ตอนที่ 310 จัดการเรียบร้อย
“เจ้าน่าจะรู้ว่าเหวินเจิ้นคังแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินคือคนของอัครมหาเสนบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่า ทว่า เจ้าคงไม่รู้ว่าเสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งก็เป็นคนของหลี่เม่าเช่นเดียวกัน” ไป๋ชิงเหยียนสื่อให้ไป๋จิ่นซิ่วนั่งลงบนเก้าอี้หิน
“ในเมื่อหลี่เม่ายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับพี่ถึงเพียงนี้ หากไม่ตัดแขนของเขา เขาจะรับรู้ความเจ็บปวดได้อย่างไร จะรั้กความกลัวได้อย่างไร”
ไป๋ชิงเหยียนวางผ้าขนหนูเปียกลงในถาดสีดำที่ชุนถาถืออยู่ จากนั้นกล่าวต่อ “พวกเขาเป็นคนทำเรื่องนี้จริงๆ ต่อให้ผู้อื่นเก่งกาจสักเพียงใด ก็ทำได้เพียงเปิดโปงเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รับรู้เท่านั้น”
“เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งเป็นคนของหลี่เม่าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ!” ไป๋จิ่นซิ่วเบิกตาโพลงอย่างคาดไม่ถึง
“คนขององค์ชายรองที่ร่วมก่อกบฏในปีนั้นเข้าร่วมกับเหลียงอ๋องหลักจากที่องค์ชายรองสิ้นพระชนม์ ดังนั้น จิ่นซิ่ว เจ้าอย่าได้ถูกภาพลักษณ์อ่อนแอของเหลียงอ๋องหลอกเป็นอันขาด” ไป๋ชิงเหยียนรินน้ำชาให้ไป๋จิ่นซิ่วหนึ่งถ้วย จากนั้นดันไปตรงหน้าน้องสาว
“พี่คิดดีแล้ว หากตีหนูแต่กลัวแจกันหยกแตก เราก็ไม่มีทางตัดแขนของหลี่เม่าได้! แม้การเปิดโปงเรื่องนี้จะทำให้คะแนนเป็นโมฆะ ทว่า ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน ฉินหล่างและน้องฉางหยวนล้วนเป็นคนมีความสามารถ ต่อให้ต้องสอบใหม่ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล!”
ไป๋จิ่นซิ่วก้มหน้าคิดตามจากนั้นพยักหน้าเห็นด้วย “พี่หญิงใหญ่กล่าวมีเหตุผลเจ้าค่ะ”
“ฉินหล่างเล่า” ไป๋ชิงเหยียนถาม
“ได้ยินว่าบัณฑิตที่สอบไม่ผ่านไปร้องทุกข์ที่ประตูอู่เต๋อ เขาจึงถูกสหายเรียกตัวไปที่นั่นเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน
“ข้าจะส่งคนไปตามฉินหล่างกลับมา ตอนนี้เขาควรกลับมาอ่านตำราอย่างตั้งใจอีกครั้งเพื่อเตรียมสอบครั้งต่อไปเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้ไป๋จิ่นซิ่ว
พอไป๋จิ่นซิ่วเดินจากไป หลูผิงก็เดินเข้ามาพอดี
คนที่หลูผิงส่งไปสืบเรื่องราวนำข่าวใหม่กับมารายงานเข้าแล้ว
รายงานว่าหลู่เซียงออกมาจากวังหลวงแล้ว เขาไม่ได้รีบร้อนเหมือนตอนเข้าไปในวังอีก บุตรชายทั้งสองคนของหลูเซียงก็กลับไปที่จวนเรียบร้อยแล้ว ราชครูเฉินได้ข่าวจึงรีบนั่งรถม้าเข้าไปในวัง
หลู่เซียงเป็นขุนนางที่ฉลาดและเอาตัวรอดเก่งที่สุดในราชสำนักจริงๆ ลื่นไหลราวกับปลาไหล เมื่อทราบข่าวก็รีบไปสำนึกผิดในวังหลวง ราชครูเฉินคงเห็นการกระทำของหลู่เซียง เดาได้ว่าหลู่เซียงเข้าวังเพราะเหตุใด เขาจึงรีบไปสารภาพบาปกับฮ่องเต้บ้าง
เมื่อทั้งสองคนไปสารภาพบาปกับฮ่องเต้เช่นนี้ ฮ่องเต้จะรู้ได้ทันทีว่าการสอบในครั้งนี้มีการทุจริตที่ร้ายแรงเพียงใด ยิ่งฮ่องเต้พิโรธ เหวินเจิ้นคังก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตราย
บัดนี้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าคงนั่งไม่ติดแล้วกระมัง!
ไป๋ชิงเหยียนหรี่ตาแคบลง เคาะนิ้วลงบนโต๊ะหินเป็นจังหวะ บัดนี้ข่าวการทุจริตในการสอบแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ครอบครัวของเหวินเจิ้นคังจะหวาดกลัวมากเพียงใด
เหวินเจิ้นคังเพิ่งเคยเป็นผู้คุมสอบครั้งแรกก็กล้ารับสินบนถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าคอยหนุนหลังอยู่หรือไม่
หากหลี่เม่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ อีกทั้งมีคนยุแยงให้ครอบครัวของเหวอนเจิ้นคังไปขอความช่วยเหลือจากหลี่เม่า หลี่เม่าคงต้องกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ต่อให้หลี่เม่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ เขาก็คงปวดศีรษะไปพักใหญ่อยู่เหมือนกัน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้ชุนเถาไปเรียกถงหมัวมัวมาพบ
ไป๋ชิงเหยียนต้องการลงมือจากในเรือนใน บัดนี้ภรรยาของเหวินเจิ้นคังต้องกังวลใจเป็นที่สุด ลงมือจากเรือนในน่าจะเหมาะสมที่สุด
ถงหมัวมัวได้ยินก็เข้าใจทันที “คุณหนูใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ บ่าวจะจัดการให้เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
หลังจากสอบหน้าพระที่นั่งเสร็จในครั้งนี้ เดิมทีจะมีการติดประกาศผลสอบในวันที่สาม เดือนสี่ ทว่า ผู้ร้องทุกข์นับร้อยตีกลองร้องทุกข์อยู่ที่หน้าประตูอู่เต๋อ ขอร้องให้ฮ่องเต้คืนความยุติธรรมให่พวกเขา วันที่สาม เดือนสี่จึงยังไม่ได้มีการติดประกาศผลสอบ รัชทายาทรับผิดชอบสืบสวนเรื่องการทุจริตการสอบในครั้งนี้ร่วมกับผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่ ต้องได้ผลสรุปภายในสามวัน
รัชทายาทปวดศีรษะเป็นอย่างมาก งานนี้เป็นงานที่ต้องล่วงเกินผู้อื่น มีขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลใดบ้างที่ไม่ได้ติดสินบนในครั้ง
ทว่า เสด็จพ่อกลับต้องการให้สอบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวด นอกจากข้อสอบของหลานชายสองคนของหลู่เซียงและหลานชายของราชครูเฉินที่เขียนได้ดีเกินมาตรฐานการสอบแล้ว ผู้อื่นที่ติดสิบบนต้องได้รับการลงโทษอย่างหนักและไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบอีกเลยตลอดชีวิต
บางคนไปอ้อนวอนที่จวนของผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่ ทว่า หลู่จิ้นกลับไม่รับแขก ไม่รับของขวัญจากผู้ใดทั้งสิ้น เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากหลู่จิ้นไม่อยากได้ตำแหน่งนี้แล้ว มิเช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น
รัชทายาทไม่ได้เด็ดขาดเท่าหลู่จิ้น ตอนแรกยังรับมือกับตระกูลขุนนางได้บ้าง หลังๆ ก็เริ่มรับมือไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขาเรียกที่ปรึกษามาหารือเรื่องการลงโทษที่จะไม่ล่วงเกินผู้อื่น
ฉินซ่างจื้อแนะนำว่าแคว้นมีกฎเกณฑ์ของแคว้น รัชทายาทเป็นรัชทายาท ควรยืนหยัดตามความถูกต้อง ไม่ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่นนี้ฮ่องเต้ถึงจะเห็นถึงความสามารถของรัชทายาท
ทว่า ฟางเหล่ากลับแนะนำว่าให้รัชทายาทรับปากพวกที่มาร้องไห้อ้อนวอนไว้ก่อน พอตอนตัดสินโทษสามารถร่วมตัดสินโทษหนักกับหลู่จิ้นไปก่อน จากนั้นค่อยไปขอร้องฮ่องเต้ให้ลดโทษ เช่นนี้ขุนนางเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนของรัชทายาทโดยปริยาย
ฉินซ่างจื้อไม่เห็นด้วย ตอนนี้รัชทายาทไม่ใช่ฉีอ๋องเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นรัชทายาทของแผ่นดิน เมื่อรากฐานของแคว้นเที่ยงตรง แคว้นจึงจะมีความเที่ยงธรรม
รัชทายาทครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าข้อเสนอของฟางเหล่าดีกว่า ฉินซ่างจื้อโมโหจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
รัชทายาทของแคว้นต้องการใจคนไม่ใช่เรื่องผิด ทว่า เราไม่อาจได้ใจของคนด้วยวิธีเช่นนี้ การทุจริตในการสอบทำลายรากฐานของแคว้น เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ รัชทายาทยอมได้เช่นไรกัน หากขุนนางคดโกงเช่นนี้ทำงานในราชสำนัก อนาคตของแคว้นต้าจิ้นจะเป็นเช่นไรกัน
เดิมที่อ๋องสามจะจัดงานแข่งขันม้าในวันที่หก เดือนสี่ ทว่า เนื่องจากการทุจริตในการสอบ ตระกูลสูงศักดิ์ที่ไปร่วมงานจึงน้อยกว่าที่คิดไว้มาก
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการติดสินบนในครั้งนี้ย่อมไม่มีใจไปร่วมงานได้ ตระกูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการติดสินบนแต่มีบัณฑิตที่สอบในครั้งนี้ย่อมต้องลูกหลานทบทวนตำราอยู่ที่จวนเพื่อเตรียมพร้อม เผื่อว่าฮ่องเต้จะทรงให้จัดสอบใหม่อีกครั้ง
ที่อ๋องสามจัดงานแข่งม้าในครั้งนี้ก็เพื่อจะเลือกสตรีที่คู่ควรให้แก่บุตรชายของเขา หากสตรีสูงศักดิ์คนใดเข้าตา เขาจะได้ให้พระชายาไปสอบถาม และหาคู่ครองให้บุตรชาย ดังนั้นสำหรับอ๋องสามแล้ว งานนี้ขอแค่มีสตรีมาก็เพียงพอแล้ว
ที่งานแข่งม้า ผู้คนต่างจับกลุ่มวิจารณ์เรื่องการทุจริตการสอบในครั้งนี้
ไป๋จิ่นซิ่วนั่งอยู่พักหนึ่ง เมื่อสืบได้ว่าภรรยาของเหวินเจิ้นคังลอบไปหาหลี่เม่าที่จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายยามวิกาลอยู่นานสองนาน หญิงสาวจึงอ้างว่ามีธุระขอตัวกลับก่อน จากนั้นกลับไปรายงานไป๋ชิงเหยียนที่จวนไป๋
“ภรรยาของเหวินเจิ้นคังผู้นั้นเคยหย่ามาก่อนแล้วค่อยแต่งงานใหม่ เมื่อสตรีรวมกลุ่มกันมักสนทนาเรื่องไม่งามของผู้อื่นเช่นนี้ ทว่า ข้าคิดว่าในเมื่อภรรยาของเหวินเจิ้นคังอยู่ในจวนของหลี่เม่านานถึงเพียงนั้น นางต้องต่อรองอันใดกับหลี่เม่าแน่นอนเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่านางอาจมีหลักฐานที่ใช้มัดตัวหลี่เม่าอยู่ในมือเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นซิ่วขยับเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียนพลางกระซิบเสียงเบาหวิว “ข้าจะหาวิธีหาหลักฐานนั้นจากภรรยาของเหวินเจิ้นคังมาให้ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ว่าภรรยาของเหวินเจิ้นคังจะมีหลักฐานใดอยู่ในมือก็ช่วยชีวิตของเหวินเจิ้นคังไม่ได้หรอก” ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากเล็กน้อย มองไปทางไป๋จิ่นซิ่วยิ้มๆ “หากเจ้าหาหลักฐานได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็อย่าฝืนเด็ดขาด”
“พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้า จากนั้นเห็นถงหมัวมัวเดินแหวกม่านเข้ามาด้านใน