ตอนที่ 255 แม่ทัพไป๋
หลู่หยวนเผิงหันไปมองรอบกายแต่ไม่เห็นฉินหล่างจึงหันไปถามซือหม่าผิงที่ขี่ม้าหยุดอยู่ข้างกายเขา “ฉินหล่างเล่า เหตุใดเขาถึงไม่มา”
ซือหม่าผิงคือบุตรชายคนเล็กของผู้ช่วยผู้ตรวจการราชสำนักซือหม่าเยี่ยนและเป็นหลานชายของมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วของฉินหล่าง เขาและฉินหล่างเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาตลอด
“ฉินหล่างคือบุตรเขยของตระกูลไป๋ ย่อมต้องรอต้อนรับอยู่กับตระกูลไป๋ หากบุตรเขยของตระกูลมาต้อนรับพี่ภรรยาอยู่ที่นี่คนเดียวผู้อื่นจะคิดเช่นไรกัน” ซือหม่าผิงขยับเข้าไปใกล้หลู่หยวนเผิงพลางกระซิบเสียงเบา “อีกอย่างฉินหล่างเคยหมั้นหมายกับพี่สาวตระกูลไป๋ หากเขาแอบภรรยามาต้อนรับที่นี่ เจ้าว่ามันเหมาะสมหรือไม่”
หลู่หยวนเผิงพยักหน้ารัว เข้าใจในทันที “เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว!”
“นี่ๆ หลู่หยวนเผิง นั่นใช่คนจากวังหลวงหรือไม่!” คุณชายเจ้าสำราญผู้หนึ่งเอ่ยถามหลู่หยวนเผิง “เหล้ามงคลที่พวกเราเตรียมมาอาจไม่ได้ใช้ใช่หรือไม่”
หลู่หยวนเผิงหันกลับไปมอง เห็นขันทีใหญ่เกาเต๋อเม่าซึ่งคอยรับใช้ข้างกายจักรพรรดิต้าจิ้นขี่ม้ามาด้วยตัวเอง ด้านหลังมีองครักษ์ประจำพระองค์ตามมาด้วย ช่างดูเอิกเกริกยิ่งนัก
“เมืองหลวงของเรานับวันยิ่งครึกครื้นขึ้นทุกวัน! วันที่ยี่สิบแปดนี้คือวันคล้ายวันประสูติของฮ่องเต้ ไม่เพียงทุกแคว้นต่างส่งตัวแทนมาร่วมเฉลิมฉลอง ได้ยินว่าจักรพรรดิของต้าเยี่ยนจะพาองค์ชายมาอวยพรจักรพรรดิของเราด้วยพระองค์เองด้วย!”
“จริงด้วย! ได้ยินว่าพระองค์คือพระโอรสของจีโฮ่ว มีใบหน้าคล้ายคลึงกับจีโฮ่วมาก ได้สมญานามว่าบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่รู้ว่าคือเรื่องจริงหรือโกหกกันแน่”
เมื่อเห็นว่าคนเริ่มมารวมตัวกันที่ประตูทางทิศใต้มากขึ้นทุกที พ่อค้าแม่ค้าที่อาศัยโอกาสนี้ย้ายมาขายอาหารเช้าให้แก่ชาวบ้านบริเวณนี้ต่างก็ถลาเข้าไปด้านหน้า ยืดตัวสูง ชะเง้อมองขบวนกองทัพใหญ่ที่ชนะศึกกลับมาเมืองหลวงเช่นเดียวกัน ต่างคาดเดาไปต่างต่างนานาถึงรูปโฉมขององค์หญิงแห่งซีเหลียง เดาว่าผู้ใดคือเหยียนอ๋องแห่งซีเหลียง
หลู่หยวนเผิงมองไปรอบกายแต่ไม่เห็นเซียวหรงเหยี่ยน เขาหันไปถามซือหม่าผิง “เหตุใดสหายเซียวถึงยังไม่มา ตอนที่พวกเราเลี้ยงต้อนรับสหายเซียว เขาบอกว่าจะมาต้อนรับองค์รัชทายาทมิใช่หรือ”
ซือหม่าผิงหันไปมองในเมืองแวบหนึ่ง “นั่นนะสิ หรือเมื่อคืนสหายเซียวดื่มมากเกินไป”
“จะเป็นไปได้อย่างไร สหายเซียวคอแข็งจะตาย ต่อให้พวกเราจะดื่มจนเมาปลิ้น แต่สหายเซียวไม่มีทางเมาเด็ดขาด!” น้ำเสียงของหลู่หยวนเผิงเต็มไปด้วยความชื่นชมเซียวหรงเหยี่ยน เขารีบหันไปสั่งบ่าวรับใช้ของตัวเอง “เจ้าไปถามที่จวนเซียวหน่อยว่าเหตุใดสหายเซียวถึงยังไม่มา”
สิ้นเสียงของหลู่หยวนเผิง ซือหม่าผิงรีบใช้ศอกสะกิดหลู่หยวนเผิง “มาแล้วๆ ! ข้าเห็นรถม้าของสหายเซียวแล้ว!”
สิ้นเสียง หลู่หยวนเผิงหันไปมองก็เห็นเยว่สือกำลังประคองเซียวหรงเหยี่ยนลงมาจากรถม้า หลู่หยวนเผิงรีบลงจากหลังม้า ยื่นเชือกม้าในมือให้บ่าวรับใช้จากนั้นเดินไปทางรถม้าของเซียวหรงเหยี่ยน ทำความเคารพ “สหายเซียว!”
เซียวหรงเหยี่ยนผู้สุขุมอ่อนโยนปล่อยมือที่จับชายชุดยาวออก ทำความเคารพกลับ จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “หยวนเผิงมาเช้าจริง…”
“ใช่น่ะสิ! ข้าอยากมารับพี่สาวตระกูลไป๋เร็วๆ” หลู่หยวนเผิงกระชากข้อมือของเซียวหรงเหยี่ยนฝ่าฝูงชนไปยังด้านหน้าสุด “ใกล้จะมาถึงแล้ว สหายเซียวรีบมายืนกับข้าด้านหน้าเถิด!”
เซียวหรงเหยี่ยนปล่อยให้หลู่หยวนเผิงลากเขาไปยังด้านหน้าตามอำเภอใจ ดวงตาล้ำลึกของชายหนุ่มจ้องไปยังขบวนกองทัพใหญ่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้านหน้าสุดคือพลทหารม้า เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ช่างดูแข็งแกร่งยิ่งนัก
ชายหนุ่มหรี่ตาแคบลง หากต้าเยี่ยนมีกองทัพม้าที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จะดีสักเพียงใด…
สตรีในเครื่องแบบทหารสวมชุดเกราะขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน ผมยาวถูกรวบไว้ทางด้านหลัง สะพายธนูเซ่อรื้อ มือถือหอกเงินหงอิง ท่าทีองอาจสง่างามยิ่งนัก
แสงอรุณส่องผ่านก้อนเมฆหลายชั้น ร่างของสตรีในชุดเครื่องแบบขี่ม้าเข้ามาในเมืองอย่างองอาจ แสงอรุณกระทบชุดเกราะจนเปล่งประกายเป็นสีทอง ร่างทั้งร่างดูสะอาดบริสุทธิ์ราวเทพธิดาที่มาจุติบนโลกมนุษย์ ทั้งๆ ที่รูปร่างผอมเพรียว ทว่า กลับมีรัศมีที่น่าเกรงขามที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นเกรง
“มองเห็นแล้วๆ ! กลับมาแล้ว! กลับมาแล้ว!” ชาวบ้านตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น “กองทัพชนะศึกกลับมาแล้ว แม่ทัพไป๋กลับมาแล้ว!”
คำว่าแม่ทัพไป๋ ทำให้ชาวบ้านหลายคนนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่เจิ้นกั๋วอ๋องและคุณชายของตระกูลไป๋ชนะศึกกลับมายังเมืองหลวงอย่างน่าภาคภูมิ!
แม่ทัพไป๋…
บุรุษคนใดในตระกูลไป๋ไม่ใช่แม่ทัพไป๋บ้าง
บัดนี้ แม้กระทั่งสตรีของตระกูลไป๋ยังกลายเป็นแม่ทัพไป๋ หญิงสาวนำกองทัพห้าหมื่นนายรบชนะกองทัพซีเหลียงและหนานเยี่ยนนับแสนจนได้รับสมญานามว่าวีรบุรุษ นางต่อสู้จนซีเหลียงไม่อาจต้านทานได้ ทำได้เพียงยอมจำนนขอเจรจาสงบศึก
“กองทัพต้าจิ้นสุดยอด! แม่ทัพไป๋สุดยอด!”
“ผู้ใดกล่าวว่าสตรีสู้บุรุษไม่ได้กัน! คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วอ๋องนำทัพห้าหมื่นนายออกศึกจนซีเหลียงแพ้ราบคาบ!”
“นั่นสิ! ก่อนหน้านี้ต่างกล่าวว่าคุณหนูใหญ่ไป๋ล้มป่วย ผู้ใดจะคิดว่าพวกเราจะได้รับข่าวจากหนานเจียงว่ากองทัพต้าจิ้นชนะศึกครั้งนี้ องค์รัชทายาทไม่ใช่คนทำสงครามครั้งนี้ แต่คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋เป็นผู้นำทัพต่างหาก”
“ตระกูลไป๋สมเป็นตระกูลนักรบจริงๆ พวกเขาเห็นชาวบ้านเป็นดั่งเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ชาวบ้านที่หนานเจียงเดือดร้อน จวนไป๋ไม่มีทางทนนิ่งดูดาย! คุณหนูใหญ่ไป๋จึงเดินทางไปออกศึกที่หนานเจียง!”
“ตระกูลไป๋ไม่ได้มีแต่บุรุษที่กล้าสละชีพเพื่อบ้านเมือง แม้กระทั่งสตรีก็ยังอาจหาญแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พวกเขาพร้อมรับใช้บ้านเมือง รับใช้ชาวบ้าน! พวกเราต้าจิ้นมีตระกูลไป๋คอยคุ้มครอง เหตุใดต้องหวาดกลัวซีเหลียง หวาดกลัวแคว้นอื่นอีก!”
ชาวบ้านล้วนเห็นด้วย นึกถึงคืนวันที่ข่าวการเสียชีวิตของบุรุษตระกูลไป๋ที่หนานเจียงส่งกลับมายังเมืองหลวง นึกถึงความน่าเวทนาของตระกูลไป๋ นึกถึงสิ่งที่ซิ่นอ๋องทำตอนนำศพของบุรุษตระกูลไป๋กลับมายังเมืองหลวง ตระกูลไป๋ต้องไปตีกลองเติงเหวินร้องทุกข์ถึงจะทวงความยุติธรรมกลับมาได้
ทว่า ต่อให้บุรุษตระกูลไป๋จะเสียชีวิตลงเพราะปกป้องบ้านเมืองหมดแล้ว ทว่า สตรีของตระกูลไป๋แม้จะสูญสิ้นวิทยายุทธก็ยังไม่ย่อท้อ นางเข้มแข็ง กล้าหาญไม่แพ้บุรุษอกสามศอก แบกภาระอันหนักหน่วงเดินทางไปยังหนานเจียง ยกธงของตระกูลไป๋ขึ้นมาอีกครั้ง ปกป้องบ้านเมือง ปกป้องชาวบ้าน! ใจที่รักในการปกป้องบ้านเมือง คุ้มครองชาวบ้าน ทำให้ทุกคนซาบซึ้งเป็นอย่างมาก พวกเขาจะไม่นับถือได้อย่างไร!
ต่างกล่าวกันว่า ตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงไม่เคยมีคนไร้ความสามารถ!
เมื่อนึกถึงคุณชายทั้งสิบเจ็บคนที่เพิ่งเสียชีวิตไป ผู้ใดไม่ใช่คนมีความรู้ความสามารถ ผู้ใดไม่ใช่ยอดบุรุษแห่งเมืองหลวงบ้าง!
คนชราและสตรีอ่อนแอร้องไห้ออกมาอย่างซาบซึ้ง พวกเขาตะโกนเรียกแม่ทัพไป๋ด้วยเสียงสะอื้น
หลู่หยวนเผิงก็รับรู้ความรู้สึกนี้เช่นเดียวกัน เขารู้สึกซาบซึ้งมาก ลำคอร้อนผ่าว ความรู้สึกมากมายถาโถมอยู่ภายในใจ “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสตรีจะเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ ที่แท้ยามที่พี่สาวไป๋สวมเครื่องแบบทหารดูน่าเกรงขามถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
กองทัพเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ขณะอยู่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ไม่เกินสิบจั้ง ขันทีเล็กที่อยู่ข้างกายของขันทีใหญ่เกาเต๋อเม่ารีบสาวเท้าไปยังกองทัพใหญ่
หลู่หยวนเผิงเห็นขันทีเล็กวิ่งไปหยุดอยู่หน้าขบวน ทำความเคารพจากนั้นกล่าวอันใดก็ไม่รู้ ไป๋ชิงเหยียนที่ขี่ม้าอยู่หน้าสุดของขบวนชูหอกเงินหงอิงขึ้นสูง พลทหารม้าหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกอย่างเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงถ่ายทอดคำสั่งให้ถอยหลังกลับ