทัพเริ่มออกเดินทาง องค์รัชทายาทไม่เพียงแต่นับถือความแน่วแน่ของไป๋ชิงเหยียนที่ยืนหยัดเดินเท้าติดต่อกันเป็นเวลาสิบกว่าวัน เขายังรู้สึกชื่นชมในตัวนางอีกด้วย
ตระกูลไป๋ไม่มีคนไร้ความสามารถ แม้กระทั่งสตรีของตระกูลไป๋ยังยืนหยัดอดทนถึงเพียงนี้!
มิน่า เสด็จพ่อของเขาจึงหวาดระแวงจวนเจิ้นกั๋วกง…
องค์รัชทายาทมองไปทางไป๋ชิงเหยียนพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สุดท้ายก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้า เฉวียนอวี๋กล่าวถูกต้องแล้ว เขาเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ไม่ใช่แม่ทัพที่ไปออกรบราฆ่าฟันศัตรู เขาไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับแม่ทัพที่ใจเด็ดเช่นนั้นว่าผู้ใดทนความลำบากได้มากกว่ากัน
สิ่งที่เขาควรเรียนรู้คือการปกครองบ้านเมืองและรักษาความสมดุลทางอำนาจ
ไป๋ชิงเหยียนก้าวเดินไปทางทิศใต้ วันนี้ต้องเดินทางไปถึงเมืองหวั่นผิง ใกล้แล้ว…นางเข้าใกล้อวิ๋นพั่วสิงเข้าไปเรื่อยๆ แล้ว
บัดนี้กองทัพของซีเหลียงและหนานเยี่ยนโจมตีเทียนเหมินกวนแตกแล้ว แต่เพราะการเจรจาสงบศึก กองทัพจึงยังไม่เดินหน้าบุกต่อ
หากกองทัพห้าหมื่นนายเดินทางไปถึงเมืองหวั่นผิง พวกนางจะเข้าใกล้ภูเขาเทียนเหมินเพียงแค่เมืองเดียวกั้นขวางเท่านั้น
หญิงสาวกำหมัดแน่น ข่มไอสังหารที่เดือดพล่านอยู่ในใจ
ไป๋จิ่นจื้อที่เดินอยู่ข้างกายของไป๋ชิงเหยียนกุมมือที่ขาวซีดเพราะแรงบีบของพี่สาวเอาไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่ ใกล้แล้วเจ้าค่ะ…”
การเดินทางจากเมืองจั้งไปยังหวั่นผิง พวกนางพบเจอแต่ชาวบ้านอพยพสะพายย่ามเดินสวนทางกับพวกนางไปยังเมืองจั้ง
บางคนที่พอมีฐานะอยู่บ้างก็เร่งเดินทางด้วยเกวียน
ชายฉกรรจ์บางคนเดินทางด้วยรถลากโดยที่ตนเป็นคนลากรถให้ภรรยาและบุตรนั่งด้วยตัวเอง บ้างก็เป็นคนชราที่เดินถือไม้เท้าตัวสั่นเทาติดตามขบวนไปอย่างกลัวจะโดนทิ้ง บ้างก็ได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความหิวโหยของเด็กน้อย
บางคนเสื้อผ้าซอมซ่อ บางคนเสื้อผ้ามอมแมม ทว่า สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนใบหน้าหมองคล้ำ ซีดเซียว
ในช่วงสงครามเช่นนี้ ชาวบ้านที่อ่อนแอไร้ทางสู้ทำได้เพียงละทิ้งบ้านเกิดของตัวเอง ยอมเป็นคนร่อนเร่พเนจรเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้เท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนกำมือทั้งสองข้างแน่น ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่เดือนเดียว แคว้นต้าจิ้นที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ สงบสุข ให้ความรู้สึกเหมือนกับแผ่นดินย่อยยับ ชาวบ้านไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง
ชาวบ้านที่มีชีวิตรอดเหล่านี้ล้วนเป็นชาวบ้านที่ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา น้องชายและกองทัพไป๋สละชีพปกป้องไว้ด้วยชีวิต!
เมื่อพวกเขาเห็นกองทัพจึงรีบหลบอยู่สองข้างทางเพื่อหลีกทางให้ พวกเขาชะงักฝีเท้าหยุดมองพลางกระซิบกระซาบเสียงเบา
“นั่นมันกองทัพของราชสำนักใช่หรือไม่!”
“แม่ทัพคนใดของตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงมาช่วยพวกเราอย่างนั้นหรือ”
“จะต่อสู้แย่งชิงอำเภอเฟิงของเรากลับคืนมาหรือไม่ พวกเราจะได้กลับบ้านใช่หรือไม่!”
“เฮ้อ มีประโยชน์อันใดเล่า แม่ทัพของจวนเจิ้นกั๋วกงล้วนเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียงหมดแล้ว ตระกูลไป๋ไม่มีแม่ทัพเหลืออยู่แล้ว! อวิ๋นพั่วสิงเก่งกาจเกินไป…ไม่มีทางรบชนะมันหรอก!” ชายชราคนหนึ่งถอนหายใจออกมา
“เช่นนั้นเป็นแม่ทัพจากตระกูลใดกัน!” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งถามออกมาอย่างใจกล้า
เฉวียนอวี๋ที่นั่งอยู่ใต้ชายคานอกรถม้ากล่าวสรรเสริญองค์รัชทายาทของตัวเองอย่างทนไม่ไหว “องค์รัชทายาททรงนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง จะตัดศีรษะของอวิ๋นพั่วสิงมาให้ได้!”
ทว่า เหนือความคาดหมายของเฉวียนอวี๋ ชาวบ้านเหล่านั้นไม่ได้กล่าวสรรเสริญว่าองค์รัชทายาทกล้าหาญ แต่กลับพากันเงียบสงบในทันที
“ไปเถิด! ไม่มีแม่ทัพของกองทัพไป๋ไม่มีทางชนะหรอก! พวกเรารีบหนีเถิด!” ชายชราที่จูงเด็กชายวัยสิบขวบถอนหายใจออกมา ส่ายหน้าพลางถือไม้เท้าเดินไปด้านหน้า
ไป๋ชิงเหยียนซึ่งร่างท่วมไปด้วยเหงื่อเดินไปยังด้านหน้าอย่างมั่นคง สายตาของนางเหลือบมองไปยังชายชราผู้นั้นแวบหนึ่ง สองสายตาประสานกัน ชายชราผู้นั้นชะงักฝีเท้าในทันที มองดูไป๋ชิงเหยียนที่เดินผ่านไหล่ของเขาไป จู่ๆ เขาก็นึกสิ่งใดขึ้นมาได้ รีบเดินตามกองทัพไปสองสามก้าว
ร่างผอมเพียวสูงโปร่งนั่น…เขาเคยเห็นมาก่อน!
สี่ปีที่แล้ว หนานเยี่ยนบุกโจมตี แม่ทัพที่คุ้มครองเมืองเอาแต่ปกป้องอำเภอเฟิงไม่ยอมบุกโจมตี ขณะที่กองทัพของหนานเยี่ยนกำลังบุกเข้าโจมตีเมือง กองทัพทหารม้าที่ชูธงเฮยฟานไป๋หมั่งของกองทัพไป๋บุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม่ทัพต่อสู้กับศัตรูไปพร้อมกับชาวบ้านอย่างเลือดร้อน ผู้ใดคว้าจอบได้ก็ใช้จอบ ผู้ใดคว้าพลั่วได้ก็ใช้พลั่ว ต่างสู้รบต่อต้านกองทัพหนานเยี่ยนอย่างสุดชีวิต!
แม่ทัพของกองทัพไป๋ที่บุกเข้ามาในเมืองเป็นคนแรกคือแม่ทัพที่ได้สมญานามว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ แม่ทัพผู้นั้นถือหอกยาวบุกเข้าไปช่วยเหลือชีวิตหลานชายเพียงคนเดียวของเขาออกมาจากคมดาบของศัตรู