ตอนที่ 263 ลงเอยกัน
ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นพลางมองไปทางน้องสาวที่มองมาที่นางด้วยแววตาที่เปล่งประกาย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อยากเรียนหรือ”
ไป๋จิ่นหวาพยักหน้าอย่างแรง “ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“รอกลับไปซั่วหยางแล้วเจ้าเรียนขี่ม้ากับพี่หญิงสี่จนเป็นแล้ว พี่จะสอนเจ้า” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นหวารับคำแล้วหันกลับไปมองไป๋จิ่นจื้ออย่างตื่นเต้น
“ฉินหมัวมัว เจ้าไปดูหน่อยเถิด หากอาหารเสร็จแล้วก็ยกมาได้เลย!” ต่งซื่อหันไปสั่งฉินหมัวมัว
ฉินหมัวมัวรับคำพลางเดินอ้อมฉากกั้นลายนกสวยงามออกไปด้านนอก จากนั้นกลับมารายงานต่งซื่อว่าอาหารพร้อมแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนประคองต่งซื่อให้นั่งลง ต่งซื่อเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “พวกเรายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เด็กสองคนเดินทางกลับมา เราจึงไม่อาจจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ได้ พวกเรานั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็ถือได้ว่าเป็นการเฉลิมฉลองแล้ว”
ตระกูลไป๋ไม่มีบุรุษหลงเหลือ เดิมทีต่งซื่อเตรียมเชิญหลานชายจากตระกูลฝั่งมารดามานั่งเป็นเพื่อนฉินหล่าง ทว่า ฉินหล่างกลับจากไปทันทีที่มาส่งไป๋จิ่นซิ่ว กล่าวว่ามีธุระต้องไปทำ ช่วงค่ำจะมารับไป๋จิ่นซิ่วกลับจวน
ยังไม่มีผู้ใดในตระกูลไป๋ลงมือทานอาหารก็ได้รับรายงานว่า พ่อค้าเซียวหรงเหยี่ยนที่เคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือตระกูลไป๋แวะมาที่จวน
แม้เซียวหรงเหยี่ยนจะเป็นเพียงพ่อค้า ทว่า เขาเคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือตอนตระกูลไป๋ตกอยู่ในภาวะคับขัน อีกทั้งยังเคยช่วยชีวิตฮูหยินสี่เอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเซียวหรงเหยี่ยนมาหาย่อมต้องต้อนรับเขาอย่างดี
ไป๋ชิงเหยียนเดาว่าที่เซียวหรงเหยี่ยนมาในวันนี้คงเป็นเรื่องที่หนานเยี่ยนที่นางถูกองค์รัชทายาทซักไซ้และเรื่องของไป๋ชิงเจวี๋ย
พ่อบ้านเหาพาเซียวหรงเหยี่ยนไปยังโถงรับรองหลัก สั่งให้บ่าวนำน้ำชาไปให้ชายหนุ่ม บอกให้ชายหนุ่มรอสักครู่
เซียวหรงเหยี่ยนยังคงรักษาท่าทีสุขุมของตัวเองไว้เป็นอย่างดี กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอย่างไม่รีบร้อน
ไม่นานไป๋ชิงเหยียนก็เดินคล้องแขนต่งซื่อเข้ามา เซียวหรงเหยี่ยนรีบวางถ้วยชาลง ทำความเคารพ
ต่งซื่อ “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่”
“เซียวเซียนเซิงไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเจ้าค่ะ” ต่งซื่อนอบน้อมต่อเซียวหรงเหยี่ยนมาก นางนั่งลงบนเก้าอี้ เอ่ยถามยิ้มๆ “ข้าได้ยินยายหนูใหญ่กล่าวว่ายายหนูสี่เคยไปรบกวนเซียวเซียนเซิงตอนออกเดินทางไปรบที่หนานเจียง ขอบพระคุณที่เซียวเซียนเซิงช่วยดูแลยายหนูสี่ให้เจ้าค่ะ”
“ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ!” เซียวหรงเหยี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาล้ำลึกมองไปทาง
ไป๋ชิงเหยียน “ข้ามาเยี่ยมในครั้งนี้เพราะต้องการนำของแสดงความยินดีที่รบชนะมาให้คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่ขอรับ ของส่งถึงมือแล้ว ข้าคงไม่รบกวนแล้วขอรับ…”
“ท่านแม่ ข้าไปส่งเซียวเซียนเซิงนะเจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยกับต่งซื่อ
ต่งซื่อตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ไปเถิด! รีบไปรีบกลับ”
ไป๋ชิงเหยียนผายมือเชิญเซียวหรงเหยี่ยน
“รบกวนคุณหนูใหญ่แล้วขอรับ”
ทั้งสองคนเดินไปตามระเบียงทางเดินอย่างช้าๆ ชุนเถานำบรรดาสาวใช้เดินตามหลังไปโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร ไม่รบกวนการสนทนาของคนทั้งคู่
“วันนี้หลังจากพบองค์รัชทายาท พระองค์ตรัสในสิ่งที่ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงตั้งใจมาสอบถามคุณหนูใหญ่ วันหน้าจะได้ไม่หลุดพิรุธให้องค์รัชทายาทจับได้ขอรับ”
ฝีเท้าของไป๋ชิงเหยียนชะงัก ชุนเถาพลอยชะงักตามไปด้วย
หญิงสาวย่อกายทำความเคารพเซียวหรงเหยี่ยน “ลำบากเซียวเซียนเซิงแล้วเจ้าค่ะ”
“มิเป็นอันใด” ใบหน้าของเซียวหรงเหยี่ยนปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ช่างดูสง่างามยิ่งนัก
“องค์รัชทายาททรงทราบว่าหรู่ซยงของข้าเดินทางไปยังหนานเยี่ยน ข้าจึงให้หรู่ซยงอ้างว่า…เป็นเพราะเซียวเซียนเซิงส่งม้าและจดหมายมาให้ หรู่ซยงคิดว่าเซียวเซียนเซิงเจ้าชู้หยาบคายจึงเดินทางไปเตือนท่านเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกละอายใจ ใบหูแดงเรื่อ ก้มหน้าทำความเคารพอีกครั้ง “เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หวังว่าเซียวเซียนเซิงจะไม่ถือสา”
แสงแดดยามกลางวันสาดส่อง กระทบลงบนใบหน้าและลำคอเรียวระหงของหญิงสาวพอดี ทำให้ใบหน้างดงามไร้ที่ติของหญิงสาวอ่อนโยนลงไม่น้อย ยิ่งดูงามชดช้อยตราตรึงใจคนทั้งเมืองยิ่งกว่าเดิม
เซียวหรงเหยี่ยนก้มมองใบหูที่แดงระเรื่อของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า มือที่ไขว้อยู่ทางด้านหลังกำแน่น รอยยิ้มในดวงตามากขึ้นกว่าเดิม ทว่า น้ำเสียงยังคงทุ้มแน่นเหมือนเคย “มิเป็นอันใด ทว่า ดูเหมือนองค์รัชทายาทจะทรงเกิดความคิดเป็นแม่สื่อให้พวกเราทั้งคู่จริงๆ”
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของบุรุษรูปงามตรงหน้า กำมือแน่น
เซียวหรงเหยี่ยนก้าวฝีท้าวเดินต่อ สายตาจ้องไปยังด้านหน้า “แม้วันนี้ข้าจะกล่าวเปลี่ยนเรื่องไปแล้ว ทว่า องค์ชายอาจลงมือกระทำการบางอย่างต่อ เพราะตอนนี้คุณหนูใหญ่อยู่ข้างองค์รัชทายาทแล้ว หากข้ากับคุณหนูใหญ่…ลงเอยกันได้ องค์รัชทายาทจะมีถุงเงินเพิ่มขึ้นมาทันที”
สิ่งยั่วยวนนี้มากพอที่จะทำให้องค์รัชทายาทช่วยสนับสนุนเรื่องของนางกับเซียวหรงเหยี่ยนจริงๆ
“ในเมื่อข้ารู้แจ้งแล้วว่าคุณหนูใหญ่กล่าวกับองค์รัชทายาทเช่นไร เช่นนั้น…ข้าก็จะแสดงบทบาทของคนที่แอบหลงรักคุณหนูใหญ่ให้ดี คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวลขอรับ” เซียวหรงเหยี่ยนหันไปมองไป๋ชิงเหยียนที่เดินอยู่เคียงข้างเขา ไม่รอให้หญิงสาวกล่าวแย้ง ชายหนุ่มรีบกล่าวสำทับ “ส่วนคุณชายต้าจิ้นที่ข้าช่วยเหลือเอาไว้ เขาดึงดันที่จะตอบแทนบุญคุณ ข้าจึงให้เขาอยู่ที่หนานเยี่ยนต่อเพื่อทำงานให้ข้าสามเรื่อง หลายวันก่อนข้าได้รับจดหมายว่าครอบครัวของคุณชายคนนั้นเดินทางไปถึงหนานเยี่ยนแล้ว”
นี่คือข่าวของไป๋ชิงเจวี๋ย เซียวหรงเหยี่ยนไม่ได้เอ่ยถึงฐานะของไป๋ชิงเจวี๋ยตรงๆ เขาคงไม่หวังทวงบุญคุณในเรื่องนี้
ไป๋ชิงเหยียนมองเซียวหรงเหยี่ยนพลางพยักหน้าน้อยๆ กล่าวขอบคุณออกมา “ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ!”
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงหน้าประตูจวนแล้ว เซียวหรงเหยี่ยนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ส่งแค่ตรงนี้ก็พอขอรับ”
“เซียวเซียนเซิงกลับดีๆ เจ้าค่ะ”
…
ช่วงปลายของยามโหยว่[1] ไฟตามถนนของเมืองหลวงเปิดอย่างสว่างไสว บนถนนเต็มไปด้วยความครึกครื้น ทุกที่ต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสงครามที่หนานเจียง
แม้แขกกิตติมศักดิ์ของหอนางโลมต่างๆ ยังจับกลุ่มกันสนทนาเรื่องสงครามที่หนานเจียง
วันนี้หลู่หยวนเผิงอารมณ์ดีมาก เขาเชิญบรรดาสหายคนสนิทมาเลี้ยงอาหาร ชมแม่นางอิงหลวน สาวงามอันดับหนึ่งของหอฝานเชวี่ยบรรเลงดนตรีอย่างใจป้ำ ป่าวประกาศว่าภายภาคหน้าตนจะขี่ม้าทำศึกสังหารศัตรูเช่นเดียวกับพี่สาวไป๋
ซือหม่าผิงที่ดื่มจนเมามายกอดคอของหลู่หยวนเผิง หันไปกล่าวกับแม่นางอิงหลวน “แม่นางอิงหลวนบรรเลงเพลงประจำกองทัพไป๋ได้หรือไม่”
แม่นางอิงหลวนยิ้มอย่างลำบากใจ “คุณชายซือหม่าทำข้าลำบากใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงคนชั้นต่ำ จะบรรเลงบทเพลงประจำของกองทัพไป๋ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
“ข้าเอง” ซือหม่าผิงเดินโงนเงนไปหยุดอยู่ข้างกายแม่นางอิงหลวน ร่างเซเล็กน้อยเพราะความมึนเมา จากนั้นนั่งลง
บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลแม่นางอิงหลวนรีบเข้าไปคุ้มกันแม่นางอิงหลวนเอาไว้พลางพยุงให้นางลุกขึ้น ทิ้งพิณไว้ให้ซือหม่าผิง
ซือหม่าผิงปรับสายพิณเล็กน้อย จากนั้นเริ่มบรรเลงบทเพลงอย่างจริงจัง คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ล้วนรู้หนังสือดี
หลู่หยวนเผิงเดินไปหยุดอยู่หน้าระฆัง หยิบไม้ขึ้นมา ตีไปบนระฆังตามจังหวะ
“สวมเกราะป้องกันร่าง ร่วมต่อต้านศัตรูไปพร้อมบุตรชาย”
เสียงระฆังทุ้ม เสียงพิณและเสียงแหบห้าวของบุรุษอกสามศอกดังขึ้นพร้อมกัน กลบเสียงดนตรีและเสียงอึกทึกต่างๆ ลงไปหมด
ไม่ว่าชายที่นั่งกอดสาวงามอยู่ในอ้อมกอด หรือว่าชายที่มีสาวงามแนบขนาบซ้ายขวา ล้วนตะลึงงันไปกับเสียงเพลงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเขาเงยหน้ามองไปทางชั้นบน
เสียงพิณที่หนักแน่นและเสียงระฆังทุ้มที่ดังกังวาน เป็นการปลุกใจคนทุกคน
“กำดาบยาวสังหารศัตรู ร่วมเป็นร่วมตายไปพร้อมกับบุตรชาย”
“ปกป้องแผ่นดิน คุ้มครองชาวบ้าน ทหารกล้าที่ไม่กลัวตาย”
“หากไม่ตาย ไม่มีวันถอดเกราะ บุรุษคนดีของแคว้น”
———————————————
[1] ยามโหยว่ ช่วงเวลาระหว่าง 17.00-19.00 นาฬิกา