ตอนที่ 230 วินาทีเป็นวินาทีตาย
รัชทายาทได้ยินฟางเหล่ากล่าวเช่นนี้ ความหวาดระแวงในตัวของไป๋ชิงเหยียนจึงสลายหายไปจนหมดสิ้น
เขากำตราทัพที่อยู่ในมือแน่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา
“นางสวามิภักดิ์ต่อเรา เราจะตอบแทนนางอย่างคุ้มค่า! กลับไปเมือหลวง…เราจะทูลขอให้เสด็จพ่อแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิง ถือเป็นการตอบแทนตระกูลไป๋และกองทัพไป๋!”
“องค์รัชทาทายทรงมีเมตตาต่อตระกูลไป๋และไป๋ชิงเหยียนถึงเพียงนี้ ไป๋ชิงเหยียนต้องจงรักภักดีต่อองค์รัชทายาทเช่นเดียวกับกระหม่อมอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
รัชทายาทพยักหน้าจากนั้นเอ่ยถามฟางเหล่า
“เช่นนั้นฟางเหล่าคิดว่าค่ายหู่อิงสมควรเดินทางกลับไปเมืองหลวงด้วยหรือไม่”
“กระหม่อมคิดว่าองค์ชายทำตามแผนเดิมที่ฝ่าบาททรงคิดไว้เถิดพ่ะย่ะค่ะ มอบตำแหน่งที่สูงส่งและเครื่องประดับมีค่าให้แม่ทัพเสิ่นเหลียงอวี้ ดูแลครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี! ให้เขาฝึกฝนทหารกล้าดังเช่นทหารในค่ายหู่อิงออกมาอีกจำนวนหนึ่งเพื่อรับใช้และจงรักภักดีต่อองค์ชายเพียงคนเดียว องค์ชายก็ทำเช่นเดียวกับที่ไป๋ชิงเหยียนจัดการกับแม่ทัพของกองทัพไป๋คนอื่นๆ ส่งแม่ทัพที่องค์ชายทรงไว้ใจมาคอยควบคุมอำนาจทางทหาร เสิ่นเหลียงอวี้มีหน้าที่ฝึกฝนทหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!”
“ฟางเหล่ากล่าวได้มีเหตุผลมาก” รัชทายาทพยักหน้า
“ในเมื่อจัดการเรื่องกองทัพไป๋เสร็จเรียบร้อยแล้ว วันที่ยี่สิบแปด เดือนสามเป็นวันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาท องค์ชายควรคิดได้แล้วนะพะย่ะค่ะว่าจะทรงมอบสิ่งใดเป็นของขวัญให้ฝ่าบาททรงดีพระทัย เอาชนะพระทัยของฝ่าบาทให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” ฟางเหล่าเอ่ยเตือนรัชทายาท
“ฟางเหล่าเตือนได้ถูกต้อง จวนรัชทายาทคงเตรียมของขวัญเอาไว้แล้ว เมื่อกลับไป ฟางเหล่าไปช่วยเราเลือกหน่อยเถิด!”
“องค์ชาย…พระองค์ไม่เข้าพระทัยในความหมายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” ฟางเหล่าลูบเคราพลางกล่าวออกมายิ้มๆ “ของขวัญใดก็ไม่ทำให้ฝ่าบาททรงดีพระทัยไปกว่าของล้ำค่าหายากที่องค์ชายทรงพบตอนเดินทางออกมาทำศึกจนได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่หรอกพ่ะย่ะค่ะ หากองค์ชายทรงเห็นด้วย เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของเริ่นซื่อเจี๋ยเถิดพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นี้เงียบขรึม ทว่า จัดการเรื่องต่างๆ ได้รอบคอบมากพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของรัชทายาทเป็นประกาย พยักหน้ายิ้มๆ “เราโชคดีที่มีฟางเหล่าคอยเตือนอยู่ตลอดเวลา”
ภายในกระโจมของไป๋จิ่นจื้อ สาวน้อยทำแผลบริเวณลำแขนเสร็จเรียบร้อย เปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เต็มไปด้วยเลือดออก บัดนี้กำลังนั่งมองหอกยาวสีเงินของตัวเองอยู่หน้าเตาผิง หวนนึกถึงวินาทีเป็นวินาทีตายซ้ำไปซ้ำมา
พี่หญิงใหญ่ตะโกนให้นางรับดาบเสียงดังลั่น ทว่า นางกลับเอาแต่ดึงหอกเงินของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับคนไร้วิญญาณ
หากไม่ใช่เพราะพี่หญิงใหญ่และเซียวรั่วเจียง บัดนี้นางคงสิ้นลมหายใจไปแล้ว!
ดวงตาของไป๋จิ่นจื้อไหววูบ ตอนทำศึกนางไม่เคยรู้สึกหวาดกลัว ทว่า หลังจบศึกแล้วนึกย้อนไปในช่วงเวลาเฉียดตายนั้น หญิงสาวอดรู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมาไม่ได้
ไป๋ชิงเหยียนถือเหล้าเดินเข้าไปในกระโจม เห็นไป๋จิ่นจื้อจ้องมองหอกเงินของตัวเองอย่างเหม่อลอย หญิงสาวเดินเข้าไปลูบศีรษะของน้องสาวอย่างแผ่วเบา
ไป๋จิ่นจื้อจึงได้สติขึ้น สาวน้อยเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนน้ำเสียงแหบพร่า “พี่หญิงใหญ่…”
“กลัวแล้วหรือ!” ไป๋ชิงเหยียนถามน้องสาวยิ้มๆ
ไป๋จิ่นจื้อพยักหน้าจากนั้นก็ส่ายหน้า ดวงตาแดงฉานแต่เต็มไปด้วยประกายวาววับมองจ้องไปทางไป๋ชิงเหยียน สาวน้อยบีบมือที่สั่นเทาเล็กน้อยซึ่งวางอยู่บนหน้าตักแน่น
“ตอนแรกกลัวเจ้าค่ะ! ข้าเห็นทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งและทหารของค่ายหู่อิงล้มตายไปต่อหน้าต่อตา เลือดสดของพวกเขาสาดกระเซ็นเปื้อนใบหน้าและปากของข้า รสชาติของเลือด…เค็มเล็กน้อยเจ้าค่ะ เดิมทีข้านึกว่าข้าจะตายอยู่ที่ชิวซานกวนพร้อมกับพี่ชายเก้าแล้ว คิดเพียงว่า…ต่อให้ตายก็ต้องสังหารสุนัขรับใช้ของซีเหลียงให้ได้มากที่สุด ทว่า ข้าเห็นพี่หญิงใหญ่มาช่วยข้า!”
ริมฝีปากที่แห้งกรังของไป๋จิ่นจื้อยกยิ้มให้ไป๋ชิงเหยียน ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย
“เมื่อเห็นพี่หญิงใหญ่ข้าก็ไม่กลัวอันใดอีกแล้ว! ราวกับมีพลังเต็มเปี่ยม! สามารถสังหารสุนัขรับใช้ของซีเหลียงได้เป็นร้อยเป็นพันเลยเจ้าค่ะ”
เห็นดวงตาที่เปล่งประกายของน้องสาว ไป๋ชิงเหยียนลูบศีรษะของไป๋จิ่นจื้ออย่างแผ่วเบา รวบตัวน้องสาวมากอดไว้ในอ้อมแขนทั้งน้ำตา
นางเข้าใจความรู้สึกของไป๋จิ่นจื้อดี เหมือนตอนที่นางเคยตกอยู่ในอันตราย ขอเพียงได้เห็นธงเฮยฟานไป๋หมั่งของกองทัพไป๋ใกล้เข้ามา นางก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งใดอีก เพราะนางรู้ว่า…คนตระกูลไป๋นำกองทัพไป๋มาช่วยเหลือนางแล้ว!
นี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดไป๋ชิงเหยียนจึงบุกนำหน้าเป็นคนแรกเสมอ เพราะนางรู้ว่าตระกูลไป๋และกองทัพไป๋ยืนอยู่ด้านหลังของนาง เป็นโล่กำบังที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับนาง ทำให้นางไม่ต้องรู้สึกกังวลหรือหวาดกลัวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
ในฐานะพี่สาวคนโต นางควรเป็นเกราะกำบังลมฝนให้แก่บรรดาน้องๆ ควรเป็นโล่กำบังที่แข็งแกร่งที่สุดให้แก่พวกเขา ทว่า หลายปีมานี้นางปล่อยให้ตัวเองนอนอ่อนแออยู่บนเตียง! หากนางเข้มแข็งขึ้นมาให้เร็วกว่านี้ บุรุษตระกูลไป๋จะมีจุดจบเช่นนี้หรือ!
“เสี่ยวซื่อเก่งกว่าพี่ในตอนนั้นเสียอีก ตอนที่พี่ออกรบครั้งแรก รอบกายมีองครักษ์คุ้มครองอยู่มากมาย ทว่า บัดนี้เสี่ยวซื่อสู้รบกับทหารซีเหลียงมากมายด้วยตัวคนเดียว!”
ไป๋ชิงเหยียนลูบแผ่นหลังของไป๋จิ่นจื้ออย่างแผ่วเบา
“พี่เชื่อว่าอีกไม่นาน เสี่ยวซื่อของพวกเราต้องกลายเป็นแม่ทัพหญิงในชุดแดงที่โดดเด่นที่สุดในกองทัพไป๋อย่างแน่นอน!”
ไป๋จิ่นจื้อใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาทิ้ง หยัดแผ่นหลังตรงพลางมองไปยังไป๋ชิงเหยียน กล่าวอย่างหนักแน่น
“พี่หญิงใหญ่เชื่อข้า ข้าก็จะทำให้ได้เจ้าค่ะ!”
“นี่คือเหล้าน้ำผึ้งที่แม่ทัพเสิ่นเหลียงอวี้ฝากให้พี่นำมาให้เจ้า…ข้างในมียาลับซึ่งเป็นสูตรของตระกูลเขา จิบเล็กน้อยตื่นมาก็ไม่เจ็บแล้ว” ไป๋ชิงเหยียนยื่นเหล้าส่งให้ไป๋จิ่นจื้อ “เมื่อก่อนพี่ก็เคยดื่ม เห็นผลจริงๆ”
“เจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นจื้อรับเหล้ามา จากนั้นก็ได้ยินเสียงทหารคุ้มกันค่ายรายงานว่าเสิ่นคุนหยาง เว่ยจ้าวเหนียน กู่เหวินชังและเฉิงหย่วนจื้อเดินทางจากเมืองเฟิ่งมาถึงโยวหวาเต้าแล้ว บัดนี้อยู่ในกระโจมของแม่ทัพเสิ่นเหลียงอวี้
“เจ้าพักผ่อนเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางลูบไปที่ศีรษะของไป๋จิ่นจื้อ
เดิมทีไป๋จิ่นจื้ออยากเกลี้ยกล่อมให้ไป๋ชิงเหยียนพักผ่อน ทว่า เมื่อมองเห็นแผ่นหลังที่หยัดตรงของพี่หญิงใหญ่ สาวน้อยจึงกลืนถ้อยคำนั้นลงไปในลำคอ
เกลี้ยกล่อมไปจะมีประโยชน์อันใด เพื่อปกป้องคุ้มครองตระกูลไป๋และกองทัพไป๋ พี่หญิงใหญ่แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ผู้ใดให้นางไม่มีประโยชน์ ไม่แข็งแกร่ง ช่วยแบ่งเบาภาระพี่หญิงใหญ่ไม่ได้กัน
ไป๋จิ่นจื้อจับไปที่บาดแผลบริเวณแขนของตัวเอง อย่างน้อย…นางต้องพักรักษาตัวให้หายโดยเร็วที่สุด ไม่ทำให้พี่หญิงใหญ่เป็นกังวล แม้จะช่วยเหลือพี่หญิงใหญ่ไม่ได้ ทว่า นางจะไม่เป็นตัวถ่วงทำให้พี่หญิงใหญ่ไม่สบายใจเป็นอันขาด!
ไป๋จิ่นจื้อหยิบเหล้า เปิดจุกออก ฝืนความรู้สึกแสบร้อนในลำคอ พยายามดื่มเหล้าลงไปสองสามอึก
เมื่อเสิ่นคุนหยาง เว่ยจ้าวเหนียน กู่เหวินชังและเฉิงหย่วนจื้อเดินทางมาถึง พวกเขาไปคาราวะรัชทายาทเป็นลำดับแรก ทว่า เฉวียนอวี๋ซึ่งเป็นขันทีข้างกายของรัชทายาทกล่าวว่ารัชทายาทเพิ่งสนทนากับที่ปรึกษาเสร็จ บัดนี้เข้านอนแล้ว
ทั้งสี่คนไม่ได้เข้าพบรัชทายาทจึงไปที่กระโจมของเสิ่นเหลียงอวี้แทน
เสิ่นเหลียงที่นอนพักผ่อนแล้วได้ยินว่าเสิ่นคุนหยาง เว่ยจ้าวเหนียน กู่เหวินชังและเฉิงหย่วนจื้อมาถึงเขา เขาจึงรีบผุดลุกขึ้น มองสำรวจรอบกาย จากนั้นเล่าเรื่องที่เขาไปช่วยคุณชายเก้าไป๋ชิงอวิ๋นออกมาให้ทั้งสี่คนฟังด้วยเสียงอันแผ่วเบา
เฉิงหย่วนจื้อตื่นเต้นจนเกือบร้องตะโกนออกมา โชคดีที่เว่ยจ้าวเหนียนจับไปที่บาดแผลของเขาเสียก่อน เสียงร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นของเฉิงหย่วนจื้อจึงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องอย่างเจ็บปวดแทน
“เจ้าเว่ยตาเดียว เจ้ากดไปที่ใดกัน” เฉิงหย่วนจื้อเจ็บจนร้องสูดปาก
เว่ยจ้าวเหนียนเหลือบมองไปทางด้านนอกแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้ที่เขี่ยเหล็กเขี่ยถ่ายในเตาผิง กล่าวเสียงต่ำ “องค์รัชทายาทอยู่ที่นี่ พวกเราควรระวังตัวไว้!”