ตอนที่ 290
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ปฏิเสธ หญิงสาวขอบคุณแทนจี้ถิงอวี๋ จากนั้นพาไป๋จิ่นจื้อเดินออกมาจากเรือนหรูที่อยู่ทางด้านหลังวัดของราชวงศ์
เจี่ยงหมัวมัวส่งไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อขึ้นไปบนรถม้า ดวงตาแดงก่ำราวกับอยากเอ่ยสิ่งใดออกมา อยากโน้มน้าวแต่ก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี
เจี่ยงหมัวมัวเอ่ยผ่านผ้าม่านของรถม้า “หมัวมัวทราบว่าคุณหนูใหญ่เป็นเด็กที่มองการณ์ไกลและเห็นแก่ส่วนรวม มิเช่นนั้นก็คงไม่ลำบากเดินทางเสี่ยงอันตรายไปยังหนานเจียงเพื่อช่วยเหลือแคว้นต้าจิ้นเช่นนี้! ทว่า เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงไม่พยายามเข้าใจท่านย่าของตัวเองบ้างเจ้าคะ! องค์หญิงใหญ่เป็นคนที่เลี้ยงดูคุณหนูใหญ่มาอย่างทะนุถนอมจนโตนะเจ้าคะ! สามี บุตรชาย หลานชายไม่เหลืออยู่แล้ว องค์หญิงใหญ่คือคนที่น่าสงสาร และทุกข์ทรมานที่สุดนะเจ้าคะ”
การเดินทางไปยังหนานเจียง ไป๋ชิงเหยียนไม่เคยทำเพื่อราชวงศ์ต้าจิ้น แต่นางไปเพราะตระกูลไป๋ ไปเพราะชาวบ้านที่น่าสงสาร ถ้อยคำเช่นนี้…นางกล่าวกับท่านย่าไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ทุกครั้งที่นางนึกถึงองค์หญิงใหญ่ซึ่งเป็นท่านย่าของตัวเอง ไม่มีครั้งใดเลยที่จะไม่รู้สึกสบสน ปวดร้าวทรมานหัวใจ
นางรู้และเข้าใจองค์หญิงใหญ่ดี ทว่า ในฐานะที่นางถูกองค์หญิงใหญ่เลี้ยงดูฟูมฟักมาตั้งแต่เล็ก…ความสัมพันธ์ย่าหลานแน่นแฟ้น…นางไม่อาจเข้าใจและให้อภัยท่านย่าได้
ไป๋จิ่นจื้อหันไปมองไป๋ชิงเหยียนที่ตาแดงก่ำแต่ใบหน้าสงบนิ่ง เอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่…”
ไป๋จิ่นจื้อไม่รู้ว่าเหตุใดพี่หญิงใหญ่จึงไม่บอกท่านย่าว่าพี่ชายทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่
หากท่านย่าทราบ…ในใจอาจรู้สึกดีขึ้นกว่านี้
ทว่า…พี่หญิงใหญ่เป็นคนมีเหตุผล ไป๋จิ่นจื้อเชื่อใจพี่หญิงใหญ่มาก
“คงเป็นเพราะว่าข้าเคยมอบความไว้วางใจ และหวังพึ่งพาท่านย่าอย่างเต็มที่ คิดว่าท่านย่าคือคนที่พึ่งพาได้มากที่สุดบนโลกใบนี้ เชื่อว่าท่านย่าไม่มีทางทอดทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ผูกพันธุ์กันมากที่สุดบนโลกนี้อย่างแน่นอน ทว่า ท่านย่าเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งต้าจิ้นมาก่อนที่จะเป็นท่านย่าของพวกเรา! แทนที่จะให้ข้าเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างย่าหลานของเราลึกซึ้งแน่นแฟ้นที่สุด จากนั้นค่อยๆ เลือนหายไปเพราะความหวาดระแวงในตัวกันและกัน ไม่สู้จบมันอย่างรวดเร็วดีกว่า”
เจี่ยงหมัวมัวอึ้ง
“หมัวมัวเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ อาเป่าเชื่อว่าหมัวมัวจะดูแลท่านย่าได้เป็นอย่างดี รบกวนหมัวมัวช่วยดูแลให้ท่านย่ามีความสุขขึ้นด้วยนะเจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้า เอ่ยเสียงเบาหวิว “ลุงผิง ไปกันเถิด…”
ชุนเถาและถงหมัวมัวทำความเคารพเจี่ยงหมัวมัว จากนั้นเดินตามรถม้าไป
เจี่ยงหมัวมัวยืนอยู่ที่หน้าประตูวัดของราชวงศ์ มองดูรถม้าคันนั้นแล่นออกไปไกล ในใจเจ็บปวดราวกับถูกมีดเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้นๆ
รถม้าเคลื่อนไปยังถนนของหมู่บ้านที่ไม่แคบไม่กว้างมากนัก เด็กที่กำลังเล่นสนุกอยู่ในหมู่บ้านเห็นรถม้าคันสวยแล่นเข้ามา ต่างพากันวิ่งตามรถม้าอย่างสนุกสนาน
รถม้าแล่นไปตามทางเกวียน มุ่งไปยังทิศตะวันตก หยุดอยู่ที่ลานหน้าบ้านที่แขวนโคมไฟสีขาวไว้
ถงหมัวมัวประคองไป๋ชิงเหยียนลงมาจากรถม้า หลูผิงตรงเข้าไปเคาะประตู ถงหมัวมัวสั่งให้คนนำอาหารและของใช้ประจำวันที่เตรียมมาให้จี้ถิงอวี๋ลงมากจากหลังรถม้า
เมื่อหลูผิงเห็นว่าไม่มีคนมาเปิดประตู เขาจึงมองลอดช่องเล็กๆ เข้าไป เห็นว่ามีคนอยู่ในบ้าน
เขาตะโกนออกมา “จี้ถิงอวี๋ ข้าคือหลูผิง คุณหนูใหญ่มาเยี่ยมเจ้า รีบเปิดประตูเร็ว!”
เสียงราบเรียบเย็นชาของจี้ถิงอวี๋ดังมาจากลานด้านในที่เต็มไปด้วยวัชพืช
“ด้านในสกปรกและรกมาก ไม่กล้ารบกวนจวิ้นจู่ โปรดกลับไปเถิดขอรับ!”
หลูผิงเตรียมเคาะประตูอีกรอบแต่โดนไป๋ชิงเหยียนรั้งไว้เสียก่อน หญิงสาวกล่าวกับคนด้านในผ่านประตู
“จี้ถิงอวี๋ ตระกูลไป๋ทำผิดต่อเจ้า ทำผิดต่อภรรยาเจ้า! เจ้าสละชีพเพื่อตระกูลไป๋…ทว่า ตระกูลไป๋เกือบคร่าเจ้า ข้ารู้ว่าต่อให้ข้าลงโทษบุตรอนุผู้นั้นแล้ว แต่ก็ชุบชีวิตภรรยาของเจ้ากลับคืนมาไม่ได้ ตระกูลไป๋ติดค้างเจ้ามากมายนัก ชาตินี้ไป๋ชิงเหยียนจะพยายามชดใช้ให้เจ้าอย่างถึงที่สุด หากเจ้าไม่อยากพบหน้าข้า โปรดรับอาหารและสิ่งของเหล่านี้ไว้ด้วยเถิด!”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปสั่งให้คนนำของเหล่านั้นไปวางไว้หน้าประตูบ้านของจี้ถิงอวี๋ ยัดเงินห้าร้อยตำลึงที่ท่านย่าฝากมาให้ไว้ในผ้าห่มชั้นดีที่เตรียมมา
ภายในห้อง จี้ถิงอวี๋ดวงตาแดงก่ำ
เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรโทษคุณหนูใหญ่ ที่สำคัญตอนที่เขาเกือบถูกองค์หญิงใหญ่ฆ่าตาย คุณหนูใหญ่ยอมล่วงเกินทุกคน ถึงขนาดตัดขาดกับองค์หญิงใหญ่เพื่อช่วยชีวิตเขาไว้
ตอนที่เขาหมดสติ เขาเหมือนจำได้ลางๆ ว่าคุณหนูใหญ่สั่งให้คนไปแย่งตัวท่านหมอหงมาจากจวนหย่งติ้งโหว กล่าวว่าเขาคือผู้มีพระคุณของตระกูลไป๋ ผู้ใดกล้าแย่งหมอกับเขา คุณหนูใหญ่จะสังหารผู้นั้นทั้งตระกูล ไม่ให้เหลือแม้แต่สุนัขสักตัว
ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่สั่งให้คนเลาะกระดูกหมอเถื่อนผู้นั้นอีกทีละข้อ
ต่อมา เขาได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ถือดาบไปยังหอทำพิธี ทะเลาะกับองค์หญิงใหญ่เพราะเขา สาบานว่าหากบุตรอนุผู้นั้นไม่ตาย คุณหนูใหญ่ไม่มีทางตายดี
นางถึงขนาดตัดขาดความสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่!
คุณหนูใหญ่ทวงความยุติธรรมคืนให้เขาถึงเพียงนี้ หากเขาเกลียดแม้กระทั่งคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ผิดอันใดกัน!
ที่จริงเขาควรรู้ตั้งแต่แรก ที่เขาสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อตระกูลไป๋ตลอดชีวิตเป็นเพราะคุณธรรมของตระกูลไป๋ ตระกูลไป๋ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ภักดีมาทุกชั่วรุ่น ตระกูลไป๋มีความกล้าหาญสละชีพเพื่อชาวบ้าน
การกระทำขององค์หญิงใหญ่ทำให้เขาผิดหวังมากจริงๆ
ทว่า คุณหนูตระกูลไป๋ทุกคนล้วนมีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัวครบถ้วน มันยังไม่คู่ควรให้เขา จี้ถิงอวี๋ติดตามรับใช้อีกหรือ! เพียงเพราะการกระทำขององค์หญิงใหญ่เพียงคนเดียว เขาจะทอดทิ้งศรัทธาที่หนักแน่นของเขาหรืออย่างไรกัน
ขณะที่ถงหมัวมัวกำลังประคองคุณหนูใหญ่ขึ้นไปบนรถม้า ประตูไม้บานนั้นค่อยๆ เปิดออก
ไป๋ชิงเหยียนที่กำลังโน้มกายเข้าไปในรถม้าชะงักนิ่ง หันกลับไปก็เห็นจี้ถิงอวี๋ที่เสียแขนไปข้างหนึ่งเดินออกมาจากห้องด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
หญิงสาวยืดกายตรงมองไปยังจี้ถิงอวี๋ ลำคอร้อนผ่าว ขอบตาร้อนชื้นในทันที
จี้ถิงอวี๋ขบกรามแน่น สะบัดชายชุดพลางคุกเข่าลงบนพื้น ก้มศีรษะคำนับไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนลงมาจากรถม้า กล่าวกับหลูผิงเสียงเบาหวิว “ลุงผิง ประคองจี้ถิงอวี๋ลุกขึ้นเถิด”
“ขอรับ!” หลูผิงรีบประคองจี้ถิงอวี๋ขึ้น
ไป๋จิ่นจื้อมองหลูผิง ขยี้ตาที่เริ่มแดงก่ำของตัวเองเล็กน้อย
“จี้ถิงอวี๋ เจ้าไม่เชิญข้ากับพี่หญิงใหญ่เข้าไปนั่งด้านในหน่อยหรือ”
จี้ถิงอวี๋มองดูไป๋จิ่นจื้อที่คล้ำขึ้นหลังจากกลับมาจากหนานเจียง จากนั้นสายตาหยุดอยู่ที่ไป๋ชิงเหยียน เขาขบกรามแน่น เบี่ยงกายผายมือเชิญคนทั้งสอง
ลานหญ้าของจี้ถิงอวี๋เต็มไปด้วยวัชพืชมากมาย เนื่องจากไม่มีคนคอยสนใจดูแล ทว่า ด้านในห้องกลับเก็บกวาดเรียบร้อยสะอาดตา
ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อนั่งลงตรงหน้าโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำ จี้ถิงอวี๋รินน้ำชาให้คุณหนูทั้งสองด้วยมือเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ห้ามปราม ทำเพียงก้มหน้าขอบคุณ จากนั้นถามถึงสภาพร่างกายของชายหนุ่ม
“สบายดีขอรับ เพียงแค่ว่างมากไปหน่อย…” จี้ถิงอวี๋ก้มหน้าลง น้ำเสียงเหงาหงอย
“แขนของข้าขาดไปหนึ่งข้าง จึงทำอันใดไม่ได้มากนัก ต่อไปไม่มีรู้ข้าจะมีประโยชน์อันใดอีก!”
หลูผิงได้ยินจึงรีบเอ่ยขึ้น “จี้ถิงอวี๋ เจ้าห้ามคิดเช่นนี้เด็ดขาด! พวกเราไม่ใช่ไม่หางานให้เจ้าทำ เพียงแค่อยากให้เจ้าพักผ่อนให้หายดีก่อน”
ไป๋ชิงเหยียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย หันไปมองหญิงชราที่กำลังเก็บกวาดลานบ้านด้านนอกให้จี้ถิงอวี๋อยู่