ตอนที่ 169 กวาดล้างให้ราบเรียบ
แม่ทัพจางตวนรุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย “แผนนี้ใช้ได้…”
องค์รัชทายาทเห็นไป๋ชิงเหยียนยืนนิ่งอยู่ใต้แสงไฟโดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น ดูเหมือนหญิงสาวจะมองไปทางภูเขาเวิ่ง เขาจึงเดินเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถาม “คุณชายไป๋นึกแผนอันใดออกหรือ มองภูเขาเวิ่งอยู่ใช่หรือไม่”
ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพองค์รัชทายาทพลางกล่าวตอบ “ชิงเหยียนกำลังคิดว่าสายลับคงรายงานข่าวกองทัพขององค์รัชทายาทให้ซีเหลียงและหนานเยี่ยนทราบนานแล้ว แต่เหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ยอมลงมือเสียทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้งนี้พวกเราเดินทัพมาถึงอย่างรวดเร็ว พวกเขาคงยังตั้งรับไม่ทันกระมัง หรือไม่พวกเขาก็อาจจะยังคาดเดาจุดประสงค์ของพวกเราไม่ออก” แม่ทัพเจินเจ๋อผิงกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“กองทัพห้าหมื่นนายเริ่มออกเดินทางจากเมืองหลวง สายลับของซีเหลียงและหนานเยี่ยนไม่ได้ตาบอด พวกเขาส่งม้าเร็วไปรายงาน เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน ยิ่งหากมีคนสับเปลี่ยนกันเดินทางโดยไม่หยุดพัก ไม่เกินเจ็ดแปดวันข่าวก็คงส่งมาถึง เช่นนั้นแสดงว่า…” แม่ทัพจางตวนรุ่ยมองไปยังแผนที่แวบหนึ่ง “ตอนที่พวกเราเดินทางไปถึงสันเขาฉงหลวน ซีเหลียงและหนานเยี่ยนก็คงทราบข่าวนี้แล้ว”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ถึงแม้พวกเขาจะได้รับข่าวในวันที่สิบหรือสิบเอ็ด เมื่อรู้ว่าต้องทำสงคราม เหตุใดพวกเขาไม่รีบบุกโจมตีเมืองเวิ่งก่อน พวกเขารอให้กำลังเสริมห้าหมื่นนายของพวกเรามาถึงก่อนแล้วค่อยเปิดศึกอย่างนั้นหรือ คนซีเหลียงมิได้เป็นวิญญูชนขนาดนั้นหรอกขอรับ!”
แม่ทัพจางตวนรุ่ยเข้าใจความหมายที่ไป๋ชิงเหยียนต้องการสื่อในทันที “คุณชายไป๋หมายความว่า
ซีเหลียงและหนานเยี่ยนยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะรบต่อหรือจะกอบโกยผลประโยชน์แล้วจากไปใช่หรือไม่ขอรับ”
หญิงสาวหันกลับไปมองบรรดาแม่ทัพที่มีสีหน้าเคร่งเครียด “หนานเยี่ยนไม่ได้มีกองทัพที่แข็งแกร่งดังเช่นซีเหลียง ก่อนหน้านี้เพราะหลิวฮ่วนจางสมคบคิดกับหนานเยี่ยน หนานเยี่ยนมีแม่ทัพคนสำคัญของกองทัพไป๋เป็นสายลับคอยส่งข่าวให้ พวกเขาจึงกล้าออกรบพร้อมกับซีเหลียง ฝ่ายหนึ่งให้ข้อมูล ฝ่ายหนึ่งมีกำลังทหาร เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม! ทว่า บัดนี้หลิวฮ่วนจางตายไปแล้ว ต้นข่าวของหนานเยี่ยนถูกตัดขาด ไม่สามารถรายงานแผนการรบของต้าจิ้นให้ซีเหลียงทราบได้แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้เสมอภาคกันอีก หนานเยี่ยนที่มีชายแดนติดกับซีเหลียงจะกล้าบุ่มบ่ามได้อย่างไรกัน”
แม่ทัพสือพานซานคิดตามแล้วพยักหน้า “หนานเยี่ยนไม่ยอมบุก ซีเหลียงไม่อยากถูกหนานเยี่ยนเอาเปรียบโดยที่ไม่ช่วยออกแรง อีกทั้งกลัวว่าหนานเยี่ยนจะลอบแทงข้างหลัง ดังนั้นจึงไม่กล้าบุกเช่นเดียวกัน”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “บัดนี้ทหารคงขี่ม้าเร็วไปรายงานเรื่องที่กองทัพห้าหมื่นนายของเรามาถึงเมืองหวั่นผิงกับแม่ทัพผู้คุ้มครองเมืองเวิ่งที่เมืองเวิ่งแล้ว สายลับของหนานเยี่ยนและซีเหลียงก็คงส่งคนไปรายงานแล้วเช่นเดียวกัน! หนานเยี่ยนไม่น่ากลัวสักเท่าใด ที่น่ากลัวคืออวิ๋นพั่วสิงผู้ทะเยอทะยานคนนั้น!”
หญิงสาวชี้นิ้วไปยังเส้นทางขึ้นยอดเขาจิ่วชวีที่อยู่ระหว่างเมืองเวิ่งและเมืองหวั่นผิง “หากข้าเป็นอวิ๋นพั่วสิงที่มีกองกำลังทหารอยู่ในมือ เมื่อข้ารู้ว่ากองทัพเสริมห้าหมื่นนายเดินทางมาถึงเมืองหวั่นผิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเวิ่งเพียงการเดินทางแค่วันเดียว ข้าจะส่งกองกำลังจำนวนหนึ่งอ้อมไปทางภูเขาเวิ่งและไปดักซุ่มโจมตีอยู่บริเวณทางโค้งขึ้นยอดเขาจิ่วชวี จากนั้นนำกองกำลังส่วนน้อยบุกเข้าโจมตีเมืองเวิ่ง หลอกล่อให้กองกำลังห้าหมื่นนายรีบบุกไปช่วยเมืองเวิ่ง กองกำลังเสริมจำเป็นต้องไปถึงอย่างรวดเร็วไม่อาจเดินอ้อมได้ ต้องเดินผ่านทางโค้งที่ยอดเขาจิ่วชวีเท่านั้น! กองกำลังเสริมที่เร่งรีบเดินทางมาครึ่งค่อนวันเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ กองทัพซีเหลียงที่ดักซุ่มอยู่สามารถลงมือสังหารกองทัพของต้าจิ้นจนราบเรียบที่นั่น!”
แม่ทัพจางตวนรุ่ยชี้ไปบนทางโค้งของยอดเขาจิ่วชวีในแผนที่อีกครั้ง จากนั้นหันกลับมา “เส้นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะเดินทางจากหวั่นผิงไปยังเมืองเวิ่งต้องเดินทางผ่านทางบนยอดเขาจิ่วชวี!”
หญิงสาวพยักหน้า จากนั้นชี้ไปที่เมืองเวิ่ง “กองทัพไป๋ที่ถอยไปคุ้มกันเมืองเวิ่งรวมกับทหารของเมืองเวิ่งมีไม่ถึงสองหมื่นนาย เมืองเวิ่งป้องกันง่าย โจมตียาก หากทหารของเมืองเวิ่งรู้ว่าทัพเสริมห้าหมื่นนายถูกล้อมอยู่ที่ยอดเขาจิ่วชวี หากกองทัพของซีเหลียงที่กำลังโจมตีเมือง จู่ๆ ก็หยุดโจมตีแล้วมุ่งไปยังภูเขาเวิ่ง ไปรวมตัวกับกองทัพใหญ่ของซีเหลียงที่หุบเขาเวิ่งเพื่อสังหารกองทัพเสริมทั้งห้าหมื่นนาย! เช่นนั้นแม่ทัพเฉิงหย่วนจื้อที่ได้สมญานามว่าผู้กล้าแห่งกองทัพไป๋ซึ่งถอยไปคุ้มกันที่เมืองเวิ่งต้องไม่มีทางอยู่ในเมืองเวิ่งอย่างคนขลาดแน่นอน เขาต้องนำกองทัพไป๋ไปช่วยที่เส้นทางขึ้นยอดเขาจิ่วชวี กองทัพซีเหลียงดักซุ่มอยู่ที่เขาเวิ่ง ต้องกวาดล้างกองทัพไป๋จนสิ้นซากอย่างแน่นอน”
แม่ทัพสือพานซานมีสีหน้าตกตะลึง มองดูแผนที่อย่างละเอียด ชี้ไปที่ภูเขาเวิ่ง “ภูเขาเวิ่งเรียกอีกชื่อว่าภูเขาลมกรด สูงใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทิศทางลมพัดเหมือนลมกรดที่พัดจากที่ต่ำไปยังที่สูง หุบเขาใหญ่ของภูเขาเวิ่งอยู่ตรงรอยแยกใจกลางภูเขา หากจะขึ้นไปบนทางคดเคี้ยวของยอดเขาจิ่วชวีโดยเข้าจากเมืองเวิ่ง ปากทางเข้าหุบเขากว้างขวางมากก็จริง ทว่า ทางออก…ภูเขาที่ขนาบอยู่สองข้างสูงชันมาก ทางออกเล็กและแคบมากเช่นเดียวกัน ทหารเดินเรียงแถวหน้ากระดานออกไปได้ทีละสิบคนเท่านั้น! เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การซุ่มโจมตีจริงๆ !”
“ดังนั้น…” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางองค์รัชทายาทอย่างจริงจัง “ชิงเหยียนบังอาจขอให้องค์รัชทายาทสั่งให้แม่ทัพจางตวนรุ่ยนำทหารฝีมือดีจำนวนห้าพันนายล่วงหน้าไปดักซุ่มโจมตีที่ทางโค้งของยอดเขาจิ่วชวีก่อน หากเห็นทหารของซีเหลียงก็อย่าเอะอะโวยวาย ลอบส่งคนมารายงาน ซุ่มดูสถานการณ์โดยห้ามลงมือก่อนเด็ดขาด! จากนั้นให้แม่ทัพสือพานซานนำกองกำลังหนึ่งหมื่นห้าพันนายบุกไปดักซุ่มโจมตีอยู่ตรงปากทางออกของหุบเขาเวิ่งทางยอดเขาจิ่วชวี! โอบล้อมขนาบทั้งสองด้านพร้อมกับกองกำลังเสริมของกองทัพไป๋ที่อาจบุกไปช่วยในวันพรุ่งนี้! แม่ทัพเจินเจ๋อผิงนำกำลังทหารสองหมื่นนายบุกไปโจมตีอำเภอเฟิง หาทางขัดขวางไม่ให้หนานเยี่ยนบุกออกมาจากเมืองได้เด็ดขาด! จากนั้นองค์รัชทายาทโปรดส่งคนไปยังเมืองผิงหยาง จัดกำลังทหารสามหมื่นนายจากเมืองผิงหยางไปโจมตีแย่งชิงเมืองเฟิ่งกลับคืนมาพร้อมขัดขวางกองทัพเสริมของซีเหลียงไว้! สั่งให้ทหารห้าร้อยนายไปเผาเสบียงอาหารของซีเหลียงที่อยู่หลังค่ายทหารของพวกมัน จากนั้นวางกับดักขัดขวางเสบียงของซีเหลียงที่หุบเขาลั่วเฟิง”
น้ำเสียงใสกังวานของหญิงสาวกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วและหนักแน่น ถ้อยคำนี้ทำให้ทุกคนตื่นเต้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ราวกับสงครามใกล้เข้ามาจนไม่อาจถอยหนีได้อีกแล้ว
เปลวเทียนจากตะเกียงที่ตั้งอยู่บนที่สูงในจวนว่าการสะบัดพลิ้วไปมา เงียบสงัดไร้เสียงใดๆ
“ซีเหลียงรู้ว่าเรามีกำลังเสริมห้าหมื่นนาย อีกทั้งยังต้องระแวงว่าหนานเยี่ยนจะลอบแทงข้างหลัง บางทีพวกเขาอาจไม่อยากถูกหนานเยี่ยนที่ไม่ลงแรงใดๆ เลยเอาเปรียบ พวกเขาอาจอยู่เฉยๆ ในเทียนเหมินกวนโดยไม่ลงมือทำสิ่งใดเลยก็ได้” แม่ทัพเจินเจ๋อผิงขมวดคิ้วถาม “หรือหากซีเหลียงนำกองกำลังทั้งหมดบุกเข้าโจมตีเมืองเวิ่งเล่า อีกอย่าง เมืองผิงหยางมีชายแดนติดกับต้าเยี่ยน เราจะประมาทกำลังทหารของทางนั้นมิได้นะ! แม้คุณหนูใหญ่ไป๋จะเคยออกรบกับท่านกั๋วกงมาก่อน มีฝีมือการยิงธนูที่ดี! ทว่า คุณหนูยังเด็กอยู่ ถ้อยคำเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาของคุณหนูใหญ่ไป๋ ข้าคิดว่าข้านำกองกำลังบุกไปทำลายรังของซีเหลียงเป็นวิธีที่ดีที่สุด!”
“สองแคว้นทำสงครามกัน ทหารฟังคำสั่งของผู้นำเป็นหลัก ดังนั้นหากต้องการชัยชนะก็ต้องรู้ว่าผู้นำต้องการสิ่งใด หลายปีมานี้อวิ๋นพั่วสิงได้สมญานามว่ารบไม่เคยแพ้ กองกำลังทหารของเขาได้สมญานามว่าทหารม้าเหล็ก ทว่า มีเพียงเผชิญหน้ากับกองทัพไป๋เท่านั้นที่เขาไม่เคยเอาชนะได้เลย อวิ๋นพั่วสิงรู้สึกว่านี่คือความอัปยศที่สุดในชีวิตของเขา! จนเมื่อได้ร่วมมือกับหนานเยี่ยน สังหารบุรุษตระกูลไป๋ได้ทั้งตระกูล กวาดล้างกองทัพไป๋จนเกือบหมดสิ้น เขาจึงได้รับชัยชนะมาหนึ่งครั้ง!”
“ทว่ากองทัพไป๋ยังหลงเหลืออยู่หนึ่งหมื่นกว่านาย ผู้คนต่างกล่าวว่าอวิ๋นพั่วสิงหวาดกลัวกองทัพไป๋ ราวกับบุตรกลัวบิดา! เขาเก็บกดมาเป็นเวลายาวนาน เขาต้องการล้างความอัปยศนี้! ต้องการมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า! ต้องการให้ทุกแคว้นหวาดกลัว! ดังนั้นเขาต้องกวาดล้างกองทัพไป๋ที่ได้ชื่อว่าไม่เคยพ่ายแพ้ให้ราบเรียบเป็นหน้ากลองในสงครามครั้งนี้ ทำให้บนโลกนี้ไม่มีธงเฮยฟานไป๋หมั่งอีกต่อไป!”
“กระหม่อมคิดว่าสิ่งที่คุณหนูใหญ่กล่าวมามีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพจางตวนรุ่ยกล่าวกับองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทเริ่มตัดสินใจไม่ได้ เขายอมรับว่าไป๋ชิงเหยียนเก่งกาจ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนยังเด็กดังที่แม่ทัพเจินเจ๋อผิงกล่าวมาจริงๆ นางไม่ได้เป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่ผ่านสงครามมามากมายและมีแผนการที่ล้ำเลิศดังเช่นเจิ้นกั๋วกงผู้นั้น